“ว่างสิ ทำไมเหรอ?”
“รตีแค่อยาก... ไปหาเพื่อนสักคนน่ะค่ะ”
“ใครเหรอ?”
“...จิรภา” มารตีตอบพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ
ปพนต์ไม่พูดอะไรนอกจากพยักหน้า และวางมือลงบนหลังมือเธอเบา ๆ “ขอบคุณที่กล้าก้าวออกมาแม้เพียงก้าวเล็ก ๆ นะจ๊ะรตี”
สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาเบา ๆ จากฟากฟ้าเทาอมฟ้า ท่ามกลางกลิ่นดินเปียกชื้นที่ลอยคลุ้ง
มารตีเดินออกจากรถพร้อมร่มคันโปรด เธอนัดพบ "จิรภา" ที่คาเฟ่เรือนกระจกเล็กๆ กลางสวน ซึ่งตั้งอยู่ลึกเข้าไปในย่านเมืองเก่าเงียบสงบของกรุงเทพฯ ที่แทบไม่มีใครพลุกพล่าน
วันนี้หญิงสาวสวมเสื้อคลุมผ้าลินินสีอ่อนกับเดรสผ้าพลิ้วแนบกาย ใบหน้าสดใสแต่แฝงแววลึกของความครุ่นคิด ยิ่งเมื่อเสียงฝนเคาะหลังคาและกระจกใสเหนือศีรษะ ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด...เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง
จิรภามาถึงก่อนแล้ว...
เธอสวมเชิ้ตขาวพับแขน และกางเกงผ้าลินินหลวมทรงเท่ กลิ่นหอมสะอาดของน้ำหอมกลิ่นมัสก์จางๆ ลอยแตะจมูกมารตีเมื่อจิรภาลุกขึ้นต้อนรับด้วยรอยยิ้มละไม และกอดเธอแแ่ในจังหวะที่ไม่เร่งรีบ
“ดีใจจังที่รตีมานะ เรานึกว่าจะถูกเทซะแล้ว” เสียงของจิรภาฟังแล้วอบอุ่นกว่าที่มารตีจำได้ หรือเป็เพราะ่เวลาที่เธออ่อนแอ หูของเธอจึงรับรู้ทุกคำพูดของจิรภาได้ชัดเจนขึ้น?
บทสนทนาอุ่น ๆ และสายตาที่ซึมลึก “เรา...มีเื่จะเล่าให้ฟัง”
“เื่เกี่ยวกับทริปนั่นใช่ไหม?” จิรภาเอ่ยขึ้น พร้อมยื่นมือมาแตะหลังมือมารตีเบา ๆ
มารตีชะงัก ก่อนจะหลุบตาลง และพยักหน้าช้า ๆ เธอเล่าทุกอย่าง...ทั้งความลังเล ความพยายามของปพนต์ ความอึดอัดในคืนแรก และแม้แต่สิ่งที่เธอไม่กล้าจะพูดกับใคร...ความสับสนที่เริ่มก่อตัวในหัวใจของตัวเอง
จิรภาไม่ขัดจังหวะสักคำ เธอแค่ฟังด้วยสายตาที่ไม่ตัดสิน และปลายนิ้วที่ลูบไล้หลังมือของมารตีช้าๆ อย่างปลอบโยน ความใกล้ชิดที่ไม่คาดฝัน...
ฝนยังไม่หยุดตก คาเฟ่เริ่มว่างลง เหลือเพียงพวกเธอสองคนกับเสียงเพลงแจ๊สบรรเลงคลอเบาๆ มารตีขยับตัวเล็กน้อย เธอรู้สึกว่าร่างกายของเธอร้อนวูบวาบขึ้นโดยไร้เหตุผล
จิรภามองตาเธอนิ่ง ก่อนจะเอนตัวเข้ามาใกล้จนเสียงลมหายใจัักันได้ “รตี… รู้ใช่ไหม ว่าเราชื่นชมเธอมาตลอดเลยนะ”
“แม้แต่ในตอนที่เธอเองไม่แน่ใจว่าเธอมีเสน่ห์หรือเปล่า เราก็ยังเห็นเธอสวย และเปล่งประกายอยู่เสมอ” คำพูดนั้นทำให้หัวใจของมารตีเต้นไม่เป็จังหวะ
หญิงสาวไม่ตอบอะไร แต่ไม่ขยับหนีเช่นกัน…จิรภาเอื้อมมือมาเกลี่ยผมเปียกฝนบางเส้นที่แนบแก้มเธอ แล้วััไหล่เบาๆ อย่างที่ไม่ใช่แค่เพื่อนจะทำกัน
“ถ้าเธอเคยสงสัย…บางทีสิ่งที่เธออยาก ‘ค้นหา’ อาจไม่ได้อยู่แค่ในเส้นทางที่ปพนต์อยากให้เธอเดินก็ได้”
ความรู้สึกของเธอถูกปลุกขึ้นอย่างนุ่มนวล มารตีหายใจแรงขึ้นเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าความรู้สึกที่แทรกเข้ามาคือความตื่นเต้น ความกลัว หรือความ้าที่ซ่อนลึกอยู่ในใจ ทุกอย่างปะทะกันในอกอย่างไม่อาจควบคุมได้
มารตีลุกขึ้นพร้อมสายตาที่ไม่อาจบอกได้ว่าเขินอาย หรือร้อนแรงจากภายใน “เราขอ...กลับก่อนนะจิรภา ขอบคุณที่อยู่ตรงนี้จริงๆ”
“แล้วจะมีครั้งหน้าอีกใช่ไหม?” จิรภาถามเธอเสียงเบา
มารตียิ้มจางๆ ก่อนจะเดินฝ่าสายฝนกลับไปยังรถ ทิ้งให้จิรภามองตามด้วยสายตาที่ทั้งอบอุ่นและมีเปลวไฟร้อนระอุลุกโชนอยู่ในนั้น
มารตีตื่นขึ้นมาในวิลล่าวิวทะเลไม่ไกลจากกรุงเทพ คราบไอน้ำยังจับผนังกระจก หยดน้ำเย็นไหลย้อยเป็เส้นเล็กพร่างพราย เมื่อเธอลืมตา ดวงใจกลับสั่นเทาไปด้วยร่องรอยความไม่แน่นอน
ปพนต์ไม่อยู่บนเตียง แต่เขาเขียนข้อความสั้นๆ ทิ้งไว้บนกระดาษโน้ต “ขอโทษที พี่ตื่นเช้าไปหน่อย ไปซื้อกาแฟตรงฟู้ดทรัคชอปมาให้แล้ว ลองไปนั่งริมระเบียงก่อนนะ”
หญิงสาวจัดผ้านวมให้เรียบร้อย เดินออกจากห้องนอน สำรวจมุมระเบียงที่แสงแดดรำไรลอดผ่านผ้าม่านบาง เธอนั่งลงบนเก้าอี้หวาย วางโน้ตไว้ข้างๆ พลางหยิบกาแฟกระป๋องเย็นที่ปพนต์ซื้อมาแตะริมฝีปาก
ภาพสะท้อนในสายตา
น้ำทะเลด้านล่างกระทบแสงอาทิตย์เป็ประกายจ้า มารตีมองทะเลกว้าง แล้วกลับมามองเงาตัวเองที่สะท้อนข้างกระป๋องกาแฟ รสชาติขมหวานไม่ต่างจากหัวใจเธอในตอนนี้ พระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาช้าๆ เหมือนเตือนให้เธอรับรู้ว่าทุกสิ่งกำลังเคลื่อนไปข้างหน้า
เสียงก้าวเท้าด้านหลังทำให้เธอสะดุ้ง ปพนต์เดินเข้ามาพร้อมถุงผ้าใบเล็ก “กาแฟดีไหมจ๊ะ?”
“เข้มได้ใจเหมือนกันค่ะ” เธอยิ้มรับ สายตาเลื่อนกลับไปยังน้ำทะเล
ปพนต์นั่งลงข้าง ๆ จับมือภรรยาสาวไว้ แรงกุมแน่นนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย มองเธออย่างเงียบๆ
ก่อนที่การสนทนาจะดำเนินต่อไป
จู่ๆ เสียงมือถือของ มารตีก็ดังขึ้น ข้อความจากจิรภาเด้งมาว่า
“เจอฉันที่คาเฟ่โปร่งแสงบ่ายนี้ไหม จะพาไปดูหนังสั้นที่แกลเลอรี่ใกล้ๆ คงช่วยให้ใจโล่งขึ้น”
มารตีมองจอ สายตาสดใสขึ้นเล็กน้อย ข้อความนั้นเหมือนพลังอ่อนๆ ที่กระตุ้นใจเธอให้ตื่นขึ้นจากความอ่อนล้า ปพนต์สังเกตเห็น จึงยิ้มให้
“ถ้ารตีอยากไป พี่จะเป็คนไปส่งเอง”
มารตีเอียงหน้ายิ้มบางๆ “ขอบคุณค่ะ…พี่ไปทำธุระก่อน รตีคงอยู่เป็เพื่อนจิรภาซักพัก”
บ่ายนั้น มารตีเดินเข้ามาในคาเฟ่หลังคากระจก ขณะที่สายฝนยังโปรยปรายเป็ระยะ จนแสงรำไรเปลี่ยนสีไปตามละอองน้ำฝน เมื่อนัดเจอจิรภาทั้งสองสั่งโกโก้ร้อนและเค้กช็อคโกแลตมาทานร่วมกัน
จิรภาเล่าว่าในห้วงหลายวันที่มารตีหมกมุ่นกับความรู้สึกผิดหวัง จิรภาเองก็ห่วงใยจึงอยากพามาเปลี่ยนบรรยากาศ
“บางคนอาจไม่เวิร์กกับเรา…ไม่ได้แปลว่าเราไม่มีค่าพอ” จิรภาพึมพำ
มารตีได้ยินแล้วรู้สึกอบอุ่นขึ้น เธอยกถ้วยโกโก้ร้อนขึ้นจิบ รสหวานมันละมุน กลิ่นช็อคโกแลตอบอวลในปาก “ขอบคุณนะจิรภา…ที่ยังเข้าใจ และไม่ตัดสินฉัน”
หลังรับประทานเสร็จ ทั้งคู่จึงเดินเข้าแกลเลอรี่ใกล้ๆ พบภาพถ่ายขาว-ดำที่สื่ออารมณ์หญิงสาวในหลายมิติ หากเป็สามีของเธอคงมองไม่ออก จิรภาชี้ให้เธอดูภาพหนึ่ง หญิงสาวกำลังเงยหน้ารับหยาดฝน
“หญิงสาวคนนั้นดูสวยทั้งๆ ที่เปียก ทั้งที่ถูกธรรมชาติเกลียด…ก็เหมือนเธอเวลาที่กล้าเปิดใจ”
มารตีลูบเสื้อผ้าลินินตัวเองเบาๆ “ฉัน…เริ่มอยากกล้าเหมือนภาพนี้แล้วแฮะ”
จิรภายืนนิ่ง ขยับเข้ามาใกล้ แล้วเอ่ยแบบกระซิบ “เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอพร้อม…ฉันจะรออยู่ตรงนี้”
คืนวันนั้นเมื่อกลับถึงวิลล่า มารตียืนมองเสาไฟระยิบระยับริมทะเลที่โทรมมาก ดูไม่ต่างจากภาพขาว-ดำ...
จิรภาส่งข้อความมาบอกให้เธอพักผ่อนได้แล้ว ในขณะที่ปพนต์หลับไปแล้ว ด้วยใบหน้ายังเปี่ยมด้วยความหวัง มารตีก้าวเข้าไปในห้องน้ำ เปิดฝักบัวปล่อยให้สายน้ำอุ่นจัด จากฝักบัวช่วยเยียวยาอารมณ์ เธอรู้สึกได้ถึงละอองไอน้ำซับร่างกายที่ยังคงเปล่าเปลือยจากความลังเลอย่างช้าๆ
“เส้นทางยังอีกยาว… แต่ฉันรู้แล้วว่า ฉันจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ”
ค่ำคืนถัดมา ฝนโปรยปรายเป็พักๆ พัดเอาความชื้นเข้าไปในสวนหลังวิลล่า มารตีและปพนต์นั่งในรถเก๋งคันหรู มุ่งหน้าสู่ร้านอาหารบรรยากาศอบอุ่นอีกแห่งหนึ่ง ที่ปพนต์ติดต่อ “คู่ที่สอง” ไว้แล้ว
มารตีในชุดเดรสผ้าชีฟองสีกรมท่า พอดีตัว เผยให้เห็นแนวไหล่และส่วนโค้งบางจุดอย่างลงตัว สายตาปพนต์มองเธออย่างชื่นชม แม้ครั้งแรกจะไม่ค่อยดีนัก...เขายังอยากให้เธอได้โอกาสอีกครั้ง
คู่ที่สองปรากฏตัวเมื่อเสียงเท้าสองคู่ก้าวเข้ามา...
“กัปตัน” หนุ่มวัย 32 หน้าตาคมเข้ม ใส่เสื้อเชิ้ตขาวกับกางเกงผ้าสีเทา และ “สิริมน” สาววัย 29 ผมยาวสีน้ำตาลทอง เธอสวมชุดจั๊มสูทโทนละมุน ดูอ่อนหวานแต่แฝงเสน่ห์ สิริมนยิ้มรับมารตี แววตาอ่อนโยนต่างจากแป้ง ในคู่แรก
“สวัสดีค่ะ คุณรตี คุณปพนต์ หลายคนแบบนี้ สนุกดีนะคะ”
เสียงหัวเราะกรุ้มกริ่มคลอเคล้า บรรยากาศจึงไม่อึดอัดเหมือนครั้งก่อน สิริมนเลื่อนแก้วมาให้มารตีได้ชิมไวน์ ่เวลาดินเนอร์ รสชาติหวานละมุน ทำให้ริมฝีปากมารตีอุ่นวาบ
ตลอดมื้อค่ำ สิริมนกับกัปตันต่างชวนคุย ถามไถ่เื่งาน การเดินทาง จนหัวข้อค่อยๆ ลอยมาเื่ความสัมพันธ์เปิดใจ มารตีค่อยรู้สึกสบายใจขึ้น เมื่อสิริมนแนะนำทริคที่สามารถช่วยคลายความอึดอัดได้
“แค่เรายอมรับในจังหวะของกันและกันอย่างใจเย็น…ไม่ต้องรีบ ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก”
คำพูดนั้นกระแทกกลางใจมารตีอย่างแรง เธอก้มหน้ารับรู้ลึกๆ ว่านี่ไม่ใช่การทดลองหาคำตอบ แต่เป็การเรียนรู้ร่วมกัน
จบอาหารมื้อหลัก เสียงคลื่นข้างนอกเรียกให้ทุกคนลงไปเดินริมหาด พวกเขาถอดรองเท้า เหยียบทรายเปียก มือมารตีกุมปพนต์แน่น สิริมนกับกัปตันเดินจับมือกัน ทั้งสองคู่เดินเคียงกันไป มารตีและสิริมนเดินติดกัน
ระหว่างเดิน สิริมนแอบเอื้อมมือมาแตะแขนมารตีเบาๆ
“อย่าลืมว่า เราอยู่ตรงนี้เพื่อเธอด้วย” สิริมนกระซิบ ัันั้นไม่ได้ร้อนแรง แต่กลับให้ความอุ่นใจ เธอเริ่มเข้าใจว่าการเปิดใจไม่ใช่แค่เื่กาย แต่คือการเชื่อใจ
กลับถึงวิลล่าในคืนนั้นฝนยังพรำ มารตีอาบน้ำอุ่นอีกครั้ง รู้สึกถึงหยาดไอน้ำโอบกาย สองมือลูบไล้ตามส่วนโค้งของร่างกายร้อนแรงเบาๆ ไม่ใช่เพราะ้าปลุกเร้า แต่เพราะเธออยากยืนยันว่า “เธอยังมีชีวิต”อยู่