“มันอยู่ที่ไหนหรือ?” เย่เฟิงเอ่ยถาม
“อยู่ที่จัตุรัสแท่นศิลาเทียนเสวียน” ฉินเจิ้นถิงกล่าว
“เช่นนั้นข้าจะไปตอนนี้เลย” เย่เฟิงกล่าวพร้อมโค้งคำนับให้ฉินเจิ้นถิง จากนั้นทั้งสองออกไปจากที่นี่
“ดูสิ คนนั้นคืออันดับหนึ่งของงานประลองสำนักยุทธ์ และอันดับหนึ่งในรายนามแห่งแท่นศิลาเทียนเสวียน เย่เฟิง”
“หน้าตาดีเลยนี่ มิน่าศิษย์น้องถึงหลงชอบคนผู้นี้!”
“ศิษย์พี่ ท่านล้อข้าเล่นแล้ว ข้าไม่ได้...”
“หลายวันก่อนข้าเห็นศิษย์น้องมองรูปภาพของเย่เฟิงด้วยความตะลึงอยู่เลย จะต้องชอบแน่ ๆ แล้วยังจะมาบอกไม่ชอบอีก?”
เมื่อมาถึงชั้นที่ 1 ของหอวิชา เหล่าผู้คนต่างก็มองเย่เฟิงและฉินเจิ้นถิงที่อยู่ด้วยกันด้วยสายตาหวาดหวั่น หญิงสาวสองสามคนที่เดินผ่านมาถึงกับกระซุบกระซิบ ซึ่งพวกนางแต่ละคนล้วนงดงามอย่างยิ่ง เวลาพูดคุยกลั้วหัวเราะ ใบหน้าก็แดงระเรื่อ หน้าอกเองก็พลอยกระเพื่อมเล็กน้อย นี่จึงดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้ไม่น้อย
“แค่กๆ” ฉินเจิ้นถิงเห็นฉากนี้ถึงกับสำลัก และเผยสีหน้าเลิ่กลั่กเล็กน้อย พึมพำในใจว่า “เ้าเด็กนี่มีเสน่ห์ต่อหญิงสาวมากกว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย!”
ถึงอย่างนั้นเย่เฟิงก็ยังสุขุมและสงบนิ่ง เมื่อเดินผ่านบริเวณที่เฒ่าจิงเคยอยู่ เขาพบว่าเฒ่าจิงไม่อยู่แล้ว แต่เป็ผู้าุโอีกคน
ทั้งสองเดินออกจากหอวิชา ฉินเจิ้นถิงชี้นิ้วไปที่แท่นศิลาเทียนเสวียน “ค่ายกลมายาอยู่ที่นั่น เ้าลองไปดูสิ”
“ขอรับ!” เย่เฟิงพยักหน้า เมื่อฉินเจิ้นถิงเดินออกไป เขาก็เดินไปทางด้านแท่นศิลาเทียนเสวียน
ไม่นานเย่เฟิงก็มาถึงริมจัตุรัส ทอดมองในจัตุรัสที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คน ซึ่งมีหลายคนเงยขึ้นมองแท่นศิลาใหญ่ั์ที่สูงระฟ้าด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา
แต่ที่บนสูงสุดของรายนามขั้นรวมชี่มีชื่อใหม่ปรากฏ นั่นคือเย่เฟิง อาศัยพลังแกร่งกล้าฝ่าฟันอุปสรรคในงานประลองสำนักยุทธ์เมื่อหลายวันก่อน จนขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของรายนามขั้นรวมชี่
บัดนี้บรรดาศิษย์สำนักยุทธ์เทียนต่างจดจำชื่อนี้ได้เป็อย่างดี และกลายเป็แบบอย่างที่ดีในการเรียนรู้ของพวกเขา
เมื่อเย่เฟิงมาเยือนจัตุรัส แสงจ้าพลันเข้าปกคลุมบริเวณนั้นทันที ทำผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นตาแข็งทื่อ และนิ่งไม่ไหวติงขณะอาบอยู่ท่ามกลางแสงจ้านั้น
บนพื้นมีอักขระโคจร ส่องแสงระยิบระยับ ถักทอเป็ลวดลายขนาดใหญ่ และแฝงด้วยกลิ่นอายโบราณ
“นี่น่าจะเป็ค่ายกลมายา” เย่เฟิงเห็นฉากนี้ต้องใจเต้นรัว การที่สามารถรวบรวมผู้คนจากทั่วสารทิศมาได้ ทำให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของค่ายกลมายานี้
เย่เฟิงยกเท้าเดินไปยังค่ายกลมายา ระหว่างทางที่เดินมีหลายคนต่างหลีกทางให้เย่เฟิง นี่คือเกียรติยศที่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจะได้ดื่มด่ำไปกับมัน
จำได้ว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ตอนที่เย่เฟิงเพิ่งเข้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียน เขามาที่จัตุรัสแห่งนี้พร้อมกับฉู่หาน ซ้ำยังถูกคนอื่นข่มเหงรังแก แต่บัดนี้จะไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอีกต่อไป เพราะในที่สุดเย่เฟิงก็ยืนอยู่จุดสูงสุดของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนได้สำเร็จ
“เ้าก็มาด้วยหรือ!”
ขณะนั้นมีเสียงเย็นเยือกดังมาจากด้านหลังเย่เฟิง เมื่อเย่เฟิงหันหลังไปมองก็เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลซึ่งกำลังมองมาทางเขาพอดีด้วยสายตาเย็นะเืระคนความอาฆาตแค้น คนผู้นี้ก็คือนี่จ้านเทียนผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 3 ในรายนามขั้นรวมชี่
“มีธุระอันใด?” เย่เฟิงเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ข้าอยากสู้กับเ้า ไม่รู้ว่าเ้าจะมีความกล้าพอไหม?” นี่จ้านเทียนกล่าวเสียงเย็น
บนเวทีในงานประลองสำนักยุทธ์ จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่มีโอกาสสู้กับเย่เฟิง กระทั่งเขานี่จ้านเทียนทำได้เพียงคว้าอันดับที่ 3 มา นี่ทำให้เขาไม่ชอบใจเป็อย่างมาก
“ข้าไม่สนใจ หากไม่มีอะไร ก็อย่ามารบกวนข้า!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเฉยชา
“คนขี้ขลาด เ้าไม่กล้าล่ะสิ?”
นี่จ้านเทียนได้ยินเช่นนั้นพลันเกิดโทสะขึ้นมา จากนั้นเขาเดินออกมาพร้อมปลดปล่อยพลังปราณ “เ้าไม่สู้ก็ต้องสู้!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี นี่จ้านเทียนเหวี่ยงหมัดโจมตีไปที่เย่เฟิงอย่างรวดเร็ว เมื่อรังสีหมัดพาดผ่านที่ใด ห้วงอากาศต้องพลอยสั่นไหวไปด้วย และก่อให้เกิดลมกระโชก
“นี่จ้านเทียนลงมือจัดการเย่เฟิงแล้ว!”
ขณะเดียวกันสถานการณ์ด้านนี้ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนรอบข้างไม่น้อย พวกเขาจึงเดินมาทางนี้ด้วยความสนอกสนใจ
เมื่อเห็นนี่จ้านเทียนลงมือ เย่เฟิงรู้สึกไม่พอใจเป็อย่างมาก เวลานี้เขาฝึกเก้าวัชรหุนหยวนและบรรลุขั้นรวมชี่ที่ 5 แล้ว พลังจึงแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก ดังนั้นจะสู้กับนี่จ้านเทียนย่อมไม่ใช่ปัญหา
เมื่อรังสีหมัดของนี่จ้านเทียนเข้ามาใกล้ตัว เย่เฟิงพลันวาดฝ่ามือโจมตี ก่อนจะเข้าปะทะกับรังสีหมัดของนี่จ้านเทียน ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่น นี่จ้านเทียนรู้สึกว่าตัวสั่นสะท้าน พลังฝ่ามือนี้ของเย่เฟิงไร้เทียมทาน สั่นะเืแขนของเขาจนกระดูกแตกร้าวเล็กน้อย ก่อนจะอดเซถอยหลังไปไม่ได้ และยังเผยสีหน้าดูไม่ได้
“จำไว้ เ้าในตอนนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!” เย่เฟิงเก็บพลังฝ่ามือโดยไม่ขยับตัวแม้แต่นิดเดียว พอกล่าวจบก็เดินเข้าไปยังค่ายกลมายาโดยที่ไม่สนใจนี่จ้านเทียน
“สักวันข้าจะเอาชนะเ้าให้จงได้!” นี่จ้านเทียนกัดฟันกรอดขณะมองเย่เฟิงเดินเข้าสู่ค่ายกลมายา ในใจก็ยังเกิดความผันผวนไม่น้อย เขารู้จักเย่เฟิงมาได้สองเดือน แม้เย่เฟิงจะมีพร์ดีเลิศ แต่จะก้าวหน้าขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
“เย่เฟิงแกร่งมาก แค่กระบวนท่าเดียวก็เอาชนะนี่จ้านเทียนได้แล้ว สมกับเป็อันดับหนึ่งในรายนามขั้นรวมชี่!” ผู้คนรอบข้างต่างประหลาดใจ คนบางส่วนไม่เคยเห็นฝีมือของเย่เฟิง จึงตกตะลึงเป็อย่างมาก และในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
บัดนี้เย่เฟิงเหมือนตู๋กูหลงในตอนแรก มีพลังอำนาจเด็ดขาด ไร้ซึ่งผู้ใดดูแคลน
เมื่อเย่เฟิงเข้าสู่ค่ายกลมายา ไม่นานก็มีพลังสร้างฝันเข้าปกคลุม ค่อย ๆ แทรกซึมสู่จิตสำนึกของเขา ทำให้จิตสำนึกของเขาตามพลังสร้างฝันเข้าสู่อีกมิติหนึ่ง ที่นี่คือทุ่งหญ้ารกร้าง ห้อมล้อมด้วยูเาสูง ไม่ต่างจากของจริงแต่อย่างใด
เย่เฟิงมองสภาพแวดล้อมรอบ ๆ โดยสวมหน้ากากสีเงินอยู่บนใบหน้า ซึ่งจะทำให้เขาทำสิ่งต่าง ๆ ในโลกมายาได้สะดวกมากขึ้น
สถานที่แห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล ระหว่างที่เย่เฟิงออกเดินทาง บางครั้งยังพบเจอผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้ามาหาประสบการณ์เช่นเดียวกัน แต่มีบางสิ่งที่เหมือนเย่เฟิงคือ ส่วนใหญ่คนเหล่านี้จะสวมหน้ากากต่างสีกันไป เพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริง
อย่างไรก็ตามดูจากเครื่องแต่งกายแล้ว มีหลายคนมาจากสำนักยุทธ์เทียนเสวียน นี่จึงเป็สถานที่รวมตัวบรรดาคนของกองกำลังต่าง ๆ ของเมืองหลวงอย่างแท้จริง
“อยู่แค่ขั้นรวมชี่ที่ 5 กลับกล้าเข้าค่ายกลมายา แกว่งเท้าหาเสี้ยนเสียจริง!”
ไม่ไกลออกไปมีเงาร่างหนึ่งทะยานมา เขาอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 6 สวมหน้ากากที่ดุดัน มีไอชั่วร้ายแผ่ออกจากร่าง ไม่นานคนนั้นก็มาเยือนเบื้องหน้าเย่เฟิง ดวงตาภายใต้หน้ากากส่องประกายแสงชั่วร้าย และกล่าวเสียงเย็นว่า “ส่งส่วนคะแนนนั้นมา แล้วฆ่าตัวตายซะ เ้าจะได้ไม่ต้องทรมาน!”
“ไปให้พ้น!”
เย่เฟิงชำเลืองมองคนนั้นด้วยท่าทีเฉยเมย เขาย่อมรู้ตัวตนของอีกฝ่าย เป็ผู้ฝึกยุทธ์จากสำนักศึกษาเสินเจียง ต่อให้อยากหลบเลี่ยงศัตรูก็มิอาจหลบพ้น
“กล้าดียังไงมาพูดจาเยี่ยงนี้กับข้า ข้าจะทำให้เ้าลิ้มรสถึงความทุกข์ทรมานของมนุษย์!” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นได้ยินคำพูดของเย่เฟิงพลันเกิดโทสะ ก่อนจะปล่อยพลังฝ่ามือโจมตีเย่เฟิงโดยไม่พูดพร่ำเพรื่อ
ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายเย็นเยือก เขาเข้าค่ายกลมายาก็เพราะขัดเกลาพลังต่อสู้เท่านั้น ในเมื่อคนนี้เป็ฝ่ายเริ่มก่อน เช่นนั้นเขาก็จะสงเคราะห์อีกฝ่าย จากนั้นเหวี่ยงหมัดออกไปอย่างไม่ลังเล แม้จะใช้เพียงพลังกายบริสุทธิ์ แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายที่อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 6 จะรับมือได้อย่างไร?
หมัดและฝ่ามือเข้าปะทะกัน พร้อมกับเสียงะเิดังสนั่น ห้วงอากาศสั่นไหว ตามมาด้วยเสียงกระดูกแตกหักดังลั่น คนนั้นส่งเสียงร้องด้วยความเ็ป ก่อนร่างจะกระเด็นออกไปพร้อมกระอักเื
กระบวนท่านี้เย่เฟิงออกแรงเพียงเจ็ดส่วนเท่านั้น หากเขาออกแรงเต็มกำลัง อีกฝ่ายต้องตายคาที่อย่างแน่นอน
“เ้าจะให้ข้าลิ้มรสความทุกข์ทรมานของมนุษย์งั้นหรือ?”
เย่เฟิงเดินไปข้างหน้า สายตาเย็นเยือกชำเลืองมองคนนั้น พร้อมกับมีไอสังหารแผ่ออกจากร่าง
“ไม่ ไม่ นี่ต้องเป็การเข้าใจผิดแน่นอน”
ใบหน้าภายใต้หน้ากากของคนนั้นมีแต่ความขาวซีด มีหรือเขาจะคิดว่าผู้อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 5 จะมีพลังมากเพียงนี้ หากรู้ว่าเย่เฟิงแข็งแกร่ง เขาคงไม่ยั่วยุเย่เฟิงแต่แรก
“เชื่อเ้าก็บ้าแล้ว!”
แสงพลันส่องวาบ ก่อนจะปรากฏหอกัเงินประกายในมือของเย่เฟิง พร้อมกับปลายหอกเปล่งแสงเย็นะเื
“ฟิ้ว!”
นาทีต่อมาได้เสียงทะลวงอากาศ รังสีหอกกลายเป็ลำแสง ก่อนจะทะลวงร่างคนนั้น อวัยวะภายในถูกทำลาย พร้อมอาเจียนสำลักเอาก้อนลิ่มเืออกมา
คนผู้นั้นเผยสีหน้าไม่ยอม แต่ร่างกายของเขาค่อย ๆ โปร่งแสงจนกระทั่งหายไปในที่สุด
