เดิมทีเสี่ยวหมี่ยังคาดหวังให้บิดาออกหน้าพูดอะไรหน่อย อย่างน้อยก็ให้เขาได้ลิ้มรสความยากลำบากของชาวโลกบ้าง ใครจะคิดว่าเขาจะพ่ายแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้ นางจึงรีบเดินขึ้นหน้าไปประคองท่านพ่อไว้ ขณะเดียวกันก็พยายามรั้งเสื้อของพี่รองลู่ที่กำลังจะปล่อยหมัดไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง
คนแซ่ตู้เข้าใจว่าเสี่ยวหมี่กลัวเขาจึงได้ทำเช่นนั้น จึงแสดงท่าทีโอหังยิ่งกว่าเดิม
“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ูเาสองลูกนี้เงินหมื่นตำลึงยังถูกเกินไป ต้องเพิ่มสาวงามมาอีกคนถึงจะใช้ได้”
เข้าชี้แส้ตรงไปที่เสี่ยวหมี่ ยิ้มอย่างชั่วร้าย “คนสวย กลับไปกับข้า ข้ารับประกันว่าเ้าจะสุขสบายกว่าอยู่ที่เขาแห่ง...”
เขายังพูดไม่ทันจบ กลับรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อมือ ถือแส้ไว้ไม่ไหวจนมันร่วงลงบนพื้น
“อ๊า มือข้า ใครกล้าตีข้า”
คนแซ่ตู้เจ็บจนต้องประคองข้อมือของตนไว้ เสียงร้องเบาจนแทบไม่ได้ยิน พวกชาวบ้านเองก็ไม่รู้ว่าใครลงมือ พวกเขาแค่จ้องชายคนนี้อย่างดุดันเฉยๆ แต่ไม่ได้ลงมืออะไร แน่นอนว่าต่อให้รู้ว่าใครทำพวกเขาก็ไม่คิดจะบอกเ้าโง่นี่ให้รู้ตัวหรอก
มีเพียงเสี่ยวหมี่ที่เห็นอย่างชัดเจน กิ่งไม้ในมือของเฝิงเจี่ยนที่เขาควงเล่นมาตลอดทางหายไปแล้ว...
เป็นานกว่าที่คนแซ่ตู้จะหายเจ็บข้อมือ ตอนที่คิดจะะโแหกปากต่อไปนั้น กลับรู้สึกคันยุบยิบที่ลำคอ คล้ายว่ามีอะไรร่วงหล่นลงมา
หรือว่าเป็ฝน?
ลูกน้องข้างกายเขาก็โดนเช่นกัน จึงพากันเงยหน้ามองท้องฟ้า น่าเสียดายที่ท้องฟ้าไม่มีเค้าลางของเมฆฝนแม้แต่น้อย...
คล้ายว่าจะมีกลิ่นแปลกประหลาดกำจายอยู่ในอากาศ ชาวบ้านบางคนที่ไวต่อกลิ่น ตั้งใจดมอย่างละเอียด จากนั้นหน้าก็เปลี่ยนสีทันที
“รีบหนีเร็ว รีบหาที่ซ่อน เฟยเตียว [1] มาแล้ว”
เมื่อชาวหมู่บ้านเขาหมีได้ยินเช่นนี้ ก็แทบจะสะดุ้งโหยงด้วยความใ คนหนุ่มแบกคนชรา พวกผู้หญิงอุ้มเด็กเล็กๆ รีบวิ่งเข้าไปหลบในบ้านพักทันที
พี่รองลู่แบกบิดาที่ยังท่าทางคล้ายจะเป็ลมไว้บนหลัง เขาะโไปที่สวนข้าวโพดข้างๆ ว่า “เสี่ยวเอ๋อ หลบให้ดีนะ อย่าออกมาเด็ดขาด”
ถึงแม้ในแววตาของเฝิงเจี่ยนจะเกิดความสงสัยเช่นกัน แต่เขาก็อุ้มเสี่ยวหมี่ขึ้นมาทันทีแล้วรีบใช้วิชาตัวเบาเร่งรุดเข้าไปหลบในบ้านพัก
เหลือแต่พวกคนแซ่ตู้ที่ยืนงงอยู่กับที่ จะรุกก็ไม่ได้จะถอยก็ไม่ได้
ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังมีคนนับร้อยยืนประจัญหน้ากับพวกเขาอยู่ เพียงพริบตากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หรือว่าคนบ้านนอกพวกนี้เกิดกลัวเขาขึ้นมา?
ลูกน้องขี้ประจบบางคนถึงกับขึ้นหน้าไปประจบประแจงว่า “คุณชาย ท่านดูสิคนชั้นต่ำพวกนี้ก็เก่งแค่กับสัตว์ป่าเท่านั้น เมื่อได้เห็นคุณชายแสดงความเด็ดขาดออกมา ก็พากันวิ่งหนีราวกับกระต่าย”
“ฮ่าฮ่า เ้าพวก...” คนแซ่ตู้ถูกเยินยอจนหายโกรธเป็ปลิดทิ้ง ข้อมือก็ไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไปแล้ว ตอนที่คิดจะพูดโอ้อวดต่อไปนั้น กลับได้ยินเสียงหวีดแหลมดังมาจากในป่า
เขาคิดจะหันไปมอง กลับมีกลุ่มสีดำอะไรบางอย่างพุ่งออกมาจากต้นไม้ แล้วร่วงลงมาบนศีรษะเขา จากนั้นศีรษะก็ถูกขยุ้มอย่างหนักหน่วง
“อ๊าก ช่วยด้วย นี่มันอะไรกัน ข้าเจ็บ”
คนแซ่ตู้รู้สึกเ็ปทรมาน พยายามจะทึ้งเ้าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่อยู่บนหัวให้ร่วงลงมา แต่ไม่สำเร็จเพราะอุ้งเท้าทั้งสองของเ้าสัตว์ตัวน้อยทึ้งผมหลังศีรษะของเขาไว้ไม่ปล่อย อุ้งเล็บอีกสองข้างที่ว่างอยู่ ใช้วิชา ‘กรงเล็บกระดูกขาว’ ทึ้งหนังศีรษะและใบหน้าที่เคลือบแป้งหนาของเขา
ไม่ใช่ว่าเด็กรับใช้ที่อยู่รอบๆ ไม่อยากเข้าไปช่วย แต่พวกเขาเองยังเอาตัวไม่รอดเลย
“อ๊าก ช่วยด้วย”
“ตาข้า หูข้า ช่วยด้วย”
นายบ่าวสกุลตู้ที่เดิมทียังแสดงท่าทีโอหังราวกับแม่ทัพใหญ่ที่ชนะศึกกลับมา ยามนี้เอาแต่ส่งเสียงกรีดร้อง ทำทุกวิถีทางเพื่อหลบการโจมตีจากสิ่งมีชีวิตเล็กๆ บนศีรษะ
“สมควรแล้ว ข่วนสุนัขพวกนี้ให้ตายไปเลย”
“นั่นน่ะสิ ใครใช้ให้พวกมันแล่นมาทำชั่วถึงที่นี่ มีชีวิตสุขสบายอยู่ดีๆ ไม่ไปใช้ อุตส่าห์ดั้นด้นมารังแกพวกเรา”
พวกชาวบ้านพากันวิพากษ์วิจารณ์ และหัวเราะอย่างสะใจ “เห็นแก่ที่วันนี้พวกเฟยเตียวมารุมทึ้งพวกมันระบายความโกรธให้เรา วันหน้าข้าจะไม่ล่าเฟยเตียวอีก”
“ข้าด้วย แต่น่าแปลกยิ่งนัก ปกติเฟยเตียวพวกนี้ไม่มีทางออกจากป่ามาเองง่ายๆ วันนี้เหตุใดถึงวิ่งออกมาได้”
ชายคนแรกที่บอกทุกคนให้หาที่หลบ เอ่ยว่า “มีคนเอาฉี่ของลูกเฟยเตียวมาสาด พวกเฟยเตียวก็เลยบ้าคลั่งเช่นนี้”
“มิน่าเล่า ปีๆ หนึ่งเฟยเตียวตัวเมียจะคลอดลูกอ่อนแค่ตัวเดียว เมื่อพวกมันได้กลิ่นฉี่ของลูกอ่อนก็คงคิดว่าพวกสุนัขนั่นทำร้ายลูกอ่อนของพวกมัน หากไม่รุมทึ้งพวกเขาจนตายก็คงไม่ใช่เฟยเตียวแล้ว”
เสี่ยวหมี่ได้ยินที่ทุกคนพูด ก็แทงศอกใส่เฝิงเจี่ยนเบาๆ ถามว่า “เมื่อครู่ที่เกาเหรินออกไปก็เพื่อไปหาฉี่ของลูกเฟยเตียวมา? เขาไปเก็บมาได้อย่างไรกันนะ...”
เฝิงเจี่ยนยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไร แล้วยื่นมือไปดึงหน้าต่างให้ปิดสนิทยิ่งกว่าเก่า พวกเฟยเตียวกำลังบ้าคลั่ง หากมีตัวใดเล็ดลอดเข้ามาได้ คนแรกที่โชคร้ายก็คือเสี่ยวหมี่
พี่รองลู่ที่ยืนอยู่ด้านข้างมีท่าทางตื่นเต้น ทำท่าเหมือนจะเปิดหน้าต่างยื่นหน้าออกไป พอได้ยินที่น้องสาวของเขาพูด ก็อดะเิเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้ “ฮ่าฮ่า ที่แท้เป็ฝีมือเ้าเด็กเกาเหรินนั่น ประเสริฐนัก เห็นแก่ผลงานของเขาในวันนี้ วันหน้าเวลาแย่งเนื้อกันบิดาจะออมมือให้เขาหน่อยก็แล้วกัน”
พูดจบ เขาก็ถูกบิดาลู่ที่สีหน้าดำคล้ำตบหลังศีรษะเข้าอย่างจัง “เ้าเป็บิดาใคร?”
พี่รองลู่ลูบหลังศีรษะป้อยๆ ท่าทางราวกับหนูกลัวแมว รีบเข้าไปหลบในกลุ่มฝูงชนทันที
พวกชาวบ้านเห็นแล้วก็พากันหัวเราะออกมา จากนั้นก็พากันวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปากว่าเกาเหรินร้ายกาจเพียงใด ไปเรียนวรยุทธ์มาจากไหน ถึงได้เก่งกล้าขนาดนี้ทั้งๆ ที่อายุยังน้อยอยู่เลย
ภายในบ้านหัวเราะกันสนุกสนานครื้นเครง สนทนากันอย่างปลอดภัยไร้กังวล แต่ด้านนอก นายบ่าวสกุลตู้ถูกเฟยเตียวรุมทึ้งเสียจนไม่เหลือสภาพคนแล้ว
คนแซ่ตู้พยายามสุดชีวิตเพื่อลืมตาที่เต็มไปด้วยเื เขาวิ่งซวนเซไปหาม้าของตนเอง เมื่อพลิกตัวขึ้นบนหลังม้าได้ก็ควบหนีไปอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อนายนำบ่าวก็ตาม บรรดาคนรับใช้ก็พากันวิ่งหนีตามเขาสุดชีวิต
เฟยเตียวเป็สิ่งมีชีวิตที่โเี้โดยกำเนิด เป็สัตว์ป่าอย่างแท้จริง พวกมันไม่ยอมรามือถึงแม้ว่าเหยื่อจะหนีไปแล้ว พวกมันโหนตัวไปกับกิ่งไม้ตามต้นไม้ที่ล้อมรอบอยู่ รวดเร็วราวกับบินได้ก็ไม่ปาน ไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว...
ในเมืองอันโจว ยิ่งอากาศอบอุ่นขึ้นก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าฤดูกาลที่ดีที่สุดใกล้จะมาถึงแล้ว
บรรดาชาวบ้านแถบชานเมืองหรือบางส่วนที่อยู่บนเขาจะขุดผักป่า จับไก่ป่ากระต่ายป่า หรือหาของป่ามาแลกเงินและของใช้จำพวกเกลือน้ำมันในเมือง
บางคนถึงกับเข้ามาหาโอกาสรับจ้างในเมืองใน่เวลานี้ก็มี
ส่วนพวกผู้มีอันจะกินทั้งหลายสวมอาภรณ์งดงามหลากสีสัน สวมเครื่องประดับเงินทอง เดินเล่นในตลาดกลางเมืองจนเหนื่อยแล้ว ก็เดินทางออกนอกเมืองไปค้างแรมบนเขาหรือในป่าที่ทัศนียภาพงดงาม เพื่อผ่อนคลายจิตใจและหากิจกรรมใหม่ๆ ทำ
แต่วันนี้บรรดาคนที่เดินเข้าออกเมืองกันอย่างขวักไขว่ กลับแตกฮือราวกับฝูงผึ้ง
พวกเขาเห็นจากที่ไกลๆ ว่ามีม้าเจ็ดแปดตัววิ่งเข้าเมืองมาอย่างบ้าคลั่ง คนบนม้าสีหน้าน่าสยดสยอง มือไม้ปัดป่ายอยู่ไม่สุข ราวกับคนโดนของก็ไม่ปาน
คนที่เดินอยู่บนถนนถึงกับถูกเตะจนล้มคว่ำ บางคนวิ่งหนีหลบจนตกคูน้ำข้างทางก็มี รถม้าคันใหญ่ที่วิ่งอยู่ก็หักหลบจนเกือบจะพลิกคว่ำอยู่หลายคัน
เสียงก่นด่าดังระงมไปทั่ว
ทหารยามที่เฝ้าประตูเมืองตกตะลึงอยู่เป็นานกว่าจะดึงสติกลับมาได้ วิ่งวุ่นหาท่อนไม้และมีดดาบที่ยามปกติโยนทิ้งส่งๆ ไว้ด้านข้าง เรียกพลังใจสร้างความฮึกเหิมให้ตน จากนั้นจึงเข้าไปเผชิญหน้ากับคนกลุ่มนั้น
ในที่สุดขบวนม้าพิสดารนั่นก็วิ่งมาใกล้ คนบนหลังม้าร่วงลงมา นอนแผ่หลาบนถนน “เ้าพวกสุนัข ตีเ้าสุนัขพวกนี้ให้ตาย”
มีทหารยามบางคนที่สายตาดีตั้งใจมองอย่างละเอียดแล้วจึงะโออกมาว่า “นี่ไม่ใช่คุณชายตู้หรอกหรือ?”
“อะไรนะ คุณชายตู้”
เมื่อทุกคนได้ยิน ถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ศัตรูหรือโจรป่า ก็พากันล้อมเข้ามา แล้วถึงได้มองเห็นอย่างชัดเจนว่ามีอะไรบางอย่างกำลังทรมานคุณชายตู้อยู่
เฟยเตียวตัวสีดำสนิทราวเส้นผมตัวหนึ่ง กำลังวาดกรงเล็บไปบนตัวเขา กรงเล็บพวกนั้นย้อมสีแดงฉานของเืปะปนกับเส้นผมเป็กระจุก ทั้งร่างของตู้โหย่วไฉเต็มไปด้วยรอยข่วน
“รีบตีมันให้ตาย ช่วยคุณชายตู้เร็วเข้า”
พวกทหารยามเริ่มเอะอะ พวกเขาเตรียมยกกระบองในมือขึ้น
ไม่รู้ว่าเป็เพราะยามปกติพวกเขาไม่ได้ฝึกฝนเกินไปจนไร้ฝีมือ หรือเพราะมีบางคนที่แอบไม่พอใจนิสัยของตู้โหย่วไฉเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้กระบองพวกนั้นครึ่งหนึ่งไม่โดนตัวเฟยเตียว แต่กลับกระแทกอย่างแรงลงบนร่างของตู้โหย่วไฉ
“อ๊าก ใครตีข้า ข้าเจ็บๆ”
ตู้โหย่วไฉสูญสิ้นแล้วซึ่งศักดิ์ศรีใดๆ สองมือยกขึ้นกุมศีรษะ ถูกตีจนร้องโอดโอย
ทหารยามบางคนยังะโว่า “คุณชายตู้ไม่ต้องกลัว พวกเรากำลังตีเ้าสัตว์ประหลาดสีดำนี้ให้ท่านอยู่ อีกเดี๋ยวมันก็ตายแล้ว”
อาจเพราะเฟยเตียวเห็นคนมารุมกันมากมาย และมันก็นับว่ารุมทึ้งจนพอใจแล้ว หลังจากถูกตีไปสองสามที ในที่สุดก็วิ่งหนีหายไปในพุ่มไม้ด้านข้าง
เมื่อมีตัวแรกนำ ตัวอื่นๆ ก็ทำตาม เพียงพริบตาเดียวพวกเฟยเตียวก็ราวกับกองทัพของเทพาที่โจมตีอย่างดุดันแล้วหายไปในกลีบเมฆอย่างไร้ร่องรอย
พวกทหารยามถึงได้เก็บกระบองในมือ กระแอมเบาๆ สองเสียง ะโว่า “คุณชายตู้ ลุกขึ้นมาได้แล้วขอรับ ไม่เป็ไรแล้ว”
ตู้โหย่วไฉค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ เขาเห็นแค่ทหารยามและคนเดินถนนที่เข้ามาดูเพื่อความครื้นเครง รวมถึงลูกน้องที่นอนโอดโอยอยู่ข้างๆ ไม่เห็นพวกสัตว์ประหลาดสีดำอีกต่อไป ก็ถอนใจโล่งอก
จากนั้นก็รู้สึกถึงความเ็ปทั่วทุกอณูบนร่าง ทั้งแผลขีดข่วนจากเฟยเตียว และแผลฟกช้ำจากการถูกไม้กระบองตี ทำให้เขาต้องร้องโอดโอยออกมา
“อ๊า เจ็บจะตายแล้ว พวกสุนัขรับใช้ ยังไม่รีบส่งข้ากลับไปอีก หมอ รีบตามหมอ”
พวกทหารยามถูกดุด่า พวกเขารู้สึกเสียใจยิ่งนักที่เมื่อครู่นี้ไม่ตีให้หนักกว่านี้ แต่หากจะเปลี่ยนใจมาตีเอาตอนนี้ก็คงต้องผูกพยาบาทเป็ศัตรูกับตู้โหย่วไฉแน่แล้ว จึงรีบไปหารถม้า ช่วยลำเลียงตู้โหย่วไฉกลับจวน
พวกคนเดินถนนที่เข้ามาชมเื่สนุกเมื่อเห็นว่ารถม้าเคลื่อนตัวออกไปแล้ว ก็พากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์
“เกิดอะไรขึ้น อันธพาลตู้ไปล่วงเกินสิ่งมีชีวิตน่ากลัวพวกนี้มาจากไหน?”
“นั่นน่ะสิ พวกมันลงมือโเี้นัก ข้าเห็นว่าบนร่างของอันธพาลตู้ไม่มีตรงไหนที่เป็เนื้อดีๆ เลย หากไม่เห็นตอนถูกโจมตี ข้าคงคิดไปว่าเขาแอบปีนหน้าต่างห้องหญิงหม้ายคนไหนเข้าแล้วถูกอีกฝ่ายรุมทึ้งแล้วจับโยนออกมา”
“ฮ่าฮ่า นั่นน่ะสิๆ”
แน่นอนว่ามีบางคนที่รู้เื่มากกว่านั้น จึงอดแสดงความสามารถให้คนอื่นๆ เห็นว่าข่าวเขาว่องไวแค่ไหนไม่ได้ เล่าออกมาเสียงเบาว่า “พวกเ้าไม่รู้อะไร เื่ในวันนี้ไม่แน่อาจเป็เพราะอันธพาลตู้หาเื่ใส่ตัวก็เป็ได้ เพื่อนบ้านของหลานสาวฝั่งมารดาของป้าสะใภ้ของบ้านท่านยายสามของข้าทำงานอยู่ที่ศาลาว่าการ ได้ยินมาว่าอันธพาลตู้เข้าไปแย่งที่บนหุบเขาหมี เดิมทีผู้อื่นได้จ่ายเงินมัดจำไว้ก่อนแล้ว รอมาจ่ายเงินเต็มจำนวนเพื่อแลกโฉนดแดงกลับไป สุดท้ายเ้าอันธพาลตู้กลับตัดหน้าซื้อไปก่อน”
“หา นิสัยเขานี่มันอันธพาลชัดๆ เลย”
“ใช่แล้ว หมู่บ้านเขาหมียากจน แสดงว่าคนซื้อจะต้องเป็สกุลลู่แน่”
“ใช่แล้ว” คนผู้นั้นยิ้มกว้างพลางปรบมืออย่างชอบใจ “ได้ยินว่าคนสกุลลู่โกรธมาก เถ้าแก่ของร้านขายผ้าเฉินจี้ที่ทำหน้าที่เป็คนกลางเองก็โกรธมากเช่นกัน ข้ายังคิดอยู่เลยว่าคนสกุลู่จะทำอย่างไร พวกเขาจะไปแจ้งทางการหรือว่ายอมอดทนไปก่อน คิดไม่ถึง...ฮี่ฮี่”
เชิงอรรถ
[1] เฟยเตียว(飞貂)ตัวมิ้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้