คนกลุ่มนั้นโอหังอย่างยิ่ง ควบม้าห้อตะบึงมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหลีกทางให้คนอื่นที่สัญจรทางนี้เลย ถึงกับชนคนเดินเท้าคนหนึ่งล้ม ข้าวของกระจัดกระจายด้วย เมื่อควบม้ามาถึงรถม้าสกุลลู่ คุณชายอายุน้อยที่เป็หัวหน้าคนนั้นก็สะบัดแส้ถูกหลังคารถม้า ทำเอาเสี่ยวหมี่สะดุ้งใ
รอจนพวกเขาผ่านไปแล้ว เสี่ยวหมี่ถึงได้มุดออกมาเอ่ยอย่างโมโห “นั่นใครกัน? ทำราวกับว่าถนนเส้นนี้เป็ของบ้านเขาอย่างไรอย่างนั้น”
พี่ใหญ่ลู่เห็นว่าน้องสาวไม่เป็อะไร เขาก็บังคับม้าให้ขึ้นหน้าไปสองสามก้าว แล้วจึงช่วยชาวสวนที่ล้มลงไปคนนั้นเก็บข้าวของ ก่อนจะเชิญเขาขึ้นนั่งบนรถม้าให้เข้าเมืองไปด้วยกัน
ชาวสวนคนนั้นดีใจมากขอบคุณเขาติดๆ กันหลายครั้ง
ที่บ้านสกุลเฉิน เถ้าแก่เฉินเพิ่งจะตื่นนอน เขาเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ นวดขมับทั้งสองข้างเบาๆ เห็นว่าเสี่ยวหมี่สองพี่น้องมาถึงแล้ว ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเอ่ยว่า “เมื่อคืนดีใจไปหน่อย จึงดื่มไปเยอะ”
เสี่ยวหมี่ยิ้มแย้มตอบรับว่า “เื่ซื้อูเาราบรื่นดีหรือเ้าคะ?”
“ฮ่าฮ่า ใช่แล้ว เสี่ยวหมี่ฉลาดจริงๆ เดาถูกเสียด้วย”
เจิ้งซื่อเดินนำสาวใช้ยกอาหารเช้าเข้ามา เมื่อจัดวางอย่างเรียบร้อยแล้วก็เชิญสองพี่น้องนั่งลงรับประทานอาหาร
“พวกเ้าออกมาแต่เช้า คงยังไม่ได้กินอะไรมากระมัง กินอาหารรองท้องก่อนเถอะ แล้วค่อยให้ผีสุราคนนั้นพาพวกเ้าไปศาลาว่าการ”
“ข้าดื่มไปแค่กาเดียวเองนะ เหตุใดถึงกลายเป็ผีสุราไปได้?”
“ไม่เรียกผีสุราแล้วจะเรียกอะไรเล่า”
สองสามีภรรยาต่อปากต่อคำกัน ทำเอาสองพี่น้องสกุลลู่อดขำไปด้วยไม่ได้
คำโบราณว่าไว้ว่าซื้อสุกรต้องดูคอก แต่งภรรยาต้องดูแม่ภรรยา ถึงแม้ประโยคนี้จะไม่ค่อยน่าฟังนักแต่ก็เป็เื่จริง
หากว่าเรือนหลังไม่สงบ ยังคงแก่งแย่งชิงดีไม่หยุด มารดาก็มีนิสัยดุร้าย เช่นนั้นบุตรสาวก็คงจะไม่น่าสมาคมด้วยสักเท่าไร
ดังนั้นครอบครัวที่พ่อแม่รักใคร่ปรองดองกันดี ลูกๆ ที่เกิดมาก็ย่อมเป็เด็กดีและใจกว้าง
เสี่ยวหมี่จึงพอใจกับพี่สะใภ้คนนี้เป็อย่างยิ่ง เนื่องจากรู้สึกพออกพอใจจึงเจริญอาหารเป็พิเศษด้วย
ก่อนหน้านี้ตอนที่ ‘น้าสาว [1]’ ของนางมาเยี่ยมเป็ครั้งแรกนั้น อยู่นานถึงเจ็ดแปดวันถึงจะไป โจ๊กพุทราหวานของสกุลเฉินในวันนี้จึงเป็อาหารเสริมชั้นดีให้ร่างกายของนาง
เมื่อกินอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เถ้าแก่เฉินก็พาสองพี่น้องไปยังศาลาว่าการ ยามนี้ค่อนข้างสายแล้ว พระอาทิตย์สาดแสงแรงกล้าอยู่เหนือหัว ประตูข้างของศาลาว่าการเปิดอยู่ มีคนเดินเข้าออกไม่หยุดหย่อน
เถ้าแก่เฉินยัดสินน้ำใจใส่มือทหารเฝ้าประตู ยิ้มแย้มพาสองพี่น้องสกุลลู่เข้าไปด้านใน สุดท้ายเข้าไปแล้วจะอย่างไรก็ตามหาอาลักษณ์เฉินไม่เจอ
เถ้าแก่เฉินรู้สึกแปลกใจจึงเข้าไปถามลักษณ์คนหนึ่งที่รู้จักมักคุ้นกันอยู่เพื่อสอบถาม เหมือนอาลักษณ์คนนั้นกำลังวุ่นวายจัดการอะไรอยู่ เขาตอบกลับมาประโยคเดียวว่า “เห็นว่าวันนี้พี่เฉินลาป่วยน่ะ”
ลาป่วย?
เถ้าแก่เฉินขมวดคิ้ว รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย จากความสัมพันธ์ยามปกติของพวกเขาต่อให้อาลักษณ์เฉินจะป่วยจริง ก็คงจะรบกวนคนอื่นให้ช่วยจัดการเื่นี้ให้เขาแทน หรือเมื่อวานนี้ไม่ได้ให้สินน้ำใจเขา เขาจึงไม่พอใจ?
แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดอะไรมาก อย่างไรเสียเขาก็ได้โฉนดสีเหลืองมาแล้ว วันนี้ก็แค่ไปจ่ายเงินที่เหลือให้ครบก็ใช้ได้แล้ว
คนทั้งสามรออยู่ครึ่งชั่วยามในที่สุดก็ถึงตาพวกเขาแล้ว
ครั้งนี้เถ้าแก่เฉินได้บทเรียนแล้ว ตอนเดินเข้าไปเขาก็ส่งสินน้ำใจให้เ้าหน้าที่ก่อน
อาลักษณ์คนนั้นจึงเต็มใจให้บริการเพิ่มขึ้นสามส่วน “พวกท่านมาจัดการเื่ใดขอรับ”
เถ้าแก่เฉินหยิบโฉนดเหลืองออกมา ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “พวกเราจะซื้อูเาสองลูก เมื่อวานข้าจ่ายเงินมัดจำมีโฉนดเหลืองอยู่ในมือแล้ว วันนี้จะมาเปลี่ยนเป็โฉนดแดง”
อาลักษณ์คนนั้นรับโฉนดสีเหลืองไป เขากวาดสายตาดูไปรอบหนึ่ง แล้วจึงมีสีหน้าตกตะลึง
“นี่...นี่จะทำเช่นไรดี...”
เสี่ยวหมี่มองอยู่เงียบๆ มาั้แ่ต้น ยามนี้ต่อให้จะโง่แค่ไหนนางก็เดาได้แล้วว่าเื่นี้มีการเปลี่ยนแปลง นางไม่แม้แต่จะคิด รีบดึงโฉนดเหลืองกลับมา เอ่ยว่า “นายท่านผู้นี้ โฉนดเหลืองนี้มีปัญหาอะไรหรือเ้าคะ?”
“คือว่า...ก็ไม่มีหรอก” อาลักษณ์คนนั้นมีสีหน้าลำบากใจ สายตาหันไปมองเพื่อนข้างๆ ที่กำลังทำตัวยุ่งอยู่ ไม่น่าเล่าวันนี้พี่เฉินถึงลา...
“ในเมื่อโฉนดเหลืองนี้ไม่มีปัญหาอะไร เช่นนั้นท่านก็ช่วยออกโฉนดแดงให้หน่อยเถอะเ้าค่ะ เงินที่เหลือพวกเราก็นำมาแล้ว”
เสี่ยวหมี่เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับเอ่ยวาจาตรงไปตรงมาไม่ยอมอ่อนข้อ
อาลักษณ์คนนั้นมีเหงื่อซึมเต็มหน้าผาก ขบคิดน้อยๆ แล้วจึงยิ้มตอบว่า “พวกท่านมาช้าไปแล้ว ูเาสองลูกนี้...ถูกคนซื้อไปั้แ่เช้าแล้วขอรับ”
“อะไรนะ?”
เถ้าแก่เฉินหงุดหงิดทันที เขาะโว่า “จะเป็ไปได้อย่างไร เมื่อวานนี้พวกเราได้โฉนดเหลืองมาแล้ว ก็เท่ากับเป็การลงนามในสัญญาแล้วว่าจะซื้อขายเขาสองลูกนี้ ใครกันที่ไม่สนใจกฎหมาย แย่งซื้อูเาพวกนั้นไป?”
อาลักษณ์คนนั้นแค่นเสียงเ็า เช้าตรู่วันนี้ตอนที่เขาเพิ่งจะนั่งลงเรียบร้อยไม่นาน หลานชายสุดที่รักของท่านที่ปรึกษาคนนั้นก็เอาเงินสองร้อยตำลึงมา โวยวายว่าจะรีบทำโฉนด เขาเองก็ไม่กล้าชักช้า สุดท้ายถึงเพิ่งมารู้เอาตอนนี้ว่า ที่แท้เ้าบ้านั่นแย่งซื้อูเาของคนอื่น แล้วผลักให้เขาออกมาเป็ผู้รับเคราะห์แทน...
“ซื้อไปแล้วก็ซื้อไปแล้วสิ ใครจะสนใจเล่าว่าพวกเ้าถือโฉนดเหลืองหรือโฉนดแดง รีบไปเสีย อย่าทำให้พวกเราเสียเวลา”
อาลักษณ์คนนั้นโกรธขึ้นมาแล้วเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดีสุดท้ายจึงไล่คนกลับไปเสียดื้อๆ “หากเ้ายังไม่ไปอีก ข้าจะเรียกคนให้มาลากพวกเ้าออกไป”
เถ้าแก่เฉินโกรธจนเส้นเืบนขมับกระตุก หลายปีมานี้เขาทำการค้าอยู่ในเมืองอันโจว นับว่ามีหน้ามีตาอยู่บ้าง ไม่เคยโดนดูถูกถึงเพียงนี้มาก่อน แล้วยังเป็ต่อหน้าเด็กๆ อีกสองคนอีกด้วย
“ดีๆ ข้าจะไปฟ้องร้องที่จวนที่ปรึกษา ข้าไม่เชื่อหรอกว่า ในมือข้าถือโฉนดเหลืองอยู่...”
“ท่านลุงเฉิน พวกเรากลับก่อนเถอะเ้าค่ะ เกรงว่าคงจะมีเื่เข้าใจผิดอะไรกัน”
ยามนี้ยังอยู่ในถิ่นผู้อื่น เสี่ยวหมี่กลัวว่าอาลักษณ์คนนั้นจะแย่งโฉนดเหลืองไป ถึงตอนนั้นฝั่งนางคงไม่เหลือหลักฐานอะไรแล้ว
นางโน้มน้าวให้เถ้าแก่เฉินเดินออกมาจากศาลาว่าการ ก่อนออกมานางก็อาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสังเกต ลากทหารยามคนหนึ่งมาสอบถาม แล้วจึงยัดเงินให้เขาไปจำนวนหนึ่ง
เถ้าแก่เฉินหอบหายใจอย่างหงุดหงิด กล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “เสี่ยวหมี่ เื่นี้...”
“ท่านลุงเฉิน ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้นเ้าค่ะ ท่านไม่ต้องคิดมาก เื่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หากว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะหาเื่ เราป้องกันอย่างไรก็ไม่เป็ผล”
เสี่ยวหมี่คิดหนัก แต่ก็ยังคงยิ้มแย้มปลอบใจท่านลุงเฉิน กลัวว่าเถ้าแก่ท่านนี้จะเป็อะไรไป
ในที่สุดเถ้าแก่เฉินก็สงบสติอารมณ์ได้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็คนที่ผ่านอะไรมามาก เขาขบคิดเล็กน้อย ในที่สุดก็เอ่ยออกมาว่า “เสี่ยวหมี่พูดถูก หรือว่าวันนั้นตอนที่ข้าไปศาลาว่าการมีคนแอบได้ยินเข้า?”
ตอนที่คนทั้งสามกำลังคาดเดากันไปต่างๆ นานานั้น ทหารยามคนนั้นก็วิ่งออกมา พวกเสี่ยวหมี่เป็คนนอก จะสืบเื่อะไรย่อมไม่ใช่เื่ง่าย แต่ทหารยามนั้นนับเป็คนในศาลาว่าการ เขาไปสืบเื่ด้านในคงได้ความกว่าพวกนางมากนัก
แต่เขาก็พูดอะไรมากไม่ได้ทำได้แค่เล่าให้ฟังอย่างง่ายๆ ว่า “เมื่อตอนเช้าตรู่ เป็หลานชายของท่านที่ปรึกษามาซื้อูเาสองลูกนั้นไป”
เถ้าแก่เฉินและสองพี่น้องสกุลลู่เข้าใจในทันที ที่แท้มีคนแย่งซื้อไปจริงๆ จุดประสงค์ของเขาคาดเดาได้ว่ามีอยู่สองเื่ ถ้าไม่เพื่อแก้แค้นก็เพื่อผลประโยชน์
ยามปกติสกุลลู่ทำอะไรไม่กระโตกกระตาก ไม่เคยล่วงเกินใคร เช่นนั้นก็มีความเป็ไปได้อย่างเดียวคือเื่ผลประโยชน์
ราคาซื้อูเาก็แค่สองร้อยตำลึง แต่เมื่อมันตกไปอยู่ในมือผู้อื่นที่แน่ใจว่าสกุลลู่้าซื้อมันจริงๆ ไม่แน่ว่าสองพันตำลึงผู้อื่นอาจจะไม่ยอมขายก็เป็ได้
เถ้าแก่เฉินโกรธจนกระทืบเท้า เมื่อวานเขาไม่น่ามาเลย ไม่สู้มาเอาโฉนดแดงเสียเลยในเช้าวันนี้ ยามนี้กลายเป็แหวกหญ้าให้งูตื่น ถูกผู้อื่นวางกับดักเข้าให้แล้ว...
ไม่รู้เพราะเหตุใดเสี่ยวหมี่จึงนึกไปถึงเมื่อเช้าตอนที่ออกเดินทางมา แล้วเจอเข้ากับคุณชายโอหังคนนั้น
“แย่แล้วล่ะพี่ใหญ่ พวกเรารีบกลับหมู่บ้านกันก่อน กลุ่มคนโอหังพวกนั้นเมื่อเช้าเดาว่าคงตั้งใจมุ่งหน้าไปที่บ้านเรา”
“หา” เมื่อพี่ใหญ่ลู่ได้ยินเช่นนี้ก็รีบจูงมือน้องสาวออกวิ่งทันที “รีบไป”
สองพี่น้องไม่มีเวลาเอ่ยลาเถ้าแก่เฉิน รีบไปที่รับฝากรถม้าเพื่อรับรถม้าคืนแล้วมุ่งหน้ากลับหมู่บ้านเขาหมีทันที
ไม่ผิดคาด เร่งมาได้ครึ่งทางก็เจอกับพวกเสี่ยวเตาควบม้ามาต้อนรับพอดี
“เสี่ยวหมี่ พี่ใหญ่ พวกท่านกลับมาแล้ว เมื่อครู่มีคนกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามา บอกว่าพวกเขาซื้อหุบเขาหมีไว้แล้ว ไม่ให้พวกเราทำสวนหรือสร้างบ้านต่อไปอีก”
“อืม ข้ารู้แล้ว พวกเรากลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เสี่ยวหมี่กำชายเสื้อแน่น ในใจร้อนรุ่มดังไฟสุม เดิมทีทุกอย่างราบรื่นดีแท้ๆ ในเวลาสำคัญเช่นนี้กลับถูกคนเหยียบมาถึงลำคอเสียได้ ไม่ว่าใครก็คงสงบนิ่งไม่ไหว
เ้าม้าที่เทียมรถอยู่คล้ายจะรู้ว่าเกิดเื่ขึ้นที่บ้านพวกเขา จึงรีบห้อตะบึงกลับบ้านเช่นกัน
ประตูทางเข้าหมู่บ้านยามนี้ถูกล้อมเอาไว้ ด้านในประตูแถวหน้าเป็พวกพรานหนุ่ม ถัดลงไปข้างหลังเป็พวกบุรุษวัยกลางคน บุรุษชราในหมู่บ้าน
ด้านนอกประตู ก็คือกลุ่มคนที่พวกเสี่ยวหมี่พบตอนจะเข้าเมือง นอกจากคุณชายร่ำรวยที่หน้าตาราวกับโจรคนนั้นแล้ว ยังมีเด็กรับใช้อีกเจ็ดแปดคน คนของทางการอีกห้าหกคน รวมๆ แล้วก็สิบกว่าคน
คุณชายคนนั้นโอหังยิ่งนัก เขากำลังใช้เท้าถีบประตูไม้ ะโว่า “เ้าพวกชั้นต่ำสมควรตาย ข้าซื้อหุบเขาหมีนี่ไว้ทั้งหมดแล้ว ที่แห่งนี้ก็คือที่ดินของข้า ข้าเป็เ้าของ หากพวกเ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อก็รีบคุกเข่าโขกศีรษะให้ข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะเตะพวกเ้าออกไป ให้คนอย่างพวกเ้าอดตายกันหมด”
หนุ่มๆ ในหมู่บ้านเขาหมีได้ยินแล้วก็สีหน้าดำคล้ำ แทบจะอยากยิงพวกสุนัขด้านหน้านั่นให้ตายให้หมด
ดีที่พวกผู้เฒ่าห้ามเอาไว้ นายท่านเฝิงเห็นว่าผู้เฒ่าหยางนั่งยองๆ อยู่ข้างกองหินสูบกล้องยาสูบ ไม่มีท่าทีร้อนใจแม้แต่น้อย ในใจเขาก็สงบลงเล็กน้อย จึงโน้มน้าวทุกคนว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อน รอเสี่ยวหมี่กลับมาก่อน”
แต่คุณชายโอหังคนนั้นกลับยังไม่หยุด “เ้าเฒ่านี่ ข้าได้โฉนดมาอยู่ในมือแล้ว วันนี้ต่อให้ฮ่องเต้มาเอง ที่ดินผืนนี้ก็เป็ของข้า”
“ก็ไม่แน่หรอกนะ”
เสียงดังกังวานของสตรีดังขึ้น คุณชายคนนั้นรีบหันหลังไปมองทันที เห็นว่าเป็แม่นางน้อยน่ารักคนหนึ่ง ก็ยิ้มเยาะ “แหมๆ สถานที่รกร้างกันดารเช่นนี้ ยังเลี้ยงแม่นางคนงามออกมาได้ด้วยหรือนี่”
เสี่ยวหมี่ไม่สนใจเขา นางนำพี่ชายและพวกพี่เสี่ยวเตาเดินผ่านเขาไปหยุดอยู่หน้าประตู แล้วจึงหันมาเอ่ยถามว่า “ท่านคือคุณชายตู้กระมัง? หลานชายของท่านที่ปรึกษา?”
ตู้ไฉเกาเลิกคิ้วน้อยๆ เขาสะบัดพัดในมือไปมา ตอบรับว่า “เป็ข้าเอง ในเมื่อเ้ารู้แล้ว ยังไม่รีบคุกเข่าโขกศีรษะให้ข้าอีกหรือ?”
เชิงอรรถ
[1] น้าสาว(姨妈)ประจำเดือน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้