เฟิ่งชังตกตะลึง เขาเงยหน้าขึ้น ใบหน้าทรงเหลี่ยมสีหน้าเต็มไปด้วยความระมัดระวัง บุคลิกน่าเกรงขาม ร่างของเขาเหยียดตรงราวกับพู่กัน รูปร่างสูงใหญ่ ทั้งๆ ที่เขาเป็ขุนนางฝ่ายบุ๋น ทว่าบุคลิกและจิติญญาของเขาไม่ได้ด้อยกว่าขุนนางฝ่ายบู๊แม้แต่น้อย กระทั่งนาทีนี้ที่เขาคุกเข่าอยู่บนพื้น ก็ไม่ได้ทำให้บุคลิกของเขาด้อยลงเลย!
ได้ยินคำถามที่เซวียนหยวนเช่อถามเขา คิ้วรูปกระบี่ของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย ราวกับกำลังใคร่ครวญถึงความหมายที่แท้จริงของคำถามนั้น ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถามเขาเกี่ยวกับเื่หมากบนกระดานหรือเื่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับหมากบนกระดาน
ดวงตาพยัคฆ์คู่หนึ่งกวาดตาไปยังหมากบนกระดาน แม้ว่าเขาจะจงใจเก็บงำความคมปลาบของตน ทว่ายังคงให้ความรู้สึกกดข่มผู้อื่นที่ไม่อาจปกปิดได้
ครุ่นคิดครู่หนึ่งเขาเอ่ยปากตอบ “ดูจากสถานการณ์บนกระดานหมากแล้ว ตอนนี้หมากดำเป็ฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด หมากดำกำลังลอบสร้างค่ายกลโดยเปิดศึกทุกด้าน พลิกแพลงว่องไว ไม่อาจมองข้ามพ่ะย่ะค่ะ!”
เซวียนหยวนเช่อพยักหน้า “เช่นนั้นหมากขาวเล่า”
เฟิ่งชังเป็คนฉลาด มองสถานการณ์ตรงหน้าปราดเดียวก็เข้าใจและเชื่อมโยงเหตุการณ์เข้าด้วยกันได้ทันที เมื่อสักครู่ฝ่าาจะต้องเดินหมากอยู่กับใครสักคน เขารู้อีกด้วยว่าฝีมือการเดินหมากของฝ่าานั้นอยู่ในระดับยอดฝีมือ เช่นนั้นผู้ที่เป็ฝ่ายเดินหมากดำต้องเป็ฝ่าาโดยไม่ต้องสงสัย ตอนนี้ฝ่าาถามเขาว่ามีความเห็นเช่นไรต่อหมากขาว เขาย่อมรู้ว่าควรตอบอย่างไรจึงจะทำให้ฝ่าาพอพระทัยได้
“สำหรับหมากขาว...” เขาส่ายหน้าแล้วพ่นลมออกมาเล็กน้อย “ไม่มีกฎเกณฑ์! ไม่เพียงแต่เดินหมากได้เลอะเทอะวุ่นวาย ซ้ำยังไม่มีกลยุทธ์ เดินตามที่หมากดำจูงจมูกให้เดิน! ตามที่กระหม่อมเห็นไม่ต้องเดินจนถึงท้ายกระดาน หมากขาวก็พ่ายแพ้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ได้ยินเช่นนั้นเซวียนหยวนเช่อเงยหน้าขวั่บ เขาละเลื่อนสายตาจากหมากบนกระดานมาตกอยู่บนร่างของเฟิ่งชัง มองด้วยสายตายากจะคาดเดาและประเมินเขาในคราเดียวกัน “เช่นนั้นตามความเห็นของท่านมหาเสนาบดี ผู้ที่เดินหมากขาวเป็คนมีอุปนิสัยอย่างไร”
เมื่อแววตาของเซวียนหยวนเช่อตกอยู่ในสายตาของเฟิ่งชัง กลับแปรเปลี่ยนเป็ความเข้าใจอีกลักษณะหนึ่ง
ดูท่าแล้วเขาจะทายถูก ผู้ที่เดินหมากคือฝ่าาจริงๆ เขาโจมตีฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้จึงทำให้ฝ่าาพอพระทัย
ดังนั้นเขาจึงตอกย้ำความคิดของตนอีกว่า “ดูการเดินหมากเหมือนการดูลักษณะนิสัยของคน! ผู้เดินหมากขาวเดินหมากไม่เป็ระเบียบ ไม่มีความคิดเป็ของตนเอง เห็นได้ว่าไม่มีความกล้าหาญ เป็คนอยู่ไปวันๆ คนประเภทนี้เหมือนพยาธิที่คนดูแคลนพ่ะย่ะค่ะ!”
เซวียนหยวนเช่อช้อนตาขึ้นมา “พยาธิคือสัตว์ชนิดใด”
เฟิ่งชังหัวเราะอย่างดูแคลน “พยาธิก็คือกาฝาก ดำรงชีวิตเหมือนกาฝาก เริ่มแรกมันจะมีชีวิตอยู่กับเนื้อหมู เมื่อคนกินเนื้อหมูเข้าไป มันก็จะเติบโตอยู่ในร่างกายของมนุษย์ เป็สัตว์ที่มีชีวิตอย่างไร้เกียรติและไม่อาจยืนได้ด้วยตัวเองเหมือนพยาธิที่น่าสงสารพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไร้เกียรติและไม่อาจยืนได้ด้วยตัวเองเหมือนพยาธิที่น่าสงสารหรือ” เซวียนหยวนเช่อหัวเราะเบาๆ แม้จะหัวเราะแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเ็า “ท่านมหาเสนาบดีช่างมีแววตาแหลมคมผิดแผกจากผู้อื่นนัก!”
ช่างเป็บิดาที่ดีคนหนึ่ง ถึงกับด้อยค่าบุตรสาวของตนเองถึงเพียงนี้!
พยาธิที่น่าสงสารหรือ
นางเป็พยาธิที่น่าสงสารตัวหนึ่งจริงๆ นั่นแหละ!
เฟิ่งชังเงยหน้าขึ้นด้วยััถึงแววตาเ็าของเซวียนหยวนเช่อที่สาดออกมา เขาลอบตกตะลึง หรือว่าเขาพูดอะไรผิดไปใช่หรือไม่
ล้วนกล่าวว่าจิตใจกษัตริย์ยากจะหยั่งถึง เขาระมัดระวังอย่างยิ่งยวดแล้ว ทว่าฮ่องเต้หนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าพระองค์นี้ยังคงทำให้เขาอ่านไม่ออก และคาดเดาไม่ออกว่าในใจของเขากำลังคิดอะไรกันแน่
“ท่านมหาเสนาบดีมาพบเจิ้น มีเื่อันใดหรือไม่” สายตาของเซวียนหยวนเช่อเลื่อนกลับไปที่กระดานหมากอีกครั้ง
เฟิ่งชังพรูลมหายใจโล่ง “ทูลฝ่าา กระหม่อมได้เบาะแสว่าหลายวันนี้ ซือคงจวินเย่ ไท่จื่อของแคว้นหนานเยียนปรากฏตัวขึ้นกลางเมืองมู่หยางพ่ะย่ะค่ะ พระองค์้าให้ส่งคนไปสะกดรอยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เซวียนหยวนเช่อพูดด้วยไม่แสดงอารมณ์ว่า “เจิ้นรู้แล้ว ในเมื่อเขาไม่ได้เป็ฝ่ายแสดงออกว่าจะเข้ามาพบ เจิ้นก็จะทำเป็ไม่รู้ไปก่อน”
เฟิ่งชังประหลาดใจอยู่บ้างที่ฝ่าารู้เื่นี้แล้ว ดูท่าแล้วเขายังคงประเมินหูตาของฝ่าาเกินไป ขณะเดียวกันแผ่นหลังของเขาพลันหลั่งเหงื่อเย็นชั้นบางๆ หรือทุกๆ การเคลื่อนไหวของเขาล้วนอยู่สายตาของฝ่าา
ท่ามกลางความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง พลันได้ยินเสียงเซวียนหยวนเช่อพูดขึ้นเบาๆ “ลุกขึ้นเถิด! เดินหมากเป็เพื่อนเจิ้นสักกระดาน!”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!” เฟิ่งชังลุกขึ้นช้าๆ เขาเพิ่งจะตระหนักว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ ตนเองถึงกับถูกฝ่าาบีบไว้ในกำมือและอ่านออกทะลุปรุโปร่ง!
เขาไม่เพียงแต่มีบุคลิกที่พ่ายแพ้เพียงเล็กน้อย ในด้านของจิตใจเขาอยู่ห่างชั้นไกลโยชน์!
บุรุษที่เป็โอรส์เบื้องหน้านี้ ได้เจริญเติบโตจากลูกนกอินทรีย์ตัวเล็กๆ กลายเป็นกอินทรีย์ตัวผู้ที่มีปีกอันแข็งแกร่งตัวหนึ่ง เขาไม่เคยอยู่ในความควบคุมของตน ในอดีตเป็เช่นนี้และในวันหน้ายิ่งเป็เช่นนี้!
ณ คฤหาสน์ลับหลังหนึ่งในเมืองมู่หยาง ภายในคฤหาสน์มีสระบุปผาอยู่แห่งหนึ่ง
ริมสระบุปผา มีดอกรักเร่สีแดงขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง ใต้ดอกรักเร่ช่อใหญ่มีบุรุษรูปร่างสูงเพรียวนั่งเอนกายอย่างเกียจคร้านอยู่ที่นั่น อาภรณ์สีขาว เส้นผมสีเงิน ผิวพรรณขาวประดุจหิมะ มองไปไกลๆ คล้ายมนุษย์หิมะที่นั่งอยู่นั่น งดงามเสียจนทำให้คนแทบลืมหายใจ
บนใบหน้าของเขา ั้แ่หน้าผากลงมาถึงปลายจมูกได้สวมหน้ากากรูปทรงเสี้ยวพระจันทร์สีเงินชิ้นหนึ่ง ปิดบังหน้าผากจนถึงปลายจมูก ทว่ากลับมิอาจบดบังความหล่อเหลาเป็หนึ่งไม่มีสองของดวงตาเรียวรูปหงส์คู่นั้นได้ เส้นผมสีเงินยาวสลวยนั้นทิ้งตัวสยายลงมาอย่างอิสระปลิวไหวตามแรงลม
ลมพัดมากลีบดอกรักเร่ปลิวลงมาบนเส้นผมของเขา คล้ายดอกเหมยสีแดงเข้มที่บานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะสีขาว นิ้วมือเรียวยาวประดุจหยกถือจอกสุราลวดลายัหงส์สีเขียว สีของสุราใสราวกับเนื้อหยกโปร่งแสง สายตาของเขาตกลงบนตำราเดินหมากเล่มหนึ่งบนโต๊ะน้ำชา เขาจดจ่อสมาธิอย่างสงบ
ผีเสื้อสีแดงราวเปลวเพลิงตัวหนึ่งกระพือปีกทั้งคู่ของมันถี่ๆ บินลงมาหยุดบนเท้าเปลือยเปล่าทั้งคู่ของเขา เมื่อมองไปไกลๆ ถึงกับเป็ภาพที่เย้ายวนที่บรรยายออกมาเป็คำพูดไม่ได้!
ซือคงจวินเย่ อยู่ในอาภรณ์สีเงินยวงทั้งชุด บนศีรษะครอบด้วยมงกุฎเงิน เขาเดินเข้ามาใกล้สระบุปผาเห็นแต่ไกลว่ามีนางกำนัลรวมกลุ่มกันอยู่ที่นั่นสองสามคนกำลังซุบซิบถึงบุรุษที่อยู่ริมสระบุปผา
“องค์ชายสามรูปงามเหลือเกิน!”
“เขาเป็เทพเซียนที่ลงมาชดใช้กรรมบนโลกมนุษย์หรือไม่ ไม่อย่างนั้นไฉนเขาจึงงดงามปานเทพเซียนเช่นนี้”
“แต่ข้าได้ยินมาว่าเขาถูกทำลายรูปโฉม ดังนั้นจึงสวมหน้ากากทุกวัน!”
“พูดจาเหลวไหล! เป็เพราะองค์ชายสามมีเคราะห์ ซินแสจึงแนะให้สวมหน้ากาก ทำเช่นนี้แล้วจะพ้นเคราะห์ได้!”
“ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน! ข้ายังได้ยินมาอีกว่า ผู้ใดสามารถดึงหน้ากากบนใบหน้าของเขาได้เป็คนแรก คนผู้นั้นก็จะเป็คนที่์กำหนดให้มาเคียงคู่กับเขา!”
“ปรารถนาเหลือเกินว่าคนๆ นั้นจะเป็ข้า!”
“เ้าอย่าแม้แต่จะคิด! แต่ไหนแต่ไรมาองค์ไท่จื่อไม่เคยอนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้องค์ชายสาม ยังไม่ทันรอให้เ้าดึงหน้ากากขององค์ชายสาม ชีวิตเล็กๆ ของเ้าก็ม้วยเสียแล้ว”
“ทว่าพูดไปพูดมา ความรู้สึกที่องค์ไท่จื่อทรงมีต่อองค์ชายสามดูเหมือนจะไม่ค่อยธรรมดาสามัญ...”
“ชู่วว เ้าเบาเสียงหน่อย! ไม่้ามีชีวิตแล้ว”
ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดานางกำนัล คิ้วของซือคงจวินเย่ขมวดมุ่น รอบๆ กายของเขาแผ่กำจายความเ็าออกมา สตรีชั้นต่ำเหล่านี้ไม่รู้ดีชั่ว อาศัยอะไรถึงกล้าวิพากษ์วิจารณ์เขาและน้องสามลับหลัง ช่างไม่รู้จักที่ตาย!
เขาหันไปพูดกับลมฟ้าอากาศด้านหลังด้วยน้ำเสียงเ็า “กำจัดสตรีปากมากเหล่านี้ให้สิ้นซาก!”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน เหล่านางกำนัลที่กระซิบกระซาบหายสาบสูญไม่เห็นแม้แต่เงา บริเวณโดยรอบกลับมาสงบเงียบดังเดิม!
ซือคงจวินเย่ช้อนตาขึ้นอีกครั้ง เขามองไปยังบุรุษที่อยู่ริมสระบุปผา ดวงตาเ็าคู่นั้นพลันอ่อนโยนลงปรากฏให้เห็นความอบอุ่นพาดผ่าน เขาเดินเข้าไปอย่างเบามือเบาเท้า ด้วยเกรงว่าจะเป็การรบกวนภาพอันงดงามตรงหน้า
ถึงอย่างนั้นบุรุษที่อยู่ริมสระบุปผาก็ยังคงรู้ตัว เขาหันมองมา สายตาของเขาประหนึ่งว่าฉาบด้วยหมอกบางๆ ชั้นหนึ่ง คล้ายสายน้ำที่กำลังไหลริน
นาทีนั้น ลมหยุดพัด กลิ่นหอมเลือนหาย สีของบุปผาจืดจางไป