“น้องสาวของกระหม่อมอ่อนด้อยนัก มิกล้ารับคำชมจากเซวียนอ๋อง อีกทั้ง... นางมีคู่หมายแล้ว ครั้งนี้มาร่วมงานเป็เพื่อนมารดาเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” แม้โหยวเยวี่ยเฉิงจะไม่พอใจ แต่ก็ยังกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อทราบว่าหญิงงามมีคู่หมายแล้ว เฟิงเจวี๋ยหร่านไม่เพียงแต่ไม่ถอนสายตากลับมา ยังหัวเราะเบาๆ แล้วเอียงคอเล็กน้อยถามโหยวเยวี่ยเฉิงอย่างคะนองปาก “โธ่… มีคู่หมายเสียแล้วหรือ น่าเสียดายนัก ไม่ทราบว่า... พอจะหาทางถอนหมั้นได้หรือไม่”
“...”
โหยวเยวี่ยเฉิงหน้าเปลี่ยนสีในพริบตา อ้าปากค้าง อ้ำอึ้งพูดไม่ออก
“น้องแปด ชื่อเสียงของสตรีในห้องหอคือสิ่งสำคัญที่สุด คุณหนูจวนิกั๋วกงเป็สตรีมากพร์ความสามารถ มีชื่อเสียงดีงามในเมืองหลวง ไม่อาจนำมาล้อเล่นให้เสื่อมเสียได้” เฟิงเจวี๋ยเสวียนช่วยพูดแทนโหยวเยวี่ยเฉิง เพียงประโยคเดียวก็สามารถยับยั้งการก่อกวนของเฟิงเจวี๋ยหร่านที่พูดหยอกเอินโหยวเยวี่ยเอ๋อจนกลายเป็ตัวตลกลงได้
โหยวเยวี่ยเฉิงระบายลมหายใจอย่างโล่งอก มองเฟิงเจวี๋ยเสวียนด้วยความซาบซึ้งใจ
“คุณหนูโหยวเป็หญิงงามที่มีความสามารถขึ้นชื่อในเมืองหลวงด้วยหรือ เสด็จพี่ใหญ่ช่างรอบรู้เื่นี้ดียิ่ง น้องชายเพิ่งกลับมาได้ไม่นาน จึงไม่รู้ว่าสตรีที่นี่เป็อย่างไรบ้าง ปรกติหญิงสาวที่เลี้ยงดูอยู่แต่ในหอลึกมักไม่ค่อยมีคนรู้จัก ครั้งแรกที่เห็นคุณหนูโหยวจึงเอ่ยชื่นชมด้วยใจจริง ที่แท้นางเป็สตรีที่ใครๆ ก็รู้จักได้นี่เอง"
เฟิงเจวี๋ยหร่านไม่รู้สึกหงุดหงิดที่เฟิงเจวี๋ยเสวียนเข้ามาขัดหัวข้อสนทนาของตนเอง กลับหัวเราะอีกด้วย ทั้งยังทำตัวเหมือนเจอคนประเภทเดียวกัน จงใจกดเสียงต่ำเอ่ยถาม “เสด็จพี่ใหญ่ช่วยบอกข้าที นอกจากคุณหนูโหยวที่มีชื่อเสียงไปทั่วเมืองหลวงผู้นี้ คุณหนูสกุลไหนที่ขึ้นชื่อว่างดงามที่สุด”
แม้จะไม่ได้พูดเสียงดังมาก แต่เฟิงเจวี๋ยเหล่ย โหยวเยวี่ยเฉิง รวมถึงคุณชายสองสามคนที่นั่งอยู่หน้าสุดก็ยังได้ยินชัดเจน
โหยวเยวี่ยเฉิงหน้าแดงก่ำในพริบตา ใบหน้ายิ้มแย้มของเฟิงเจวี๋ยเสวียนพลันแข็งค้าง มือที่โบกพัดในท่วงท่างามสง่าชะงักงัน นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติ กดเสียงต่ำพูดกับเฟิงเจวี๋ยหร่านด้วยสีหน้าจริงจัง “น้องแปด งานเลี้ยงวันนี้เสด็จพ่อมอบหมายให้พวกเราสามพี่น้องช่วยกันดูแล การชี้ชวนกันวิพากษ์วิจารณ์สตรีเช่นนี้เป็การเสียมารยาท”
ก็ดูท่าทางการพูดคุยของเขาสิ ทั้งสีหน้า สายตา ดูเป็การชื่นชมยกย่องผู้อื่นเสียที่ไหน คล้ายกำลังวิจารณ์หญิงนางโลมเสียมากกว่า วาจาทั้งจาบจ้วงดูเบาว่าเป็สตรีที่ใครๆ ก็รู้จักได้ คำกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าสตรีที่มีชื่อเสียงมักออกไปให้ผู้คนเห็นหน้า เช่นนี้ไม่เท่ากับเป็การตำหนิว่าไม่รู้จักรักษาจรรยาสตรีหรอกหรือ ทั้งยังชี้ไปที่โหยวเยวี่ยเอ๋ออีกด้วย แล้วจะไม่ให้ผู้เป็พี่ชายเช่นเขาหน้าแดงด้วยความอับอายได้อย่างไร
เมื่อได้ยินเฟิงเจวี๋ยเสวียนกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจังเช่นนี้ ดวงตาคู่งามของเฟิงเจวี๋ยหร่านพลันสว่างวาบในความมืด ดวงตาทรงเสน่ห์กลอกไปรอบหนึ่ง ก่อนจะรินสุราให้พระเชษฐาคนโต แล้วส่งให้ด้วยท่าทางเอาอกเอาใจ ขยิบตาให้อย่างรู้กันแล้วกระซิบเสียงต่ำ “เสด็จพี่วางใจเถอะหน่า ข้าไม่พูดที่นี่ก็ได้ แต่เดี๋ยวน้องชายจะแวบไปหาที่จวน ขอคำชี้แนะรายละเอียดเื่หญิงงามอันดับหนึ่งเสียหน่อย”
เฟิงเจวี๋ยเสวียนสีหน้าอึดอัดใจยิ่ง แต่เฟิงเจวี๋ยเหล่ยซึ่งอยู่อีกด้านกลับดูย่ำแย่กว่า เส้นเืที่หน้าผากปูดโปนจนแทบะเิ แม้ว่าดวงตาจะราบเรียบแฝงแววยิ้มอ่อนๆ ทว่ามือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกลับกำหมัดแน่น
หญิงงามอันดับหนึ่งที่ร่ำลือไปทั่วเมืองหลวงย่อมเป็หลิงเฟิงเยียนแห่งจวนติ้งกั๋วกง นั่นคือตัวเลือกชายาเอกที่ตนเองหมายมั่นไว้ เขาและนางเติบโตมาด้วยกัน มีความรักและผูกพันกันมาเนิ่นนานนัก ยิ่งไปกว่านั้นฮองเฮายังแสดงเจตนาทั้งที่ลับและที่แจ้งแล้วว่ามีเพียงตนเองเท่านั้นที่จะได้ขึ้นสืบทอดราชสมบัติ สกุลหลิงย่อมให้ความร่วมมือและส่งธิดาขึ้นมาเป็ฮองเฮา ซึ่งหากมิใช่หลิงเฟิงเยียนแล้วจะเป็ผู้ใดได้อีก ดังนั้นเขาจึงเห็นว่านางเป็สตรีของตนเองมานานแล้ว
แต่วันนั้น เขาได้ยินข้ารับใช้พูดกันว่าเฟิงเจวี๋ยเสวียนพาหลิงเฟิงเยียนออกไปชมโคมไฟ และยังอยู่ในห้องพิเศษส่วนตัวที่หอเซียงหม่านโหลวด้วยกันสองต่อสอง แล้วบุรุษอย่างเฟิงเจวี๋ยเหล่ยจะทนนิ่งดูดายได้หรือ หลังจากเดินวนอยู่สองรอบก็ตัดสินใจพาคนบุกไปที่นั่นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
ดีที่เฟิงเจวี๋ยเหล่ยยังมีสติอยู่บ้าง หลังจากให้คนพังประตูห้องพิเศษเข้าไปแล้ว ยังรู้จักยิ้มแย้มพูดคุยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง โชคดีที่พี่ชายกับสตรีที่เขารักแค่นั่งคุยกัน มิได้ทำเื่เสื่อมเสียดังที่ตนเองคิดเตลิดไป หลังจากนั้นทั้งสามคนก็นั่งคุยสนุกสนานก่อนแยกย้ายกันกลับจวน ไม่มีเหตุร้ายใดๆ เกิดขึ้น
แต่ถึงกระนั้น เข็มเล่มนี้ก็ถูกฝังลงไปแล้ว เมื่อได้ยินว่าเฟิงเจวี๋ยเสวียนยังคิดพูดคุยเื่หลิงเฟิงเยียนกับเฟิงเจวี๋ยหร่านอีกก็รู้สึกโกรธจนเืขึ้นหน้า ศีรษะแทบะเิ
แต่คนที่โมโหจนเืพล่านมิได้มีแต่เฟิงเจวี๋ยเหล่ย เฟิงเจวี๋ยเสวียนเองเจอคำพูดแบบนั้นหน้าผากก็เต้นตุบๆ รังสีแห่งความชิงชังทอวาบในดวงตา แต่เพียงวูบเดียวก็แปรเปลี่ยนเป็ความอบอุ่นดังสายลมวสันต์เช่นเดิม เขารับจอกสุราจากเฟิงเจวี๋ยหร่านมาดื่มอย่างสง่างามคำหนึ่ง แล้วรินสุรากลับคืนให้น้องชายเ้าปัญหา หัวเราะเสียงเบาพลางเกลี้ยกล่อม “น้องแปด เมื่อสองสามวันก่อนเสด็จพ่อยังกริ้วเื่ที่เ้ารับนางคณิกาและนางรำมากมายมาเลี้ยงดูในจวนอ๋องอยู่ วันนี้เห็นว่าเป็งานเลี้ยงเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่จึงปล่อยออกมา ดังนั้นอย่าทำให้เสด็จพ่อทรงพิโรธอีกเป็ดีที่สุด เื่นารีก็เพลาๆ ลงบ้างเถิด”
ใบหน้าหล่อเหลา สุขุมและงามสง่าดูอบอุ่นเผยให้เห็นถึงน้ำใสใจจริง เขาทอดถอนใจก่อนตบไหล่เฟิงเจวี๋ยหร่านเบาๆ ดูเป็พี่ชายคนโตที่กำลังพยายามเกลี้ยกล่อมน้องชายจอมเ้าชู้เสเพลสุดชีวิต
“น้องแปด เสด็จพี่ใหญ่พูดถูกแล้ว อีกประเดี๋ยวหากเข้าเฝ้าเสด็จพ่อก็อย่าเอ่ยถึงเื่พวกนี้อีก สิ่งที่เ้าเสนอในคืนนี้เป็ความคิดที่ไม่เลว เสด็จพ่อต้องพระราชทานรางวัลให้แน่ ได้ยินว่ากว่าจะได้โคมไฟที่งดงามที่สุดดวงนั้นออกมา เสด็จพ่อทรงใช้ไข่มุกไปถึงเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเม็ด ถึงเวลาดูซิว่าใครจะเป็ผู้ได้ไป” ยามนี้เฟิงเจวี๋ยเหล่ยสงบสติอารมณ์ได้แล้ว หันไปยิ้มกล่าวรับลูกต่อจากเฟิงเจวี๋ยเสวียน
“ขอบพระทัยเสด็จพี่ทั้งสองที่สอนสั่ง น้องชายจะไม่พูดอีกแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรข้าจะต้องเอาโคมไฟที่สวยที่สุดดวงนั้นของเสด็จพ่อมาให้ได้ พี่ใหญ่ พี่สาม พวกท่านอย่ามาชิงกับข้าเชียวนะ น้องชายมีความจำเป็ต้องใช้โคมไฟอย่างเร่งด่วนอยู่” เฟิงเจวี๋ยหร่านหรี่ตาลง สายตาจับอยู่ที่ขันทีคนหนึ่งซึ่งวิ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน
“ได้ น้องแปดจำเป็ต้องใช้ พี่ใหญ่ย่อมไม่แย่งชิงกับเ้า”
“อยากให้พี่สามช่วยเ้าด้วยหรือไม่”
มีโอกาสแสดงความปรารถนาดีเอาของเล่นมาแลกเพื่อเอาใจเฟิงเจวี๋ยหร่านแบบนี้ ย่อมไม่มีใครยอมน้อยหน้า
โคมไฟที่นำมาจัดแสดงในค่ำคืนนี้ล้วนมีรูปทรงแปลกตาสีสันงดงามตระการตา ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเื่นี้ กล่าวกันว่าโคมไฟที่งามวิจิตรเ่าั้แตกต่างจากที่ชาวบ้านทั่วไปประดิษฐ์ขึ้น ด้วยเป็ฝีมือการประดิษฐ์อย่างพิถีพิถันของชาววังทำให้แต่ละดวงล้วนมีเอกลักษณ์ ทั้งยังดูสูงสูงล้ำค่าเป็อย่างยิ่ง
ยามนี้สตรีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังเตรียมการแสดง เนื่องจากมีคนเยอะจึงไม่อาจให้ทุกคนอวดฝีไม้ลายมือได้ ฮองเฮาจึงโปรดเลือกหญิงสาวจำนวนหนึ่งมาเป็ตัวแทน บ้างก็เล่นพิณ บ้างก็ร่ายรำ ทั้งยังมีการแข่งขันแต่งบทกวีอีกด้วย ผลงานของเหล่าคุณหนูจะถูกส่งไปให้ฝ่ายชายได้ร่วมพิจารณา
เพื่อเพิ่มความสนุกสนานเฟิงเจวี๋ยเสวียนจึงออกความคิดให้คุณชายทุกคนเขียนกลอนหนึ่งบท ส่งไปให้เหล่าคุณหนูได้วิพากษ์วิจารณ์ด้วย ชั่วขณะนั้นทั้งขันทีและนางกำนัลต่างวิ่งวุ่นแจกกระดาษมือเป็ระวิง บรรยากาศดูครึกครื้นยิ่ง
วิธีการตัดสินก็นับว่าเรียบง่าย บทกวีของเหล่าคุณชายจะถูกปิดส่วนหัวกระดาษไว้แล้วส่งไปให้คุณหนูทุกคนได้อ่าน หากรู้สึกชอบบทกวีของผู้ใดก็ให้ขีดทำสัญลักษณ์ไว้ บทกวีของผู้ใดมีขีดสัญลักษณ์มากที่สุดจะเป็ผู้ชนะ ส่วนบทกวีของฝ่ายหญิงก็ใช้วิธีการตัดสินแบบเดียวกัน เมื่อไม่รู้ว่าผู้แต่งบทกวีเป็ใคร การพิจารณาตัดสินความงดงามของบทกลอนก็มิได้ใช้เฉพาะกรรมการกิตติมศักดิ์กลุ่มหนึ่งเหมือนที่ผ่านมา ดังนั้นจึงมีความยุติธรรมมากยิ่งขึ้น
เนื่องจากบรรยากาศกำลังคึกคัก ฮองเฮาจึงทรงให้คุณหนูที่ทำการแสดง คงแสดงต่อไป ส่วนคุณหนูคนอื่นๆ ที่เหลือก็แต่งกลอนแล้วส่งไปยังเกาะด้านขวา เช่นนี้ก็เท่ากับว่าทุกคนมีโอกาสแสดงความสามารถ ช่วยลดความรู้สึกอัดอั้นตันใจที่ตนเองมิได้รับคัดเลือกให้ทำการแสดง
ทว่าโม่เสวี่ยิ่กลับอึดอัดใจอย่างยิ่ง บีบผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น เกือบไม่อาจรักษารอยยิ้มบนใบหน้าได้ นางสำคัญว่าตนเองมีทั้งรูปโฉมและความสามารถครบครัน ถือเป็หญิงสาวที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในเมืองหลวง แต่วันนี้ฮองเฮากลับไม่ทรงเลือกนาง แล้วจะให้ฝืนยิ้มทั้งที่รู้สึกคับข้องใจได้อย่างไร
เมื่อครู่เหล่าคุณหนูที่ยืนอยู่รอบข้างต่างได้รับคัดเลือก มีเพียงนางที่ไม่ถูกชี้ตัว แต่ขณะที่กำลังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจก็ได้ยินฮองเฮาตรัสขึ้นว่าผู้ที่ไม่ได้รับเลือกทั้งหมดให้เขียนบทกวีคนละหนึ่งบท เพื่อส่งไปให้เหล่าคุณชายที่เกาะฝั่งซ้ายพิจารณาตัดสิน ดวงตาของโม่เสวี่ยิ่พลันสว่างวาบ แล้วเริ่มลงมือเขียนกลอนบทหนึ่งร่วมส่งไปกับบทกวีของคุณหนูคนอื่นๆ
“พี่หญิงใหญ่เขียนว่าอย่างไร ให้ข้าดูบ้างได้หรือไม่” โม่เสวี่ยถงซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างยกยิ้มเล็กน้อย สายตาเหลือบมองไปยังบทกลอนที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษของโม่เสวี่ยิ่ ทันใดนั้นดวงตาคู่งามที่ฉายแววยิ้มพลันจมลึก ลมหายใจสะดุด ความโกรธแค้นอันไม่มีที่สิ้นสุดถาโถมเข้ามาในหัวใจ มือภายใต้แขนเสื้อกำแน่นจนเล็บจิกเข้ากลางอุ้งมือ สีหน้าเปลี่ยนเป็เย็นเยียบปานน้ำแข็งในบัดดล
“กระโปรงน้องปักลายผีเสื้อคู่ โฉมตรูงามหน้าแฉล้มพวงแก้มใส พิรุณโปรยยืนเปลี่ยวอยู่เดียวดาย ตั้งใจหมายรอนางแอ่นคืนรวงรัง”
ไฉนนางจะไม่รู้จักกลอนบทนี้เล่า ยามที่ซือหม่าหลิงอวิ๋นพบนางเป็ครั้งแรก ได้แต่งกลอนให้บทหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับกลอนบทนี้ทุกอย่าง จะผิดเพี้ยนไปก็เพียงอักษรเดียว บุรุษผู้นั้นบอกว่าถึงแม้นางจะเสียโฉม แต่ยังคงงดงามที่สุดในสายตาของเขา ยามนั้นนางสวมกระโปรงปักลายผีเสื้อคู่ เนื่องจากเพิ่งออกทุกข์ แม่นมสวี่จึงให้นางแต่งตัวดูมีสีสันสดใส ด้วยเหตุนี้จึงถูกโม่เสวี่ยฉงหัวเราะเยาะว่าเป็ตัวประหลาดและอัปลักษณ์ยิ่ง ทั้งยังเกือบถูกผลักตกลงไปในสระบัว
ซือหม่าหลิงอวิ๋นจึงเข้ามาอยู่ในหัวใจของนางนับแต่นั้น จำได้ว่ายามนั้นเขาผู้ดูงามสง่าเข้ามาประคองตนเองที่ถูกโม่เสวี่ยฉงผลักล้มลงกับพื้นไปนั่งพักผ่อนที่ศาลาด้านข้าง ริมฝีปากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำหวานหูปลอบประโลม แล้วยังเขียนกลอนบทนี้ทิ้งไว้ให้ สตรีอ่อนแอผู้เปล่าเปลี่ยวไร้ที่พึ่งเช่นนางจึงตกหลุมรักเขาหมดใจั้แ่แรกพบ ต่อมาก็ตกหลุมพรางของฟางอี๋เหนียง ยืนกรานที่จะแต่งงานกับเขาให้ได้ โดยไม่ใส่ใจเสียงคัดค้านของท่านพ่อและตระกูลทางฝั่งมารดา
บัดนี้เมื่อเห็นบทกวีในมือของโม่เสวี่ยิ่ นางยังต้องสงสัยอันใดอีกเล่า
ชาติที่แล้วนางรู้โดยบังเอิญในภายหลัง แท้จริงกลอนบทนี้ซือหม่าหลิงอวิ๋นมิได้แต่งขึ้นด้วยตนเอง เป็การเด็ดผลลัพธ์มาจากความคิดของผู้อื่น ต่อมาซือหม่าหลิงอวิ๋นก็บอกนางว่าที่คัดลอกมาได้เพราะได้รับอนุญาตแล้ว เพื่อเห็นแก่หน้าตาของจวนเจิ้นกั๋วโหว นางจึงไม่เคยบอกเื่นี้กับผู้ใด
วันนี้เขาก็อยู่ในงานเลี้ยงด้วย หากทราบว่าบทกลอนของตนเองถูกโม่เสวี่ยิ่ขโมยไป ไม่รู้ว่าจะแสดงท่าทีอย่างไร
ดวงหน้าเล็กผลิยิ้มพราวพร่างปานบุปผาสะพรั่งงามยามวสันตฤดู ดวงตาวาวโรจน์ ก่อนที่โม่เสวี่ยิ่จะหันมาหา
“ก็ไม่มีอะไรมาก คิดอะไรได้ก็เขียนๆ ไปเท่านั้น” โม่เสวี่ยิ่ยิ้มอย่างถ่อมตน มองไปยังเหล่าสตรีโดยรอบที่กำลังเค้นความคิดกันอย่างสุดกำลัง ใบหน้าฉายแววยิ้มย่องราวกับเป็ผู้ถือไพ่เหนือกว่าโดยไม่รู้ตัว ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่ากลอนบทนี้ได้ทั้งอารมณ์และบรรยากาศเหมาะสมกับกาลเทศะ ด้วยกล่าวถึงความงดงามของหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงปักลายสีเสื้อ
จะต้องมีคุณหนูอีกจำนวนมากที่ยอมรับบทกวีบทนี้ของตนเอง
นางเอามือข้างหนึ่งปิดกระดาษไว้ไม่ให้โม่เสวี่ยถงแอบมอง อีกมือหนึ่งก็พับกระดาษแล้วส่งให้นางกำนัลที่เฝ้าอยู่ด้านข้าง หลังจากนั้นก็ไปล้างมือให้สะอาด ยามนี้คุณหนูส่วนใหญ่ต่างก็เขียนเสร็จกันแล้ว โม่เสวี่ยถงก็เดินไปล้างมือเช่นกัน แล้วกลับมานั่งที่