ราวกับหลินเฟิงไม่ได้ยินคำพูดของเหวินเริ่นเหยียน อันที่จริงเขาไม่แม้แต่จะสนใจคำพูดของเหวินเริ่นเหยียนด้วยซ้ำ อัจฉริยะที่ดีแต่ปากน่ะ หลินเฟิงเคยเห็นมาเยอะแล้ว
“หานหมาน เ้านั่นมันเป็คนทำร้ายเ้าใช่ไหม?” หลินเฟิงหันมาถามหานหมาน พลางชี้ไปที่เหวินเริ่นเหยียน
“อืม” หานหมานพยักหน้า ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูของหลินเฟิงว่า “เหวินเริ่นเหยียนไม่ได้แข็งแกร่งเท่าถูฟู แต่ตอนนี้ถูฟูได้กลายเป็ศิษย์หลักไปแล้ว ทำให้เหวินเริ่นเหยียนกลายเป็ศิษย์สายในที่แข็งแกร่งที่สุด เ้าไม่ต้องรีบร้อนแก้แค้นไป ข้าเชื่อว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ เ้าจะเอาชนะเขาได้อย่างแน่นอน”
แข็งแกร่ง?
ศิษย์สายในไม่ว่าใครก็ตามที่สามารถบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 ได้ จะได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับต้นๆ ถ้าเหวินเริ่นเหยียนบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 4 จริงๆ เขาคงไม่มากร่างในเขตศิษย์สายในหรอก เกรงว่าระดับบ่มเพาะของเขา น่าจะอยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3
ถึงแม้ว่าผู้ฝึกยุทธ์อาจจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะอยู่ยงคงกระพัน อย่างน้อยถ้าหากหลินเฟิงสู้เหวินเริ่นเหยียนไม่ได้จริงๆ เขาก็จะหนี
“ไม่ต้องหันไปปรึกษากัน! นี่เป็โอกาสสุดท้ายที่ข้าจะมอบให้ มิฉะนั้นต่อให้เ้าจะเป็อัจฉริยะที่ดีเลิศมาจากไหน ข้าก็กล้าสังหารเ้า!!!”
เหวินเริ่นเหยียนจงใจตะเบ็งเสียงให้ดังขึ้น ก็แค่ศิษย์สายนอกที่เพิ่งก้าวเข้ามาเป็ศิษย์สายใน คงคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งเสียเต็มประดา ถึงได้กล้ามาท้าทายอำนาจของเขา ถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะมีอำนาจของดาบ แต่ทว่าก็ยังอ่อนแอกว่าเขาอยู่ดี วันนี้มันจะต้องคุกเข่าให้กับเขา!!!
ความแข็งแกร่งของจิติญญาแห่งนักรบก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอำนาจดาบอะไรนั่น ซึ่งเหวินเริ่นเหยียนเชื่อมั่นในจิติญญาของเขามาก
“ไม่เห็นต้องเสียเวลาปรึกษากันเลย” หลินเฟิงส่ายหน้า ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากอย่างกวนๆ ขณะกล่าวต่อไปว่า “ต่อให้เ้าคุกเข่าอ้อนวอนกับข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยเ้าไปอยู่ดี”
ทุกคนถึงกับอ้าปากตาค้าง ไอ้หมอนี่มันยังสติดีอยู่หรือเปล่า??? ถึงได้พูดจาอวดดีเช่นนี้?! เขาไม่รู้หรือว่าคนตรงหน้านี้เป็ใคร??? นั่นเหวินเริ่นเหยียนเชียวนะ
เหวินเริ่นเหยียนเป็ศิษย์สายในอันดับหนึ่ง และนิกายก็ให้ความสำคัญกับเขาเป็อย่างมาก แล้วหลินเฟิงนับเป็ตัวอะไร? เป็เพียงแค่ศิษย์สายนอกที่เพิ่งโดดเด่นเท่านั้นเอง เขากล้าดีอย่างไรมายั่วโมโหเหวินเริ่นเหยียน
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดี… ดี…” เหวินเริ่นเหยียนโมโหจนพูดไม่ออก ดวงตาสีน้ำเงินของเขาเป็ประกายแหลมคมขึ้นมา ความเย็นะเืที่แผ่ออกมาจากั์ตาดูคล้ายกับอสรพิษร้ายที่กำลังจ้องมองเหยื่อของตน ทำให้ศิษย์คนอื่นๆ ต่างตัวสั่นด้วยความกลัว
“ไอ้หมอนั่นซวยแล้ว! เหวินเริ่นเหยียนโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว”
ทุกคนคิดในใจเงียบๆ ก่อนจะก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เหวินเริ่นเหยียนที่กำลังโกรธ
หลินเฟิงเองก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างของเหวินเริ่นเหยียนเช่นกัน เพียงแต่ว่าหนักหน่วงกว่าคนอื่นตรงที่ความหนาวเย็นเ่าั้ล้วนพุ่งตรงมาที่เขา
“เหวินเริ่นเหยียน เ้าคิดจะทำอะไร? เ้าไม่ได้อยู่ในลานประลองเป็ตายนะ” สีหน้าของหลิ่วเฟยพลันเปลี่ยนไป ขณะที่เดินไปขวางหน้าหลินเฟิงไว้
การที่เหวินเริ่นเหยียนประกาศว่าหลิ่วเฟยเป็ของเขานั้น ความจริงแล้วมันมีที่มาที่ไป พวกเขาทั้งสองคนต่างรู้จักกันมาก่อน ดังนั้นหลิ่วเฟยจึงรู้จักเหวินเริ่นเหยียนเป็อย่างดี ภายนอกเขาอาจดูเป็สุภาพบุรุษ แต่จิตใจของเขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากอสรพิษ!!!
เนื่องจากหลิ่วเฟย้าดึงตัวหลินเฟิงเข้าร่วมลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ จึงเป็ธรรมดาที่นางไม่อยากให้หลินเฟิงต้องตายเร็ว ในความคิดของหลิ่วเฟยถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะแข็งแกร่ง แต่ทว่าก็ยังห่างไกลจากเหวินเริ่นเหยียนอยู่ดี หากต้องสู้กันขึ้นมาจริงๆ หลินเฟิงจะต้องตายอย่างแน่นอน
“เ้าเป็ผู้หญิงของข้า ทำไมถึงไปปกป้องคนอื่น??? เ้าทำให้ข้าโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้วนะ”
ใบหน้าของเหวินเริ่นเหยียนดูอึมครึมขึ้นมา ดวงตาสีฟ้าเข้มของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไป ทุกคนที่คุ้นเคยกับเขาจะรู้ดีว่านี่เป็สายตาเตรียมสังหารคน
“เ้าพูดบ้าอะไร??? ข้าไปเป็คนรักของเ้าั้แ่เมื่อไร?! หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว กลับกัน ตอนนี้ข้าเป็คนรักของหลินเฟิง ถ้าเ้ากล้าััตัวเขา ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้เ้า”
หลิ่วเฟยมองเหวินเริ่นเหยียนอย่างจริงจัง และกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“โอ้พระเ้า หลิ่วเฟยยอมรับกับปากแล้วว่านางเป็คนรักของหลินเฟิง ทำไมหลินเฟิงถึงโชคดีอย่างนี้ เขาสามารถกุมหัวใจของหลิ่วเฟย สาวงามที่สุดในนิกายหยุนไห่ได้!”
ทุกคนจ้องไปที่หลินเฟิงด้วยสายตาไม่เป็มิตร
ในขณะที่หานหมานกลับมองไปที่หลินเฟิงด้วยสายตาเทิดทูน แข็งแกร่ง แข็งแกร่งจริงๆ เพียงแค่เวลาไม่นาน หลินเฟิงก็สามารถคว้าหัวใจของหลิ่วเฟยได้ และยังทำให้นางยอมรับกับปากว่าเป็คนรักของเขา นี่สิถึงจะคู่ควรเป็พี่น้องของเขา!!!
หลินเฟิงที่เป็ตัวเอกในตอนนี้ กลับรู้สึกมึนงงเป็อย่างมาก ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมลง และมองไปที่หลิ่วเฟยอย่างไม่เข้าใจ นี่นางเป็คนรักของเขาั้แ่เมื่อไรกัน?
หลินเฟิงเห็นสายตาอิจฉาริษยาของศิษย์ที่อยู่รอบๆ ก็พลันโอดครวญในใจว่า หลิ่วเฟย... เ้าเสียสติไปแล้วเหรอ?
“งั้นเ้าก็ตายไปซะ” ในดวงตาของเหวินเริ่นเหยียนฉายแววอาฆาตยิ่งกว่าเดิม
“เ้ากล้า?!” หลิ่วเฟยะโอย่างเกรี้ยวกราด
“ในนิกายหยุนไห่ ไม่มีสิ่งใดที่ข้าเหวินเริ่นเหยียนไม่กล้าทำ”
เสียงหัวเราะอย่างเ็าดังขึ้น ตอนนี้เหวินเริ่นเหยียนไม่สนใจอะไรแล้ว นอกจากฆ่าหลินเฟิง
“จริงหรือ? งั้นข้าจะคอยดู” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น ก่อนจะมีเงาหนึ่งพุ่งเข้ามาในถ้ำอย่างรวดเร็ว
“เหวินเริ่นเหยียน เ้าจะหยิ่งผยองเกินไปแล้วนะ เ้าคิดว่านิกายหยุนไห่เป็บ้านของเ้าหรือ?” ชายชราที่เพิ่งมาถึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า ขณะที่จ้องมองเหวินเริ่นเหยียนด้วยสายตาไม่พอใจ
“เซวียเยว่ มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเ้า อย่ามายุ่งเื่ของข้า”
เหวินเริ่นเหยียนมองเซวียเยว่อย่างเ็า
“เหวินเริ่นเหยียน เ้ามันอวดดียิ่งนัก กล้าดีอย่างไรถึงพูดกับผู้าุโเช่นนี้?”
เหล่าศิษย์ที่กำลังมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างก็รู้สึกใ เซวียเยว่เป็ผู้าุโสายนอกของนิกายหยุนไห่ และในนิกายแห่งนี้มีไม่กี่คนที่กล้าดูิ่เขา
“เหอะ!!! หลินเฟิงและคนอื่นๆ มาที่นี่เพื่อรับป้ายประจำตัวกับเครื่องแบบ แล้วเ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ข่มขู่ว่าจะฆ่าเขา?! หากข้าปล่อยให้เื่นี้เกิดขึ้น คนอื่นๆ จะมองนิกายหยุนไห่ของพวกเราอย่างไร? ในฐานะผู้าุโของนิกาย ข้าไม่อาจเมินเฉยต่อเื่นี้ได้”
“แต่นี่คือเขตของข้า เ้าไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่าย”
น้ำเสียงอันเยือกเย็นดังออกมาจากในถ้ำ ก่อนจะปรากฏร่างของชายวัยกลางคนในชุดสีฟ้าเดินออกมา
“ผู้าุโหลู่” เหวินเริ่นเหยียนส่งยิ้มให้ผู้าุโที่มาใหม่ คนคนนี้ก็เป็ผู้าุโสายนอกเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าเขาได้รับหน้าที่ในการมอบป้ายประจำตัวกับเครื่องแบบให้ศิษย์สายนอกที่เพิ่งเข้ามาเป็ศิษย์สายใน
หลู่หยวนพยักหน้าให้กับเหวินเริ่นเหยียน ท่าทางของเขาดูอบอุ่นมาก แต่เมื่อเลื่อนสายตาไปที่เซวียเยว่ ั์ตาของเขากลับฉายแววไม่เป็มิตรออกมา
“เซวียเยว่ เ้าควรจะอยู่ในเขตของเ้า เ้าจะมาสร้างปัญหาอะไรที่นี่?”
“หมายความว่าอย่างไร?” เซวียเยว่ถามขณะจ้องหลู่หยวน
“หมายความว่าอย่างไรน่ะเหรอ? ก็หมายความว่าที่นี่เป็ที่ของข้า หลู่หยวน และเ้าไม่มีสิทธิ์เข้ามาแทรกแซง”
“เ้าหมายความว่าเหวินเริ่นเหยียนสามารถฆ่าศิษย์คนไหนก็ได้ในที่นี้อย่างนั้นหรือ?!”
“ก็แค่ศิษย์อ่อนแอไม่กี่คน ตายไปก็ไม่มีใครเสียดายหรอก เซวียเยว่ เ้าคิดมากไปแล้ว”
ทุกๆ คนต่างรู้สึกใ พวกเขาไม่คิดเลยว่าความขัดแย้งระหว่างหลินเฟิงกับเหวินเริ่นเหยียนจะนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างผู้าุโทั้งสองคนได้ แต่อย่างไรก็ตามคำพูดของหลู่หยวนก็โหดร้ายเกินไป
ความหมายของผู้าุโหลู่หยวนก็คือ หลินเฟิงไม่มีค่าเท่าเหวินเริ่นเหยียน ต่อให้ถูกเหวินเริ่นเหยียนสังหารไปก็ไม่ใช่ปัญหา ทั้งยังบอกว่าตายไปก็ไม่มีใครเสียดาย นี่มัน น่าเศร้าเกินไปแล้ว
หลินเฟิงเข้าใจสิ่งที่ผู้าุโหลู่กล่าว ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา
เขากลายเป็ศิษย์สายใน มาที่นี่เพื่อรับป้ายประจำตัวของศิษย์สายใน แต่ทว่าผู้าุโที่รับหน้าที่มอบป้ายประจำตัวให้กลับบอกว่าเขามีค่าเทียบเหวินเริ่นเหยียนไม่ได้ และสมควรตาย นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
ส่วนผู้าุโเซวียเยว่ หลินเฟิงเคยเห็นหน้าแค่ครั้งหนึ่ง คือตอนที่ผู้าุโเป่ยเรียกเขาออกมาเฝ้าหอซิงเฉินแทน เห็นได้ชัดว่าเขาต้องเป็คนที่ผู้พิทักษ์เป่ยไว้วางใจ
“ผู้าุโเซวีย” หลินเฟิงกล่าวขึ้นมา ทำให้เซวียเยว่หันหลังมามองหลินเฟิง
“ขอบคุณขอรับ” หลินเฟิงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับเหวินเริ่นเหยียนและหลู่หยวน จากนั้นก็กล่าวว่า “ผู้าุโหลู่ ข้าหลินเฟิงมาที่นี่เพื่อรับป้ายประจำตัวกับเครื่องแบบศิษย์สายใน”
หลู่หยวนเหลือบมองหลินเฟิงด้วยสายตาดูถูก กล้ายั่วยุเหวินเริ่นเหยียนเท่ากับหาที่ตาย เหวินเริ่นเหยียนไม่เพียงแค่แข็งแกร่งและมีพร์ที่ยอดเยี่ยม แต่เขายังมีภูมิหลังที่น่าหวาดกลัวอีกด้วย
เพื่อให้เหวินเริ่นเหยียนรู้สึกดีกับตัวเอง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจตั้งตนเป็ศัตรูกับหลินเฟิง
“ผู้าุโหลู่ ข้าหลินเฟิงมาที่นี่เพื่อรับป้ายประจำตัวกับเครื่องแบบศิษย์สายใน”
หลินเฟิงกล่าวเสียงดังกว่าก่อนหน้านี้ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความหนักแน่น
“เ้าไม่คู่ควร” หลู่หยวนกวาดสายตามองหลินเฟิง และกล่าวออกมาคำหนึ่ง “ไสหัวไป!!!”
