บทที่ 49 สิบสองค้อนกำราบวายุ และความก้าวหน้าอันน่าพรั่นพรึงของอิ๋งปิง
“คราวก่อน ข้าเสียยาเม็ดชำระจิตระดับหกอักษรให้ศิษย์พี่มู่หรง มีมูลค่าเทียบเท่าวิชาบำเพ็ญกายระดับสูงวิชาหนึ่งเลยทีเดียว”
“แต่คราวนี้รางวัลที่ได้กลับเป็ตราพระคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์โบราณ”
“ก็นับว่าดีกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคราวนั้นแล้วกระมัง?”
หลี่โม่ครุ่นคิด พลางลูบไล้ตราประทับทองแดงขนาดเล็กในฝ่ามืออย่างใคร่ครวญ
เขาค้นหาในชั้นห้าต่อ วิชาบำเพ็ญกายระดับสูงในที่แห่งนี้มีไม่มากนัก และวิชาค้อนยิ่งหาได้ยากกว่ามาก ทว่าครึ่งชั่วยามให้หลัง เขาก็ต้องประหลาดใจ
“‘สิบสองค้อนกำราบวายุ’ ”
หลี่โม่ปัดฝุ่นหนาเตอะบนตำราออก จนเผยให้เห็นชื่อชัดเจน เป็วิชาบำเพ็ญกายระดับสูง และเป็วิชาค้อนด้ามสั้น มีทั้งหมดสิบสองกระบวนท่า หากฝึกฝนจนบรรลุถึงขั้นแตกฉาน ค้อนเพียงหนึ่งคราก็สามารถสั่นะเืแผ่นดินได้
อืม... หากฝึกจนบรรลุถึงแก่นแท้ และมีขอบเขตพลังเพียงพอ จะมีอานุภาพเทียบเท่าการโจมตีหนึ่งหมัดของอาจารย์หรือไม่นะ? หลี่โม่มองไปยังยอดเขาศาสตราที่แหว่งไปส่วนหนึ่ง และครุ่นคิดในใจเงียบๆ เขาพลิกหน้าต่อไป…
“วิชาการต่อสู้นี้มีแค่สองในสามส่วนเท่านั้นหรือ?”
เมื่อพลิกถึงกระบวนท่าที่แปด วิชาการต่อสู้ก็หยุดชะงักลง หลี่โม่จมดิ่งสู่ห้วงความคิดชั่วขณะ ครู่หนึ่ง เขาก็ยังคงตัดสินใจหยิบตำราเล่มนั้นลงไปชั้นล่าง เป็เพราะยามนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากนำกลับไปก่อน แล้วค่อยหาวิธีแก้ไขในภายหลัง
เมื่อมาถึงยังชั้นหนึ่ง ยังคงเป็เ้าหน้าที่ศิษย์ชั้นในคนเดิม
“ศิษย์น้องหลี่ เลือกได้แล้วหรือ?”
“ขอรับ รบกวนศิษย์พี่ช่วยลงบันทึกให้ข้าด้วย”
หลี่โม่ยื่นตำราไปให้ “เอ่อ...อืม?” เ้าหน้าที่ศิษย์ชั้นในรับตำรามา กำลังจะจรดปากกา แต่เมื่อเหลือบเห็นชื่อวิชาการต่อสู้ก็ชะงักไปชั่วครู่
“ศิษย์น้องหลี่ นี่เป็วิชาค้อนนะขอรับ”
เขาจ้องมองกระบี่ยาวที่เอวของศิษย์น้องหลี่อย่างพิจารณา เป็ที่รับรู้กันทั่วทั้งสำนักแล้วว่าศิษย์สายตรงหลี่ผู้นี้ได้รับกระบี่เพลิงสีชาด อันมีชื่อเสียงเคียงคู่กับกระบี่น้ำค้าง์ ดังนั้น…ผู้คนจำนวนมากจึงเชื่อว่า แม้ไม่อาจเทียบศิษย์น้องอิ๋งปิงได้ แต่เขาก็นับเป็ ‘อัจฉริยะวิถีกระบี่’ ดังที่พวกเขาเคยได้ยินมาอย่างแน่นอน ด้วยอิ๋งปิงนั้นน่าพรั่นพรึงเกินไปนัก เพียงตวัดมือหนึ่งครา เหล่ากระบี่ชื่อดังก็พลันลอยขึ้นกลางอากาศ มาเข้าแถวรอคอยการยอมรับเป็เ้าของ นี่เป็เื่ที่เกินขอบเขตความเข้าใจของพวกเขาไปมากนัก ในทางกลับกัน ศิษย์น้องหลี่อาศัยความสามารถทางวิชาดาบ ผ่านการทดสอบของกระบี่เพลิงชาด ซึ่งเป็ภาพลักษณ์ของอัจฉริยะที่พวกเขาจินตนาการไว้
อัจฉริยะวิถีกระบี่เช่นเขา กลับเลือกวิชาค้อนหรือนี่?
“ข้าไม่ได้เลือกผิด”
“หินต่างถิ่นอาจลับหยกได้ วิชาดาบข้ามีอยู่แล้ว การศึกษาตำราวิชาการต่อสู้แขนงอื่น อาจทำให้ข้าเข้าใจวิถียุทธ์ได้กว้างขวางขึ้น”
หลี่โม่ส่ายหน้า หินต่างถิ่นอาจลับหยกได้งั้นหรือ? ช่างเป็ความคิดที่ห่างไกลจากความเข้าใจเกินไปแล้ว...
“วิชาการต่อสู้นี้แม้จะขาดหายไป ศิษย์น้องหลี่ควรคิดให้ดีนะขอรับ”
เ้าหน้าที่ศิษย์ชั้นในเตือนอีกครั้ง
“อืม ข้าพิจารณาดีแล้ว”
“ดีขอรับ ภายในหนึ่งเดือน ศิษย์น้องหลี่กรุณานำวิชาการต่อสู้นี้มาคืน และโปรดอย่าถ่ายทอดออกไปภายนอกเด็ดขาด”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่เปลี่ยนใจ เ้าหน้าที่ศิษย์ชั้นในก็มิได้กล่าวอะไรอีก
ในเวลาเดียวกัน
บนยอดเขาหลักของสำนักชิงเยวียน ในลานกระบี่
อิ๋งปิงก้าวข้ามธรณีประตูพร้อมกับกอดกระบี่ไว้ในอ้อมแขน ชุดกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ของนาง ดูเ็าราวกับเป็ส่วนหนึ่งของกระบี่ยาวที่นางกอดไว้ ทันทีที่ก้าวเข้าสู่ลานกระบี่ สายตาหลายคู่จับจ้องมาที่นาง ราวกับกำลังมองดูสมบัติล้ำค่า
“กระบี่น้ำค้าง์ ผ่านไปกว่าสี่ร้อยปีก็ได้เ้าของอีกครั้ง ช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก”
เฉียนปู้ฟ่านรำพึงด้วยความพึงพอใจ
เซวี่ยจิงดูเหมือนเพิ่งกลับมาจากนอกเขา ใบหน้ายังคงมีร่องรอยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง แต่กลับเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่จางหาย
“ครั้งสุดท้ายที่สำนักมีอาวุธลี้ลับยอมรับเ้าของ ก็เมื่อห้าสิบปีที่แล้ว ครั้งนี้กลับมีอาวุธลี้ลับถึงสองเล่มยอมรับเ้าของพร้อมกัน ทั้งยังเป็กระบี่น้ำค้าง์กับกระบี่เพลิงสีชาดอีกด้วย”
“หายากนัก หายากจริงๆ”
“อืม หานเฮ่อ เ้าก็อย่าทำหน้าบึ้งเลย อาวุธลี้ลับที่อยู่ในถ้ำศาสตราเทพ ย่อมมีไว้ให้คนใช้งานอยู่แล้ว อีกทั้งกระบี่เลิศย่อมคู่กับวีรบุรุษ พวกมันก็ถือว่าได้พบกับเ้าของที่เหมาะสมแล้ว”
ผู้าุโหานเฮ่อไม่ปริปากพูดอะไรเลยั้แ่ก้าวเข้ามาในลานกระบี่ ทุกคนคิดว่าเขาทำหน้าลำบากใจเพราะเสียดายอาวุธลี้ลับ
“สิ่งที่ควรจะชม พวกท่านก็ชมกันไปหมดแล้ว ข้าไม่ถนัดพูดจาไพเราะ ก็คร้านจะกล่าวคำสวยหรูอะไรอีก”
หานเฮ่อมองเซวี่ยจิงด้วยสีหน้าหงุดหงิด คำว่า ‘เทพศาสตรา’ แห่งยอดเขาศาสตราวุธของเขาถูกคน่ชิงแล้ว!
“เอาล่ะ ให้พวกเฒ่าอย่างเราได้เบิกตาดูบ้าง”
“ว่าผู้ที่มีพร์น่าทึ่งถึงเพียงนี้ฝีมือเป็เช่นไรเหตุใดทำให้อาวุธลี้ลับต่างพากันแห่แหนมาหา”
ซ่างกวนเหวินชางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ศิษย์น้อมรับ”
อิ๋งปิงพยักหน้า แสงกระบี่ส่องประกายเจิดจ้าไปทั่วทั้งห้องอย่างกะทันหัน สายลมพัดมาแต่ทิศทางใดไม่ทราบ พัดพากลีบดอกไม้ที่อยู่รอบลานกระบี่ปลิวร่วงหล่นลงมา ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง เมื่อกระบี่ถูกกวัดแกว่ง กลีบเ่าั้กลับเคลื่อนไหวได้เองโดยปราศจากแรงลมภายนอก บางครั้งก็กระจายออก บางครั้งก็รวมตัวกัน เมื่อกระจายออกก็งดงามน่าทึ่ง แฝงไว้ด้วยคมกระบี่สังหาร เมื่อรวมตัวกันก็เยือกเย็นน่าพรั่นพรึง ทรงพลังไร้เทียมทาน
เพล้ง!
พลันในทันใดนั้นเอง กลีบดอกไม้ทุกกลีบก็พลันแตกเป็เกล็ดน้ำแข็ง
“ถึงกับมีกระบวนท่ากระบี่อยู่บ้างแล้ว”
“ใช่แล้ว ถึงแม้ผู้สร้างวิชากระบี่เสาะบุปผาจะมาแสดงด้วยตนเอง ก็ยังต้องตามไม่ทัน”
“ข้าแทบจะจำวิชาดาบนี้ไม่ได้แล้ว ที่แข็งแกร่งไม่ใช่ตัววิชา แต่เป็นางต่างหาก”
ผู้คนต่างมองหน้ากันราวกับเพิ่งตื่นจากภวังค์ และในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมกระบี่น้ำค้าง์ถึงได้ตื่นเต้น อยากจะยอมรับนางเป็เ้าของถึงเพียงนั้น
กระบวนท่า!
นี่มิใช่สิ่งที่สามารถเข้าใจได้จากวิชาบำเพ็ญกายระดับสูง อย่าว่าแต่ในขอบเขตปราณโลหิตเลย แม้แต่ผู้ที่สามารถหยั่งรู้ความลึกซึ้งในขอบเขตปราณญาณเทพ ก็ยังหาได้ยากยิ่งนัก นี่แสดงให้เห็นว่า แม้นางจะอยู่ในขอบเขตปราณโลหิต แต่ก็มีรากฐานความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตปราณญาณเทพเสียอีก
นี่คืออัจฉริยะที่แท้จริงกระนั้นหรือ?
เหล่าผู้าุโถึงกับสิ้นคำบรรยาย อิ๋งปิงเก็บกระบี่และยืนนิ่งเงียบ
“เสี่ยวปิงเอ๋อร์ วิชาดาบของหลี่โม่ เ้าเป็คนชี้แนะใช่หรือไม่?”
เซวี่ยจิงค่อยๆ ได้สติกลับคืนมาและถาม
“เ้าค่ะ”
อิ๋งปิงพยักหน้า
“เป็เช่นนี้นี่เอง”
“ก็จริงอยู่ แม้จะมีความสามารถทางวิชาดาบอยู่บ้าง ก็ยากนักที่จะผ่านการทดสอบของอาวุธลี้ลับได้ในตอนนี้”
“แต่สิ่งนี้ก็แสดงให้เห็นว่า หลี่โม่ยังมีแววในวิถีกระบี่อยู่บ้าง”
เหล่าผู้าุโต่างพยักหน้าเข้าใจ มีเพียงหานเฮ่อเท่านั้นที่สีหน้าซับซ้อน พลางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“ในวิถีกระบี่ แม้ข้าจะถือว่าตัวเองมีความรู้กว้างขวางและอ่านตำราประวัติศาสตร์มามาก ก็ยากที่จะหาผู้มีพร์ด้านวิถีกระบี่เทียบเท่าเ้าได้แล้ว”
ซ่างกวนเหวินชาง เ้าสำนักชิงเยวียนผู้ซึ่งปกติแล้วเคร่งครัด ก็อดไม่ได้ที่จะรำพึงรำพันในตอนนี้
“มีอยู่เ้าค่ะ”
อิ๋งปิงตอบโดยไม่ลังเล
“โอ้?”
“ฟ้าเบื้องบนยังคงมีฟ้าเบื้องบน”
อิ๋งปิงกล่าวเบาๆ แม้กระบี่จะเป็อาวุธที่นางใช้ถนัดมือที่สุด แต่มันกลับมิใช่จุดแข็งที่สุดของนาง ยิ่งไปกว่านั้น อัจฉริยะวิถีกระบี่ที่แท้จริง... ในใจนาง พลันปรากฏชื่อของผู้ที่คู่ควรแก่การเรียกขานอีกครา
“เสี่ยวปิงเอ๋อร์ ตอนนี้เ้าเปิดเส้นชีพจรไปกี่เส้นแล้ว? พลังความเย็นที่อยู่ในสายเืของเ้า ่นี้มีการเปลี่ยนแปลงบ้างหรือไม่?”
เซวี่ยจิงถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“สิบสองเส้นเ้าค่ะ”
“พลังความเย็น...มิมีการเปลี่ยนแปลงเ้าค่ะ”
สิบสองเส้นหรือ?!
ถ้วยชาในมือของเฒ่าเซวี่ยจิงร่วงหล่นลงพื้นไร้เสียง จนเสื้อผ้าเปียกโชกไปหมด ในลานกระบี่อันกว้างใหญ่ เงียบสงัดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตก จากนั้น เสียงของอิ๋งปิงก็เอ่ยเสริมขึ้น
“ใกล้สิบสามเส้นแล้วเ้าค่ะ”
เดิมทีเหล่าผู้าุโก็แข็งทื่อราวกับศิลาไปแล้ว พอได้ยินคำนี้ ศิลานั้นก็แทบจะแตกเป็เสี่ยงๆ ไม่เพียงแต่ตกตะลึงกับความก้าวหน้าที่เหลือเชื่อของอิ๋งปิงเท่านั้น เป็ที่รู้กันดีว่าผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณโลหิตจะสามารถเปิดเส้นชีพจรหลักได้มากที่สุดเพียงสิบสองเส้นเท่านั้น นางเพิ่งพูดว่าอะไรนะ? สิบสามเส้นงั้นหรือ? นั่นหมายความว่าขีดจำกัดสูงสุดในขอบเขตปราณโลหิตของอิ๋งปิงนั้นน่าพรั่นพรึงยิ่งกว่ากระนั้นหรือ?
“เสี่ยวปิงเอ๋อร์ เ้ารู้สึกว่าเ้าสามารถเปิดเส้นชีพจรหลักได้มากที่สุดกี่เส้น?”
“ยี่สิบสี่เส้นเ้าค่ะ”
อิ๋งปิงกล่าวอย่างใจเย็น แม้จะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่เสียงลมหายใจเฮือกใหญ่ก็ยังคงดังขึ้นทั่วทั้งลานกระบี่ พร์อันประหลาดล้ำที่พวกเขารู้จักมาทั้งหมด เมื่อเทียบกับสิ่งนี้แล้วก็ราวกับเป็เพียงเื่ไร้สาระ
ในเวลาเดียวกัน
ไม่ไกลจากศาลาชิวสุ่ย ณ บริเวณน้ำตกแห่งหนึ่ง
“ฟู่...”
หลี่โม่หยุดการฝึกฝน ในความรู้สึกของเขา เส้นชีพจรที่ได้รับการเสริมความแข็งแกร่งด้วยกายาศาสตราสังหาร เปรียบดั่งัซุ่มซ่อน ภายในนั้นเมล็ดพันธุ์ปราณโลหิตแต่ละเม็ดราวเมล็ดบัวต่างพลุ่งพล่านด้วยพลังอันแข็งแกร่ง
“การฝึกฝนครั้งนี้ สามารถทะลวงเส้นชีพจรได้ถึงสองเส้นในคราวเดียว”
หลี่โม่พ่นลมหายใจออกมา เขาััได้ว่าร่างกายที่เคยใช้พลังงานเกินขีดจำกัดจากการยกค้อนอุกกาบาตบรรลัยกัลป์เมื่อคราวก่อน ได้ฟื้นตัวเต็มที่แล้ว ดั่งการ ‘ทำลายเพื่อสร้างใหม่’ ประกอบกับศาสตราเทพนั้นมีอานุภาพพิเศษในการบำเพ็ญเพียรกายา เขาจึงสามารถบรรลุความก้าวหน้าได้ถึงสองขั้นในคราวเดียว
“จะประมาทมิได้”
“ขอบเขตปราณโลหิตของข้ายังไม่ถึงครึ่งทางเลยด้วยซ้ำ”
หลี่โม่ดีใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็เลิกลืมตัวและประมาท จากนั้นก็หยิบตำรา ‘สิบสองค้อนกำราบวายุ’ ออกมาจากอกเสื้อ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้