มิตรสหายพบหน้าย่อมตื่นเต้นเป็ธรรมดา ทว่าความตื่นเต้นนั้นมีเพียงฝ่ายเดียว ส่วนอวิ๋นฉี่เยว่ยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งเช่นเดิม ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหาชื่อหลิ่วเทียนโย่ว อายุมากกว่าอวิ๋นฉี่เยว่สองปี ข้างกายมีน้องสาวชื่อหลิ่วเชียนเชียนเดินมาด้วย
หลิ่วเทียนโย่วเดินเข้ามาหา ทำท่าจะโอบไหล่อวิ๋นฉี่เยว่ “สิงจือ เ้ามันใจร้ายนัก ออกจากเมืองหลวงโดยไม่บอกกล่าวข้าสักคำ ทำให้ข้าต้องลำบากตามหา”
อวิ๋นฉี่เยว่หลบอย่างแเี และเว้นระยะห่างจากหลิ่วเทียนโย่ว เขาเลิกคิ้วถาม “แล้วเ้าก็ตามหาจนมาถึงที่นี่หรือ?”
หลิ่วเทียนโย่วหัวเราะ “ไม่ใช่หรอก ข้าตามท่านพ่อกลับบ้านเกิด รากเหง้าของตระกูลหลิ่วพวกเราอยู่ที่ตำบลไป๋อวิ๋น ตอนแรกข้าไม่อยากกลับบ้านเกิดสักนิด ตำบลเล็กๆ ที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีอะไรน่าสนใจกัน ข้าคิดว่าอยากจะขยันเรียน ดูว่าพอจะสอบกลับไปที่เมืองหลวง เข้าเรียนในสำนักศึกษาหลวง [1] ได้หรือไม่ ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอเ้าที่นี่! ดีจริงๆ!”
อวิ๋นฉี่เยว่มองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย “เจอข้าแล้ว เ้าก็ไม่ต้องขยันเรียนไปสอบแล้วหรือ?”
หลิ่วเทียนโย่วหัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆ แน่นอนว่าไม่ใช่ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องขยันเรียน ว่าแต่ครั้งนี้ข้าจะไปสอบเป็บัณฑิตถงเซิง [2] ท่านพ่อบอกว่าการสอบทางเหนือนั้นง่ายกว่าทางใต้ ดูแล้วสอบบัณฑิตถงเซิงครั้งนี้ข้าคงสอบผ่านแน่ๆ”
อวิ๋นฉี่เยว่เข้าใจแล้ว ที่แท้เ้าหมอนี่กลับบ้านเกิดมาเพื่อสอบเป็บัณฑิตถงเซิงนี่เอง
“ท่านพี่ พวกท่านเป็สหายร่วมชั้นไม่ได้พบกันเสียนาน เช่นนั้นหาโรงเตี๊ยมสักแห่ง นั่งกินข้าวพูดคุยกันดีกว่า!”
เื่แบบนี้จะมาพูดคุยเสียงดังกลางถนนได้อย่างไร? หลิ่วเชียนเชียนกังวลใจแทบแย่ มีพี่ชายซื่อบื้อเช่นนี้ ช่างน่าหนักใจยิ่งนัก
นางลอบสังเกตอวิ๋นฉี่เยว่ เห็นว่าถึงแม้เขาจะสวมเพียงชุดผ้าฝ้ายธรรมดาๆ แต่กลับดูสง่างามกว่าตอนอยู่ที่เมืองหลวงเสียอีก... หัวใจของหญิงสาวเต้นแรง ใบหน้าแดงก่ำ
หลิ่วเทียนโย่วตบหน้าผาก “จริงสิ! สิงจือ เราไปหาโรงเตี๊ยมนั่งคุยกันเถิด!”
อวิ๋นฉี่เยว่ปฏิเสธอย่างสุภาพ “เอาไว้คราวหน้าเถิด วันนี้ที่บ้านยังมีธุระ ตอนออกมาท่านพ่อท่านแม่กำชับข้าให้รีบกลับบ้าน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แววตาของหญิงสาวก็แฝงไปด้วยความผิดหวัง ส่วนหลิ่วเทียนโย่วก็ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ก็จริง วันนี้กะทันหันเกินไป อ้อ ข้าพักอยู่ที่บ้านตระกูลหลิ่วในตำบลไป๋อวิ๋น แล้วเ้าล่ะ? พักอยู่ที่ใด? วันหลังข้าจะไปเยี่ยม”
อวิ๋นฉี่เยว่ตอบ “หมู่บ้านไหวซู่ จิ่นอวี๋ ลาก่อน!” กล่าวจบก็ขึ้นรถม้าทันที
หลิ่วเทียนโย่วร้องเรียก “ลาก่อน สิงจือเ้าอย่าลืมมาหาข้านะ! หรือให้ข้าไปหาเ้าก็ได้!”
หลิ่วเชียนเชียนเอ่ยลา “พี่ฉี่เยว่ เดินทางปลอดภัยเ้าค่ะ!” สองพี่น้องจ้องมองรถม้าของตระกูลอวิ๋นจนลับสายตา จากนั้นจึงหันหลังกลับ
ส่วนอวิ๋นฉี่เยว่ พอไปรับถังสุ่ยที่หน้าประตูเมืองเสร็จ ก็ตรงกลับหมู่บ้านไหวซู่ทันที ตอนนี้เป็เวลาเที่ยงแล้ว ทั้งสองคนกินเสบียงแห้งในรถม้า อวิ๋นฉี่เยว่ให้อากุ้ยไปส่งถังสุ่ยที่หมู่บ้านหยางหลิ่ว จากนั้นจึงวนกลับไปหมู่บ้านไหวซู่
พอถึงบ้าน อวิ๋นฉี่เยว่ก็ยกของที่ซื้อมาทั้งหมดไปที่ห้องของอวิ๋นเจียว “...ขนมพวกนี้เป็ของเ้า หากเ้าคิดว่ามากเกินไป ก็แบ่งให้หลานเอ๋อร์บ้างก็ได้ ส่วนผ้าพวกนี้ให้พี่เหลียนเอ๋อร์ช่วยตัดเย็บชุดฤดูใบไม้ผลิเถิด ทั้งเ้าและท่านแม่ก็ตัดเย็บสักสองสามชุด ให้พี่เหลียนเอ๋อร์กับน้องหลานเอ๋อร์ตัดเย็บคนละชุดเช่นกัน ไม่ต้องเก็บไว้”
อวิ๋นเจียวรีบพูดด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ดีเ้าค่ะ ข้าขอบคุณแทนท่านแม่ พี่เหลียนเอ๋อร์ และพี่หลานเอ๋อร์นะเ้าคะ”
เมื่อเห็นท่าทางน่ารักของอวิ๋นเจียว อวิ๋นฉี่เยว่อดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของนางเบาๆ จากนั้นก็จับมือของนางขึ้นมาดู “แผลดีขึ้นมากแล้ว แต่เ้าต้องจำไว้ว่าห้ามโดนน้ำ!”
อวิ๋นเจียวพยักหน้าหงึกๆ “ข้ารู้แล้วเ้าค่ะ!”
“หากมีเื่ใด ก็สั่งชุนเหมยให้ทำ...” อวิ๋นฉี่เยว่พูดจบ ก็เห็นว่าในลานบ้านไม่มีวี่แววของชุนเหมย
อวิ๋นเจียวจึงอธิบายว่า “ชุนเหมยไปช่วยข้าดูแลต้นกล้าดอกไม้ ท่านพ่อกับท่านลุงใหญ่ไม่รู้วิธีปลูกดอกไม้ แต่ชุนเหมยรู้เ้าคะ”
อวิ๋นฉี่เยว่พยักหน้า “อืม เช่นนั้นหากเ้ามีเื่ใดก็ขอให้พี่เหลียนเอ๋อร์ช่วยเหลือ ตอนนี้ข้าจะไปหาอาจารย์แล้ว”
อวิ๋นเจียวเดินไปส่งอวิ๋นฉี่เยว่ที่หน้าประตูบ้าน จากนั้นจึงกลับเข้ามาในห้อง เนื่องจากอากาศดี อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์จึงนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่ในลานบ้าน พออวิ๋นฉี่เยว่ออกไป อวิ๋นเจียวก็เรียกนางเข้ามาดูผ้า และบอกเื่ที่อวิ๋นฉี่เยว่สั่งเอาไว้
อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์คุ้นเคยกับนิสัยของคนตระกูลอวิ๋นเป็อย่างดี นางรู้ว่าหากปฏิเสธ อวิ๋นเจียวคงไม่พอใจ จึงรับเอาไว้ด้วยความดีใจ
“...ข้าอยากได้เสื้อแขนสามส่วนชุดหนึ่ง ชุดฉีซงหรูฉวิน [3] อีกชุดหนึ่ง เสื้อแขนสามส่วนใช้ผ้าสีฟ้าอ่อนตัดกับสีม่วงอ่อน ชุดฉีซงหรูฉวินใช้สีเขียวอ่อนตัดกับสีเขียวมรกต อืม สีชมพูนี้ก็เย็บเป็กระโปรงจีบ พี่เหลียนเอ๋อร์รอข้าก่อน ในหีบของข้ามีชุดสำเร็จรูปอยู่ ข้าจะไปหยิบมาให้ท่านดูเป็ตัวอย่าง!”
กล่าวจบอวิ๋นเจียวก็วิ่งกลับเข้าไปในห้อง เพื่อแอบซื้อของจากเถาเป่า แม้ว่าอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์จะมีฝีมือในการตัดเย็บเสื้อผ้า แต่เพราะเป็หญิงสาวจากครอบครัวธรรมดา นางจึงไม่ได้มีความรู้ในด้านเครื่องแต่งกายมากนัก
หลังจากซื้อชุดฮั่นฝูประยุกต์จากเถาเป่าหลายชุดแล้ว อวิ๋นเจียวก็หอบชุดพวกนั้นไปหาอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ พร้อมทั้งมอบชุดเ่าั้ให้ อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ถูกดึงดูดไปที่ชุดเ่าั้จนไม่อาจละสายตาออกได้ ช่างสวยงามเหลือเกิน
อวิ๋นเจียวพูดต่อ “พวกเราไม่ต้องปักลวดลาย ทำให้ดูเรียบง่ายก็พอเ้าค่ะ”
การปักลวดลายนั้นเสียเวลามาก ที่บ้านก็ไม่มีช่างปัก หากให้อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ปักคนเดียว กว่าจะเย็บเสร็จก็คงถึงหน้าร้อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิ ถึงแม้จะไม่มีลวดลายปัก แต่หากแบบสวยงาม ก็ดูดีไม่แพ้กัน
สำหรับอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ อวิ๋นเจียวพูดอย่างไรนางก็เห็นด้วย “อืม ได้สิ!”
ไม่นานอวิ๋นหลานเอ๋อร์ก็มาถึง นางถูกอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ลากมาช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ เช่น ช่วยส่งของให้นาง เป็ต้น อวิ๋นเจียวหยิบขนมออกมาด้วย ทั้งสองคนนั่งอาบแดดอยู่ในลานบ้านพลางดูอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ตัดเย็บเสื้อผ้า ใช้เวลา่บ่ายอย่างมีความสุข
ตกเย็น หลังจากครอบครัวอวิ๋นเจียวกินข้าวเย็นเสร็จ ผู้เฒ่าอวิ๋นก็พาอวิ๋นโส่วจู่มาคืนวัว พอถึงบ้านตระกูลอวิ๋น ผู้เฒ่าอวิ๋นก็สั่งให้อวิ๋นโส่วจู่จูงวัวไปที่คอกวัว ส่วนเขาก็เดินเข้าไปในห้องโถง
“ท่านพ่อ เชิญนั่งข้างในก่อน” อวิ๋นโส่วจงปรายตามองอวิ๋นโส่วจู่ที่กำลังจูงวัวเข้าคอก แล้วส่งสายตาให้อากุ้ย อากุ้ยจึงรีบเดินตามไป
ผู้เฒ่าอวิ๋นเข้ามานั่งในห้อง จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “ได้ยินโส่วหลี่บอกว่าฉี่เยว่จะไม่ไปสอบเป็บัณฑิตถงเซิงแล้วหรือ?”
อวิ๋นโส่วจงตอบ “ใช่ขอรับ เขาจะไม่ไปสอบเป็บัณฑิตถงเซิงในครั้งนี้”
ผู้เฒ่าอวิ๋นถามต่อ “เขาจะไม่ไปเรียนที่สำนักศึกษาแล้วหรือ?”
อวิ๋นโส่วจงตอบ “ใช่ขอรับ ต่อไปนี้เขาจะไม่ไปเรียนที่สำนักศึกษาแล้ว!” มีจอหงวนสองบัญชีคอยสอนด้วยตัวเอง ใครจะไปเสียเวลาเรียนที่สำนักศึกษาเล่า!
ผู้เฒ่าอวิ๋นเผยรอยยิ้มพอใจ จากนั้นก็สูบยาเส้นแห้งพลางพูดต่อ “เช่นนี้สิถึงจะถูกต้อง การเรียนหนังสือต้องอาศัยพร์ การสอบเป็บัณฑิตไม่ใช่เื่ง่ายๆ เ้าไม่เห็นหรือว่าหลายคนสอบจนแก่เฒ่า หัวขาวโพลน ก็ยังสอบไม่ผ่านได้เป็บัณฑิตซิ่วไฉด้วยซ้ำ คนเราต้องรู้จักประมาณตน”
“ถึงแม้ว่าเ้าจะมีเงิน แต่ก็ไม่ควรนำมาใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเช่นนี้ เอาไปสนับสนุนเ้าห้าไม่ดีกว่าหรือ ครอบครัวของเ้าฐานะร่ำรวย หากไม่มีคนในบ้านมีชื่อเสียงโด่งดัง ก็คงมีคนอื่นๆ มาคิดร้ายเอาได้!”
อวิ๋นเจียวมองท่านปู่ของตน ช่างเป็คนหน้าหนาจริงๆ ยังกล้าคิดจะให้บ้านของนาง ออกเงินส่งเสียอวิ๋นโส่วหลี่เรียนหนังสือ!
อวิ๋นโส่วจงได้ยินก็พูดด้วยน้ำเสียงเ็า “ท่านพ่อ เมื่อยี่สิบปีก่อนข้าก็ตัดขาดจากตระกูลอวิ๋นแล้ว แต่ข้าก็ยังเคารพท่านในฐานะบิดา เพราะเมื่อท่านจากไป ข้าก็ต้องจัดการฝังท่านเคียงข้างท่านแม่ของข้าอยู่ดี แต่คนอื่นๆ จะเป็อย่างไร ข้าคงไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย”
เชิงอรรถ
[1] สำนักศึกษาหลวง (国子监) เป็สถาบันการศึกษาขั้นสูงสุดในสมัยราชวงศ์สุย ถัง ซ่ง หยวน ิ และชิง มีฐานะเทียบเท่ามหาวิทยาลัยในปัจจุบัน
[2] บัณฑิตถงเซิง (童生) คือ เป็ตำแหน่งผู้สอบผ่านขั้นแรกของระบบการสอบคัดเลือกขุนนาง เพื่อเตรียมตัวเข้าสอบในระดับสูงขึ้นต่อไป
[3] ชุดฉีซงหรูฉวิน (齐胸襦裙) ลักษณะพิเศษของชุดนี้คือขอบกระโปรงจะถูกดึงขึ้นมาจนถึงระดับหน้าอก ได้รับความนิยมใน่ราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถัง