เสียงของประโยคที่หลิวฟางทิ้งไว้ก่อนถูกไล่ไปนั้นไม่เบาเลย ตั้งใจพูดให้เซี่ยเสี่ยวหลานและมารดาได้ยิน
เซี่ยเสี่ยวหลานได้ยินแล้วถือว่าเธอกำลังผายลม แต่หลิวเฟินโกรธเคือง แม้ไม่ได้เห็นหลิวฟางเป็น้องสาว ทว่าหากมีสุนัขบ้าข้างทางโผล่ออกมาเห่ามั่วซั่ว สาปแช่งเซี่ยเสี่ยวหลานว่าสอบไม่ติดมหาวิทยาลัย หลิวเฟินจะหยิบหินขว้างกลับไปเช่นกัน! กว่าเสี่ยวหลานจะได้ร่วมการสอบนี้ช่างลำบากยากเย็น เริ่มต้นจากหอบมันเทศ 20 ชั่งหนีออกจากตระกูลเซี่ย ภายในระยะเวลาหนึ่งปีที่เดินมาจนถึงวันนี้ ทุกสิ่งคืออนาคตที่เซี่ยเสี่ยวหลานพยายามคว้ามาด้วยตนเองทีละก้าว อุปสรรคมากมายดักรออยู่ระหว่างทางสู่ความสำเร็จ ก่อนสอบดันหกล้มจนมือเจ็บอีก ใส่เฝือกและกินยาแก้ปวดเข้าห้องสอบ... หลิวเฟินภาคภูมิใจในลูกสาวของเธอเอง จะอนุญาตให้คนอื่นพูดจาซี้ซั้วได้ที่ไหนกัน
หลิวเฟินมองบนโต๊ะอยู่นานสองนาน เซี่ยเสี่ยวหลานรีบยั้งมารดาของเธอไว้
“คนประเภทนั้นเขาแค่ปากเสีย แม่ถือโทษโกรธเคืองอะไรกับน้ากัน ยกอาหารสักจานบนโต๊ะนี้โยนใส่เธอยังถือว่าสิ้นเปลืองเลย น้าเขาคู่ควรกับค่าอาหารนี่หรือ? น้าไม่เคยไปโรงเรียนด้วยซ้ำ ทำมาบอกว่าฉันสอบไม่ติดมหาวิทยาลัย ไม่พ้นพล่ามเพื่อกู้ศักดิ์ศรีคืนให้ตัวเองเป็ครั้งสุดท้ายน่ะสิ!”
สำหรับเซี่ยเสี่ยวหลาน ถ้าไม่ยอมรับก็พิสูจน์ให้เห็น มีปัญหานักก็อย่าขี้ขลาดที่จะเข้ามาตรงๆ
ใครดูแคลนเธอ เธอจะยืนหยัดสู้ด้วยตนเอง หลังจากนั้นจะตบหน้าด้วยความสามารถ การอวดโอ้ปะทะฝีปากมีความหมายอะไร มีแต่พวกรู้ตัวว่าไร้น้ำยาเทียบเทียมคนอื่นที่จะเอาชนะด้วยปาก คนประเภทนั้นทั้งน่าเวทนาและน่าขัน เซี่ยเสี่ยวหลานถือว่าเป็แค่มุกตลกหนึ่งเท่านั้น หลิวเฟินถูกลูกสาวรั้งไว้จึงไม่ได้ตามไปทันที หลิวฟางกับเหลียงฮวนหนีไปไกลแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานกล่าวติดตลก หลิวฟางไม่โกรธขนาดนั้นแล้ว อาหารบนโต๊ะไม่ใช่วัตุดิบล้ำค่าจากป่าเขาและมหาสมุทร หากราคาถูกก็แค่สองสามหยวน เซี่ยเสี่ยวหลานพูดถูก โยนจานไหนก็ไม่คุ้มทั้งสิ้น หลิวฟางไม่ได้ควรค่าพอให้เธอสิ้นเปลืองอาหาร!
หลิวฟางกับเหลียงฮวนอับเฉาอยู่นานมาก นานๆ ทีจะได้เที่ยวซื้อของสักครั้ง ทว่ามือเปล่ากลับบ้าน
ยังมีอารมณ์ซื้อของเสียที่ไหนเล่า เมื่อรู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานสอบเกาเข่าประจำปีนี้ สองแม่ลูกก็หงุดหงิกยิ่งนัก
พวกเธอมีความรู้สึกว่าตนเหนือกว่า หลังจากเหลียงปิ่งอันสูญเสียหน้าที่การงาน ความเกรียงไกรทั้งหมดถูกทุบตีจนแหลกละเอียด สิ่งเดียวที่ทรงเกียรติกว่าเซี่ยเสี่ยวหลาน ก็คือทะเบียนบ้านเมือง และอนาคตอันแสนสดใสหลังเหลียงฮวนสอบเข้ามหาวิทยาลัย... ทำไมเซี่ยเสี่ยวหลานถึงสามารถร่วมสอบเกาเข่าได้กันนะ?
“แม่ เธอสอบไม่ติดหรอก ใช่ไหม?”
เหลียงฮวนนิ่งเงียบไม่พูดจามาตลอดทาง พอถึงหน้าประตูบ้าน อยู่ดีๆ ก็โพล่งประโยคข้างต้นออกมา
หลิวฟางพยักหน้ารับอย่างจริงจัง “ไม่ใช่พวกเรียนหนังสือได้ดี จบมัธยมต้นก็ไม่เรียนต่อ เข้ามหาวิทยาลัยไร้สาระน่ะสิ!”
สองแม่ลูกไม่ยอมรับเซี่ยเสี่ยวหลานเพียงลมปาก อันที่จริงก็เกิดอาการกระสับกระส่ายนิดหน่อย การสอบเกาเข่าใช้เวลาสามวัน ตอนพวกเธอมาพบ สอบไปครบสองวันเรียบร้อยแล้ว มิเช่นนั้นหลิวฟางจะสรรหาวิธีการทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานมิอาจเข้าสนามสอบเสียเลย นึกถึงเื่นี้แล้วก็หงุดหงิดขึ้นมา—เธอดันลืมไปแล้ว ตอนนี้เหลียงปิ่งอันไม่ใช่รองหัวหน้า เธอเองก็เป็แค่พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า มิสิทธิอะไรไม่ให้เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าสนามสอบ?
สองสามีภรรยาหลิวฟางและเหลียงปิ่งอันยังไม่เหมือนกับคู่ของเซี่ยฉางเจิง
รายแรกเป็พวกทำความชั่วโดยยังอยู่ในขอบเขต สามารถพูดได้ว่าพวกเขาไม่ได้เลวร้ายจนถึงที่สุด หรือพูดได้ว่าเดิมทีพวกเขาอยู่ในตระกูลใหญ่มั่งมี ทำสิ่งใดด้วยความระมัดระวัง เหลียงปิ่งอันทำงานเป็รองหัวหน้า ยังไม่กล้าคิดกล้าลงมือเท่าเซี่ยฉางเจิง ก่อนหน้านี้เคยลั่นว่าต้องทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานแต่งงานกับฝานเจิ้นชวนไม่ได้ จะจ้างใครสักคนทำลายใบหน้ายังห่วงหน้าพะวงหลัง และแน่นอนว่าต้องขอบคุณที่หลิวฟางกับเหลียงปิ่งอันค่อนข้าง ‘ตาขาว’ มิฉะนั้นเหลียงปิ่งอันจะไม่จบแค่ถูกปลดจากตำแหน่งและไล่ออกจากงานง่ายๆ แบบนี้!
สำหรับเื่เซี่ยเสี่ยวหลานสอบเกาเข่า พอสองแม่ลูกกลับถึงบ้านก็ปิดปากสนิท
หลิวฟางเลิกงานแล้วกลับบ้านมาเตรียมอาหารไม่ทันเวลา ย่อมโดนตำหนิติเตียนเหมือนเคยเป็ธรรมดา ว่ากันตามตรงเหลียงฮวนคือคนที่ใจจืดใจดำที่สุด หลิวฟางรักเธอเสียขนาดนั้น ในเวลานี้เธอกลับเดินเข้าห้องและแสร้งว่าอ่านหนังสือ ทำเป็ไม่ได้ยิน... ในบ้านหลังนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมารดาของเธออีกแล้ว แต่เป็ปู่กับย่าต่างหาก
----------------------------------------
วันที่ 8 กรกฎาคม การสอบเกาเข่าเหลือเพียงสองวิชาสุดท้าย
วิชาคณิตศาสตร์ทำเอาคนจำนวนมากถึงกับสติแตกจนละทิ้งการสอบ วิชาฟิสิกส์ของปีนี้ก็ยากเช่นเดียวกัน ผู้เข้าสอบบางส่วนงุนงงและสงสัยเกี่ยวกับชีวิต สภาพจิตใจของเซี่ยเสี่ยวหลานมั่นคงสมบูรณ์ทีเดียว พอสอบวิชาฟิสิกส์เสร็จเธอก็รู้ เธอทำได้ดีสำหรับการสอบเกาเข่าหนนี้
ยังไม่ได้สอบวิชาภาษาอังกฤษเลยนี่นา ทว่ามันไม่อยู่ในความกังวลของเซี่ยเสี่ยวหลานโดยสิ้นเชิง
เธอใช้ประโยชน์จากการสั่งสมความรู้ในชีวิตก่อน และเป็เพราะข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษของต้นยุค 80 ช่างง่ายเหลือเกิน ท่องจำศัพท์ภาษาอังกฤษสองพันคำ ทำความเข้าใจกับวิธีใช้ของการผันกาล [1] ไม่กี่ชนิดอย่างถ่องแท้ แทบเป็ไปไม่ได้ที่คะแนนสอบภาษาอังกฤษจะย่ำแย่
วันนี้ร้อนกว่าสองวันก่อนเสียอีก แม้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใช่คนเหงื่อออกง่าย สอบวิชาฟิสิกส์เสร็จก็เหงื่อโทรมกายเหมือนกัน
คนอื่นรู้สึกร้อนยิ่งกว่า อากาศร้อนระอุ เกร็ดความรู้ที่เคยจำได้ดูจะถูกลืมเลือนไปหมดแล้ว พอเจอข้อสอบวิชาฟิสิกส์ที่ยาก ภายในสมองของหลายคนหลงเหลือแต่แป้งเปียก มีคนที่มั่นใจอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานไม่มากนัก ส่วนใหญ่ล้วนคิดว่าตนเองทำข้อสอบได้ไม่ดี
เมื่อเหล่าวังเห็นนักเรียนอีจงมีสภาพคอตกสลดหดหู่ ในใจก็กระวนกระวายน่ะสิ
“นักเรียนทุกคน เหลือแค่ก้าวสุดท้ายของการเดินทัพหมื่นลี้ สอบภาษาอังกฤษเสร็จ เกาเข่าประจำปีนี้ก็สิ้นสุดแล้ว มีเวลาสองเดือนเต็มก่อนเปิดภาคเรียนของมหาวิทยาลัย ไม่มีการบ้านปิดภาคเรียนฤดูร้อน ไม่มีใครสั่งให้พวกเธอทำแบบฝึกหัด คิดดูสิว่านี่มันคือชีวิตแบบไหน? ขอแค่สอบภาษาอังกฤษเสร็จ พวกเธอก็จะได้ใช้ชีวิตแบบนี้!”
เฮ้ เมื่ออาจารย์วังกล่าวเช่นนี้ แปลว่าทุกคนสอบเข้ามหาวิทยาลัยสำเร็จแล้วใช่ไหม?
อย่างไรเสียภาพฝันที่เหล่าวังวาดนั้นฟังดูไม่เลวเลย ในท้ายที่สุดก็ทำให้นักเรียนอีจงกะปรี้กะเปร่าขึ้นบ้าง
เซี่ยเสี่ยวหลานเสริมอีกประโยค “อย่างอื่นยังไม่รู้นะ แต่สอบเสร็จแล้วจะได้เล่นสนุกสุดเหวี่ยงหลายวันแน่ นอนตื่นสายให้หนำใจ!”
คำพูดนี้โดนใจเหล่าผู้เข้าสอบอย่างจัง
เพื่อการสอบเกาเข่า ทุกคนตื่นแต่เช้าเข้านอนดึก ก่อนตรุษจีนยังพอมี่เวลาที่หย่อนยานี้เีได้เล็กน้อย พอกลับมาเรียนภาคเรียนใหม่หลังตรุษจีน ขาดแค่ต้องแขวนศีรษะกับทิ่มต้นขา [2] คนที่ไม่ตั้งใจถูกการสอบคัดเลือกรอบแรกปัดทิ้งไปแล้ว ในเมื่อสามารถเดินมาถึงขั้นเกาเข่าได้ ทุกคนล้วนมีความหวังอยู่ไม่น้อย
ไม่พูดถึงปริญญาตรี สอบเข้าวิชาชีพเฉพาะทาง ถ้าไม่ไหวก็เข้าเรียนต้าจงจวน นั่นยังพอให้ฝันถึงได้เช่นกันนี่นา
“ครูวัง แต่วันนี้มันร้อนเกินไปแล้ว”
“ใช่ พัดลมในห้องสอบพวกเราพัง ผมร้อนจนสมองตื้อไปหมด!”
อากาศร้อนเหลือทนจริงๆ แต่ไหนแต่ไรเดือน 7-8 ก็คือ่ที่ร้อนที่สุดของปี ต่อมาการสอบเกาเข่าของทุกปีจึงเลื่อนมายังเดือนมิถุนายนเพราะเหตุผลข้างต้น นักเรียนรุ่นปี 84 กลุ่มนี้ไม่ทัน่เวลาที่อากาศดี เหล่าวังสงสารพวกเขา ปลอบใจราวกับกล่อมเด็กน้อย “ร้อนแค่ไหนก็ทนหน่อยน่า ห้ามทุกคนแอบไปกินหวานเย็นเด็ดขาด เกิดท้องไส้ปั่นป่วนในห้องสอบขึ้นมา... ถุยถุยถุย ถือว่าครูไม่ได้พูดนะ! เอาเป็ว่ายืนหยัดสอบวิชาสุดท้ายจนจบ พวกเธอก็จะสิ้นสุดการเดินทางไกลอันยาวนานแล้ว ตอนบ่ายครูจะเลี้ยงไอติมพวกเธอเอง”
มีนักเรียนอีจงที่มาสอบในเขตเหอตงกว่ายี่สิบคน
เงินเดือนของเหล่าวังไม่เยอะ ทว่ายังเลี้ยงไอศกรีมนักเรียนคนละแท่งได้อย่างไม่มีปัญหา
ไอศกรีมราคาแพงกว่าหวานเย็นแท่ง หวานเย็นแค่สามเฟินหรือห้าเฟินต่อแท่ง ในขณะที่ไอศกรีมราคาอย่างต่ำแท่งละหนึ่งเหมา
เซี่ยเสี่ยวหลานหยอกเย้า “ครูวังคะ พวกเราจะกินไอติมครีมสดแท่งใหญ่กันค่ะ”
ไอศกรีมครีมสดราคาแพงที่สุด หนึ่งเหมาสองเฟินต่อแท่ง เหล่าวังปั้นหน้าเ็ปรวดร้าว “ไอติมครีมสด กินไอติมครีมสดกันหมดสินะ ปู่ย่าตายายเอ๋ย ทีนี้จะตั้งใจสอบได้แล้วใช่หรือเปล่า?”
ตอนนี้ทุกคนพึงพอใจแล้ว กระทั่งอารมณ์หงุดหงิดจากอากาศร้อนก็หายไปเกือบเกลี้ยง
อายุอานามราว 20 กันเข้าไปแล้ว ไม่ใช่ไม่รู้ความ ทำไมเหล่าวังต้องเอาใจพวกเขาเล่า ก็เพราะหวังว่าพวกเขาจะสอบได้ดีมิใช่รึ! ถ้าพวกเขาทำได้ดี อนาคตข้างหน้าเป็ของตนเอง ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยแทนเหล่าวังเสียหน่อย ผลสอบออกมาดีหรือไม่ ไม่กระทบต่อการเป็อาจารย์ในเซี่ยนอีจงต่อไปของเหล่าวังหรอก
หลังสอบวิชาภาษาอังกฤษเสร็จ ผู้เข้าสอบของโรงเรียนสนามสอบบางส่วนมุ่งหน้ากลับหอพัก โปรยตำราและแบบฝึกหัดลงมาจากบนอาคาร ทั้งร้องไห้และหัวเราะ
ในบริเวณโรงเรียนมีคนกรีดร้อง มีคนท้อแท้ และมีใบหน้าอ่อนเยาว์ซึ่งเปี่ยมความสับสนเต็มไปหมด... สำหรับคนส่วนใหญ่ ความทรงจำอันชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุดของชีวิตวัยรุ่นรายล้อมรอบ ‘เกาเข่า’ การสอบเกาเข่าทำให้พวกเขาน้ำตานอง ทำห้พวกเขาหัวเราะร่า ทำให้พวกเขาฝังศีรษะไว้กับโต๊ะเรียนตัวเล็กๆ ฝึกทำข้อสอบชุดแล้วชุดเล่า
เมื่อสอบเสร็จแล้ว ก้าวสุดท้ายของการเดินทัพหมื่นลี้สิ้นสุดลงเหมือนที่เหล่าวังกล่าวไว้จริงๆ หรือ?
ไม่ ่เวลาสำคัญที่สุดของการต่อสู้นี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
เชิงอรรถ
[1]ผันกาล ในที่นี้คือการผัน Tense
[2]头悬梁针刺股 แขวนศีรษะทิ่มต้นขา หมายถึง มุมานะศึกษาเล่าเรียนโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มาจากเื่ราวของชายนามว่าซุนจิ้ง เขาเป็คนตั้งใจเรียนมาก ตื่นั้แ่เช้าเพื่ออ่านหนังสือจนถึงดึกดื่น เนื่องจากความเหนื่อยล้า เขาจึงสัปหงกบ่อยครั้ง เขาได้คิดวิธีปลุกตนเองจากความง่วง โดยการใช้เชือกผูกผมกับขื่อบ้าน พอศีรษะฟุบลงไปเพราะความง่วง เชือกจะรั้งผมของเขาจนรู้สึกเจ็บหนังศีรษะ ส่วนอีกที่มาหนึ่งคือเื่ของชายนามว่าซูฉิน ตอนวัยรุ่นมีความรู้ไม่แตกฉานนัก ไปเยือนหนแห่งใดก็ไม่มีใครให้ความสำคัญ เมื่อกลับมาถึงบ้านจึงตั้งใจเรียนเป็บ้าเป็หลัง พอเขาเริ่มล้า ก็จะใช้เหล็กหมาดทิ่มต้นขาของตนเอง บางครั้งถึงกับเืไหล เพื่อเรียกความกระปรี้กระเปร่าของตนกลับมา