“ขออนุญาตครับ!”
“เข้ามา!”
จ้าวอี้ผลักประตูห้องตรงหน้าเข้าไป ป้ายบนประตูเขียนไว้ว่าสำนักงานอธิบดี
“สวัสดีครับ นี่คือจดหมายแนะนำตัวของผมครับ!”
ไม่มีการแสดงความรู้สึกใดๆ บนใบหน้าที่สงบนิ่งของจ้าวอี้ เขาวางจดหมายแนะนำไว้บนโต๊ะ ตรงหน้าชายวัยกลางคนที่ดูภูมิฐาน
อธิบดีหวังไม่ได้หยิบจดหมายแนะนำตัวขึ้นมาในทันที แต่กลับเอามันมาวางไว้ด้านข้าง และจัดการงานในมือต่อ ขณะเดียวกันก็โบกไม้โบกมือให้ชายหนุ่มยืนรอ
ประมาณครึ่งชั่วโมง จ้าวอี้ยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานไม่ขยับเขยื้อน เชิดหน้ายืดอกประหนึ่งไม่สนใจท่าทีเมินเฉยของชายวัยกลางคน
“ไม่เลวนี่ไอ้หนุ่ม ผู้พันของนายได้โทรศัพท์บอกฉันก่อนหน้านี้แล้ว”
ในที่สุดอธิบดีหวังก็วางเอกสารในมือลงแล้วหยิบจดหมายแนะนำตัวมาดูอย่างละเอียด บนใบหน้ายิ้มแย้มด้วยท่าทีพึงพอใจ
จ้าวอี้ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่ตรงนั้น เหมือนกับก้อนหินที่นิ่งเงียบก้อนหนึ่ง
“จ้าวอี้ เพศชาย อายุยี่สิบเจ็ดปี ผู้บังคับกองร้อยลาดตระเวน ระหว่างรับราชการทหารปฏิบัติการได้อย่างดีเยี่ยม ตอนนี้ถูกอนุมัติให้ออกจากกองทัพ หวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะแก้ไขปัญหาการว่าจ้างงานได้อย่างเหมาะสม...”
อธิบดีหวังอ่านจดหมายแนะนำฉบับนั้นอย่างช้าๆ จากนั้นจึงนำมันเก็บพร้อมส่ายหน้าไปมาพลางหัวเราะ ก่อนจะกล่าว “จ้าวอี้ นั่งก่อนสิ นั่งคุยกัน ผู้พันหลี่ของนายน่ะเป็เพื่อนร่วมรบกับฉัน เขาอธิบายให้ฉันฟังอย่างละเอียดแล้วเกี่ยวกับสถานการณ์ของนาย ถ้าให้ฉันพูดนะ ทางที่ดียอมแพ้ซะยังอาจจะได้รับสิทธิพิเศษนะ นายจะไม่ล้างแค้นให้เพื่อนร่วมรบที่ตายไปหน่อยเหรอ?”
อธิบดีหวังยืดตัวขึ้น ท่าทีคล้ายรำคาญ แขนแข็งแรงโบกไปมาประกอบคำพูดพลางเหม่อลอยย้อนนึกถึงสมัยที่เขายังหนุ่ม
จ้าวอี้ที่การแสดงออกเหมือนก้อนหินก็เริ่มขยับในที่สุด เขาก้มศีรษะเล็กน้อย “ผมทำผิดวินัยจึงไม่สามารถแก้ตัวเื่ที่ถูกถอดจากกองทัพได้ แถมยังให้เ้าหน้าที่าุโจัดเตรียมงานใหม่ให้อีกด้วย”
“ผลงานของนายน่ะ สองวันมานี้ฉันได้พิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ผู้พันของนายบอกว่านายคือท่อนเหล็กที่ดี เหล็กที่ดีก็ต้องอยู่บนคมมีด พอดีเลย ฉันมีแผนกพิเศษแผนกหนึ่ง แผนกนี้คือผู้มีฝีมือท่ามกลางผู้มีฝีมือ ภารกิจทั้งหมดที่ได้รับมีความสำคัญสูงสุด ไอ้หนุ่ม นายมีความมั่นใจไหม?”
จ้าวอี้ทำท่าวันทยหัตถ์อย่างเรียบร้อย “ผมรับรองว่าจะทำภารกิจให้สำเร็จครับ”
“ดี! ไอ้หนุ่ม กระตือรือร้นดีมาก”
พูดไปอธิบดีหวังก็ยกโทรศัพท์สีดำที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา “เหล่าโจว อา...เด็กหนุ่มที่ฉันพูดถึงก่อนหน้านี้มาถึงแล้ว...อืม เป็วัตถุดิบที่ดี...ได้ ฉันจะรอนายที่สำนักงานของฉันละกัน”
ไม่นาน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง เหล่าโจวซึ่งสวมชุดนักพรตก็เดินเข้ามา
จ้าวอี้มองเขาอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ทั้งรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง ไม่ได้จัดให้ตนเข้าในแผนกตำรวจหรืออย่างไร ทำไมถึงมีคนสวมชุดนักพรตมารับตน
เขากลับไม่ถามมาก ในกองทัพต้องให้ความสนใจกับการทำตามคำสั่ง ไม่ควรถามและไม่ต้องถาม ตนเองจะรู้ในสิ่งที่ควรรู้เอง
หลังจากทักทายกันอย่างง่ายๆ แล้ว จ้าวอี้ก็แบกกระเป๋าเดินทางเรียบๆ ตามหลังเหล่าโจวไป
เพิ่งออกจากประตูสำนักงาน เหล่าโจวก็ตบไหล่ของจ้าวอี้พร้อมกับหัวเราะร่า “ฉันชื่อโจวเหวินิ ผู้อำนวยการกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ”
“จ้าวอี้ครับ!”
จ้าวอี้ทำวันทยหัตถ์
“ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอก แผนกพวกเราค่อนข้างพิเศษน่ะ นายเคยทำภารกิจลับมามากมาย มีสิทธิ์มากพอที่จะเข้าร่วมแผนกของเรา”
“กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ...”
จ้าวอี้ไตร่ตรองคำเหล่านี้ เขาเข้าใจถึงความหมายเมื่อมองดูตัวอักษร แต่แท้จริงแล้วแผนกนี้รับผิดชอบอะไรบ้างนั้น บอกตรงๆ จ้าวอี้ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ โจวเหวินิจึงอธิบายคร่าวๆ ให้เขาฟังในทันที
“จะว่ายังไงดีล่ะ แผนกเราจัดการเฉพาะคดีพิเศษหรือคดีที่เบื้องบนส่งมอบมา โดยปกติแล้วจะเป็อิสระมาก นายจะค่อยๆ เข้าใจสถานการณ์เองแหละ ถึงแล้วล่ะ”
สำนักงานกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษมีสภาพแวดล้อมไม่เลวทีเดียว ลักษณะพื้นที่เป็ลานเล็กๆ ที่ดูมีอิสระ เมื่อก้าวผ่านประตูเข้ามา จ้าวอี้งุนงงเล็กน้อย นี่เป็แผนกพิเศษที่จริงจังจริงเหรอ?
ห้องขนาดประมาณสองร้อยกว่าตารางเมตรเหมือนเป็ห้องประชุมห้องหนึ่ง ด้านในมีคนทั้งหมดแปดคน ผู้ชายห้าคน ผู้หญิงสามคน แต่งตัวพิลึกพิลั่นไม่เหมือนตำรวจแม้แต่น้อย บรรยากาศหัวเราะสนุกสนานจนเขาไม่รู้ว่ามาทำอะไรที่นี่กันแน่
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี มาๆ ฉันจะแนะนำเพื่อนใหม่ให้พวกเธอรู้จัก” หลังโจวเหวินิเข้าประตูมา เขาก็ปรบมือเพื่อดึงความสนใจของผู้คน
“เด็กใหม่มาแล้ว!”
ในความยุ่งเหยิงวุ่นวายยังมีความเป็ระเบียบอยู่
จ้าวอี้มองภาพตรงหน้าพลางค่อยๆ ขมวดคิ้ว เบื้องหน้าของเขา คนเหล่านี้ไม่เคยผ่านการฝึกทางทหารอย่างสิ้นเชิง ทำให้ในใจค่อนข้างผิดหวังอย่างเลี่ยงไม่ได้
ดูแล้วแผนกนี้เหมือนจะไม่ค่อยได้รับความสำคัญสักเท่าไร
“แนะนำตัวเองกันหน่อยสิ”
โจวเหวินิกล่าว เหล่าเพื่อนร่วมงานในอนาคตของจ้าวอี้ก็ทยอยกันแนะนำสถานะของตนอย่างรวดเร็ว
“เจี่ยจ้าวิ เป็แพทย์”
ชายหนุ่มท่าทางสุภาพเรียบร้อย สวมแว่นตากรอบสีทองยิ้มพลางกล่าว นิ้วมือของเขาเรียวยาวและสะอาดสะอ้าน
“เฉินตง ศิษย์แห่งเขาอู่ตัง1”
เด็กหนุ่มแต่งตัวแนวพังค์ ทรงผมตั้งสูงขึ้นไปประมาณยี่สิบเิเ ปากเคี้ยวหมากฝรั่งดูเลอะเทอะ พูดอย่างไม่สนใจไยดี ในมือยังถือกรรไกรตัดเล็บไว้อันหนึ่งและขัดเล็บอยู่ตรงนั้น ทำให้จ้าวอี้อดไม่ได้ที่ต้องกวาดสายตามองถึงสองครั้ง
คาดไม่ถึงเลยว่า คนนี้จะเป็ศิษย์แห่งเขาอู่ตังอะไรนั่น มองไม่ออกเลยสักนิด ในสายตาของจ้าวอี้เขาไม่ต่างจากนักเลงตามมุมตึกพวกนั้นเลย
“อามิตตาพุทธ สามเณรฉายาสิงเฉิน”
สามเณรอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีประนมมือทักทายด้วยอาการประหม่าเล็กน้อย จากนั้นจึงใช้สายตาอยากรู้อยากเห็นมองไปยังจ้าวอี้ หัวโล้นเป็มันเงาทำให้เห็นแผลเป็แปดแผลบนศีรษะอย่างชัดเจน
“จางอี้เฟย เป็ผู้เชี่ยวชาญด้านสรรพาวุธ ้าอุปกรณ์ทำภารกิจอะไรก็บอกได้”
ชายวัยกลางคนผู้นี้แต่งตัวค่อนข้างธรรมดา ดูเหมือนคนทั่วไป มีเพียงฝ่ามือข้างหนึ่งที่หนาและแข็งผิดปกติ
“เซี่ยตัน หัวหน้าหน่วย B ยินดีต้อนรับเด็กใหม่”
ผมสั้นของเซี่ยตันดูเป็ระเบียบ สวมชุดเป็ทางการ เธอพยักหน้าให้เล็กน้อย
“ผู้เฒ่าสวี่ท่านนี้คือผู้สืบทอดของนายกองโมจิน”
โจวเหวินิผายมือแนะนำผู้เฒ่าสวี่ที่กำลังสูบบุหรี่ สวมชุดเกษตรกรอยู่ข้างๆ
ดวงตาของผู้เฒ่าสวี่หรี่ลง พยักหน้าให้จ้าวอี้และไม่ได้กล่าวอะไร
“สวัสดีพี่จ้าว ฉันชื่ออู๋เยว่ รับผิดชอบในการจัดการแฟ้มคดีของแผนกเรา”
อู๋เยว่คือเด็กสาวอายุไม่มากราวกับเพิ่งพ้นจากประตูโรงเรียนมาไม่นาน เธอยิ้มจนดวงตาหรี่ลงกลายเป็ทรงจันทร์เสี้ยว
“นี่คือผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ของแผนกเรา เสี่ยวหวง หรือหวงอิง อย่ามองว่าเธออายุยังน้อย เธอจบรับปริญญาโทแล้ว” เซี่ยตันมองหวงอิงที่ค่อนข้างกังวลจนพูดไม่ออกและแนะนำตัวคร่าวๆ แทนเธอ
หวงอิงสวมแว่นตาหนาเตอะ ดูท่า ค่าสายตาคงติดลบจากค่ามาตรฐานไม่น้อย เธอกังวลจนไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหน ทำให้จ้าวอี้รู้สึกขบขันอยู่บ้าง เขาเผยรอยยิ้มออกมา ผลคือหวงอิงดูตื่นเต้นมากกว่าเดิม
“เสี่ยวหวงค่อนข้างกลัวที่จะพบคนแปลกหน้าน่ะ ไม่เป็ไรหรอก เดี๋ยวเธอก็คุ้นเคยเองแหละ” โจวเหวินิตบไหล่ให้กำลังใจหวงอิง ส่งผลให้บนใบหน้าของหวงอิงเผยรอยยิ้มออกมา
“หัวหน้าโจว แผนกเราไม่ใช่ใครหน้าไหนก็เข้ามาได้ ผมว่านะ พี่ชาย ความสามารถจริงๆ ของนายคืออะไรกันแน่? บอกความจริงให้ทุกคนรู้เถอะน่า ถ้าไม่มีความสามารถก็ไม่มีที่ยืนในแผนกนี้หรอกนะ” เฉินตงเคี้ยวหมากฝรั่งพลางพูดอย่างไม่แยแส
จากตอนที่อีกฝ่ายเดินผ่านประตูเข้ามา เฉินตงก็ไม่พอใจจ้าวอี้แล้ว แม่มันทำหน้าตายให้ใครมองกัน? ไม่รู้หรือไงว่าเข้ามาในแผนกใหม่ก็ต้องทักทายผู้ใหญ่อย่างกระตือรือร้นถึงจะมีภาพความประทับใจที่ดี พูดแค่ชื่อบ้าๆ นี่มาใครจะรู้ว่าเขาทำอะไรได้ล่ะ
“เฉินตง นายทำตัวดีๆ หน่อยได้ไหม จ้าวอี้ นายอย่าไปใส่ใจเลย เด็กนี่แค่บกพร่องทางระเบียบวินัยน่ะ นิสัยก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก” เซี่ยตันตำหนิไปประโยคหนึ่ง ท่าทางคล้ายกระวนกระวายใจอยู่ไม่น้อย
เธอเข้าใจดี แผนกของตนพิเศษมากจริงๆ ทุกคนต้องรวมเป็หนึ่งจึงจะสามารถทำภารกิจได้ลุล่วงยิ่งขึ้น
จ้าวอี้กวาดตามองห้องประชุม พูดตรงๆ เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานเหล่านี้ เขาค่อนข้างผิดหวัง แก่ก็แก่เลย เด็กก็เด็กเลย อย่างไรก็ตาม มันเหมือนแผนกที่ไร้จุดหมาย แค่ธงสามเหลี่ยมที่แขวนบนผนังยังมีทั้งเล็กทั้งใหญ่คล้ายดูถูกดูแคลนเลย
“ผมเป็ทหารผ่านศึกเคยอยู่ในกองทัพ เนื่องจากระเบียบการเก็บความลับจึงไม่สามารถกล่าวถึงได้ หวังว่าจากนี้ทุกคนจะช่วยชี้แนะให้ผม”
“ดีล่ะ เที่ยงวันนี้จะเพิ่มอาหารสองอย่างเพื่อต้อนรับเพื่อนร่วมงานใหม่ เซี่ยตัน อา…ฉันยังมีธุระต่อน่ะ เธอช่วยแนะนำสถาบันของเราหน่อยสิ คนอื่นควรทำอะไรก็ทำ ฉันไปก่อนล่ะ”
โจวเหวินิกำชับเล็กน้อยก็ออกจากประตูไป ในฐานะผู้อำนวยการ เขาจึงยุ่งมาก
“นายมีที่พักหรือเปล่า? ถ้าไม่มีล่ะก็ หลังกินอาหารกลางวันเสร็จจะให้พี่จางพานายไปหอพักในตึกนะ” เซี่ยตันมองจ้าวอี้ที่แบกกระเป๋าเดินทางมาด้วยจึงถามไปประโยคหนึ่ง
“ขอบคุณครับหัวหน้า”
แน่นอนว่าจ้าวอี้ไม่มีที่พัก เขาเป็เด็กกำพร้าที่มีความพยายามสูง ั้แ่เด็กก็มีรัฐคอยเจือจุน หลังจากถูกบีบให้ออกจากกองทัพก็ตรงเข้ามารายงานตัวที่เมือง J
“ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นหรอกน่า แผนกของพวกเราค่อนข้างพิเศษ หลังจากนี้นายจะรู้เอง ใช่แล้ว นายเป็ทหารสินะ อาวุธที่คุ้นเคยก็คือปืนใช่ไหม?”
“ใช่ครับ ปืนแบบไหนก็ได้”
ดวงตาของจ้าวอี้เป็ประกาย เขาคุ้นเคยกับการพกปืนไปด้วย ห่างจากปืนก็เหมือนขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง
“ว้าว! ใช้เป็ทุกแบบ สุดยอดเลยพี่จาง คุณแย่แล้วล่ะ” เฉินตงะโไปคำหนึ่งอย่างเป็ปริศนา ใครก็ฟังออกว่าในคำพูดแฝงการสบประมาทไว้
“เฉินตง!” เซี่ยตันลากเสียงยาว เฉินตงเบ้ปากและไม่พูดอะไรอีก
“ส่งรายละเอียดอาวุธที่นาย้าให้พี่จาง เขาจะจัดเตรียมให้นายเอง แผนกพวกเราช่วยเื่ปืนไม่ได้ แต่ทิศทางของะุทุกนัดต้องถูกรายงานอย่างครบถ้วน...”
เซี่ยตันกำชับ จ้าวอี้ได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจ ฟังความหมายในคำพูดของเซี่ยตันราวกับอาวุธนี้ขอเพียงตนเองจัดเตรียมเอกสารพร้อมรายละเอียด ทุกอย่างก็จะเตรียมพร้อมด้วยตัวของมันเอง การกระทำเช่นนี้เกือบเทียบได้กับกองทัพที่เขาเคยอยู่
ขณะพูดคุยกัน ทันใดนั้น โทรศัพท์สีแดงบนโต๊ะในห้องประชุมก็ดังขึ้น
ทุกคนที่แต่เดิมหัวเราะสนุกสนานก็เปลี่ยนสีหน้าในพริบตา เซี่ยตันก้าวไปที่โทรศัพท์และรับสาย
“ฉันเซี่ยตัน...รับทราบ...เข้าใจแล้ว…รับทราบ!”
เซี่ยตันวางสายแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “หน่วย B ปฏิบัติการ เป้าหมายคือบ้านเลขที่สิบแปด คฤหาสน์ซีซาน เกิดคดีฆาตกรรมประหลาด เบื้องบนออกคำสั่งให้เรารับ่ต่อ!”
“รับทราบ!”
ทุกคนตอบรับอย่างพร้อมเพรียง แล้ววิ่งเหยาะๆ ออกจากห้องประชุม ขึ้นรถยนต์อเนกประสงค์ที่จอดอยู่ในลาน
จ้าวอี้เดินตาม เขาสังเกตเห็นว่าคนที่ไปมีไม่เยอะ ผู้เชี่ยวชาญด้านสรรพาวุธจางอี้เฟย ยอดฝีมือด้านคอมพิวเตอร์หวงอิง ผู้เฒ่าสวี่และอู๋เยว่กลับไม่ได้ตามมาด้วย
รถยนต์เปิดไซเรน เซี่ยตันสตาร์ตรถอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็กล่าวขอโทษกับจ้าวอี้ “จ้าวอี้ คุณเพิ่งมาถึงก็ต้องออกทำภารกิจแล้ว คุณควรจะพักสักหน่อยนะ”
“ไม่เป็ไรหรอกครับ”
จ้าวอี้กล่าวอย่างไม่ลังเลหนึ่งประโยค เฉินตงที่นั่งอยู่ด้านข้างกระซิบเสียงเบา “พี่เจี่ย ผมจำได้ว่าผมไม่ได้พักมาหลายเดือนแล้วนะ หัวหน้าหน่วยเราก็ไม่ให้ผมลาหยุดเลย”
เจี่ยจ้าวิยิ้มอย่างอ่อนโยน “อาตง นายลาหยุดได้นะ”
“โธ่ๆ...พี่เจี่ย พี่ไว้ชีวิตผมเถอะ ผมยังอยากใช้ชีวิตอีกสักสองปีนะ”
ระหว่างที่พูดคุยกันก็มาถึงคฤหาสน์ซีซานแล้ว
คฤหาสน์ซีซานเป็คฤหาสน์อันโด่งดังแห่งเมือง J ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่กล่าวได้ว่าเป็เศรษฐีใหญ่ที่มีชื่อเสียงแห่งเมือง J สภาพแวดล้อมสวยงาม เงียบสงบ และมีราคาสูง
---------------
1 อู่ตังในภาษาจีนฮกเกี้ยนคือบู๊ตึ๊ง