เสิ่นเหิงเผยสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา การโจมตีเมื่อครู่นี้ของเย่เฟิงร้ายกาจอย่างมาก แม้กระทั่งทักษะผสานโจมตีของเขาและผู้เฒ่าหนานกงก็ยังไม่ได้สำแดงพลังที่แท้จริงออกมา เขาก็ถูกเย่เฟิงซัดจนกระอักเืและสูญเสียพลังต่อสู้แล้ว ซึ่งเสิ่นเฟิงใช้ชีวิตอยู่มานาน แต่เขายังไม่เคยพบเจอชายหนุ่มอายุไม่ถึง 17 ปีที่มีพลังต่อสู้อันแกร่งกล้าเช่นนี้
นาทีนี้ผู้คนต่างจับจ้องไปที่เย่เฟิงเป็ตาเดียวกัน ชายหนุ่มผู้เคยถูกตระกูลหนานกงทอดทิ้งไม่สนใจไยดี บัดนี้กลับกลายเป็ผู้แข็งแกร่งเหนือใคร เขาเอาชนะได้แม้กระทั่งเสิ่นเหิงและผู้เฒ่าหนานกง
บนอัฒจันทร์ หลังจากหนานกงเฉินได้ยินคำพูดของผู้เฒ่าหนานกงก็เผยหน้าเขียว เขาคือผู้นำตระกูล มีฐานะสูงส่ง แต่บัดนี้กลับต้องเผชิญกับการลงโทษของชายหนุ่มที่ในอดีตไม่ต่างจากมดแมลงเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าหนานกงเฉินไม่ยินดีที่ตัวเองต้องมีจุดจบเช่นนี้
“เย่เฟิง เ้าอภัยให้ท่านพ่อข้าจะได้หรือไม่? เห็นแก่เ้ากับข้าที่โตมาด้วยกันั้แ่เด็ก”
ขณะเดียวกันมีเสียงหนึ่งดังมาจากบนอัฒจันทร์ ผู้พูดก็คือหนานกงหลิงซวง นางรู้สถานการณ์ดี แม้ท่านปู่ของนางร่วมมือกับผู้าุโมากฝีมือ แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เฟิง ใครเล่าจะหยุดยั้งเย่เฟิงได้อีก? ซึ่งนางไม่ยินดีที่จะเห็นบิดาตนถูกลงโทษ จึงเอ่ยปากขอร้องเย่เฟิงไปเช่นนั้น
“โตมาด้วยกันั้แ่เด็กงั้นหรือ?” เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็แสยะยิ้มดูถูก เขาเหลือบมองไปที่หนานกงหลิงซวงราวกับมองคนแปลกหน้าก็ไม่ปาน นี่ทำให้หนานกงหลิงซวงอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้ คล้ายรับรู้ได้ถึงความเย็นเยือกในสายตาคู่นั้นของเย่เฟิง
“หากตอนนั้นเ้าคิดได้เช่นนี้ เ้าคงไม่ทรยศข้า สำหรับตระกูลหนานกงเ้าไม่มีความหมายอะไรต่อข้า ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่ออยากรู้ข่าวคราวของหนานกงอวี่บุตรของอาสาม แต่เขาหนานกงเฉินในฐานะผู้นำตระกูลหนานกงกลับยังคงพยายามใช้อำนาจของตระกูลมากำจัดข้า คนชั่วช้าเช่นนี้ เ้าคิดว่าข้าจะยกโทษให้เขาเพียงเพราะคำพูดของเ้างั้นหรือ?” เย่เฟิงกล่าวกับหนานกงหลิงซวงด้วยเสียงเย็นเยือก พร้อมกับเอาสองมือไพล่หลัง โดยที่ยืนอยู่ใจกลางลานประลองของตระกูลหนานกงและท่ามกลางสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน เขาใช้พลังของตนเอาชนะผู้เฒ่าหนานกง กระทั่งชะตากรรมของหนานกงเฉินก็มาอยู่ในกำมือของเขา
นี่คืออภิสิทธิ์ที่ได้มาด้วยความแข็งแกร่งของตนเอง บนโลกใบนี้เมื่อใดที่เ้าแข็งแกร่ง เมื่อนั้นเ้าก็ยิ่งได้เพลิดเพลินไปกับการปฏิบัติที่ผู้อื่นมิอาจทำได้
หนานกงหลิงซวงได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าผิดหวัง นางรู้ว่านางไม่มีสิทธิ์อาศัยเื่ราวในอดีตมาร้องขอให้เย่เฟิงทำอะไรเพื่อนางได้
“หนานกงเฉิน เห็นแก่ที่เ้าเป็พี่ชายของอาสาม วันนี้ข้าจะไม่ฆ่าเ้า แต่เ้าต้องตัดแขนตัวเองซะ!” เย่เฟิงกล่าวขณะมองไปที่หนานกงเฉิน แม้น้ำเสียงของเขาดูเฉยเมย แต่เมื่อดังเข้าไปในหูของหนานกงเฉินกลับเย็นเยือก ทำให้หนานกงเฉินรู้สึกเหมือนอยู่ในถ้ำน้ำแข็งก็ไม่ปาน แต่ดวงตาของเขากลับเผยประกายความดุดันออกมา
“ฮ่า ๆ ๆ!!!” ครู่ต่อมาหนานกงเฉินะเิหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พร้อมเผยรอยยิ้มอย่างกำเริบเสิบสาน แต่นาทีต่อมามีแสงสว่างจ้าที่เบื้องหน้าของหนานกงเฉิน พร้อมกับมีเืพุ่งกระฉูดออกจากหัวไหล่ข้างหนึ่งของหนานกงเฉิน จากนั้นแขนข้างนั้นก็ตกลงสู่พื้น ทำหนานกงเฉินหน้าขาวซีด เขากัดฟันกรอดและมีเหงื่อไหลออกจากหน้าผากเม็ดใหญ่
ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็ใจเต้นระส่ำ ไม่คาดคิดว่าผู้นำตระกูลของพวกเขาจะถูกบีบให้ตัดแขน สำหรับพวกเขาแล้วช่างเป็เื่ที่น่าใเป็อย่างมากจนมิอาจหาคำใด ๆ มาอธิบายได้
หนานกงหลิงซวงรีบไปประคองร่างหนานกงเฉินอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินลงไปด้านล่างอัฒจันทร์
ขณะที่ผู้เฒ่าหนานกงมองหนานกงเฉินถูกตัดแขนก็อดถอนใจยาวและเ็ปใจไม่ได้ แต่เพื่อปกป้องตระกูลหนานกงแล้ว เขาทำได้เพียงเท่านี้
ผู้คนของตระกูลหนานกงต่างตัวแข็งทื่อ ทั้งยังมองเย่เฟิงด้วยสายตาหวาดผวา หนานกงเจียวยังตัวสั่นระริก สีหน้าก็ซีดเผือด เย่เฟิงทำลายตบะของสามีนาง ซ้ำยังตัดแขนบุตรชายของนางอีก นี่ทำให้ความแค้นที่นางมีต่อเย่เฟิงเพิ่มพูนจนมิอาจจินตนาการได้ ทว่าหลังจากที่นางเห็นเย่เฟิงใช้พลังของตนเอาชนะบิดานางรวมถึงสหายของเขา และบีบให้หนานกงเฉินพี่ชายของนางตัดแขน ทำให้หนานกงเจียวรู้สึกกลัวขึ้นมาจริง ๆ
นางไม่รู้ว่าเย่เฟิงจะหันมีดเล่มนั้นเข้าหานางหรือไม่ ใบหน้าอันหยิ่งผยองของหนานกงเจียวล้วนมลายสิ้น แทนที่ด้วยความหวาดกลัวและตื่นใ นางรู้ว่าตระกูลของนางต่ำต้อยเพียงใดเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เฟิง เย่เฟิงสามารถบดขยี้พวกเขาให้ตายได้ง่าย ๆ ประหนึ่งมดแมลงตัวหนึ่ง
“เ้าเมืองคนใหม่มาถึงเมืองโยวโจวแล้ว!” ขณะนั้นทหารยามของตระกูลหนานกงวิ่งเข้ามาในลานประลองพร้อมกับรายงานเช่นนั้น
เมื่อผู้คนในที่แห่งนั้นได้ยินรายงานของทหารยามคนนั้นก็นิ่งงันไป ก่อนหน้านี้มีพวกเขาหลายคนเคยได้ยินเื่ราวที่เกิดขึ้นในภัตตาคารหลงเถิง จึงอดใไม่ได้ พวกเขาอยากรู้ว่าคนที่ทำให้ผู้ว่าการไท่ฉื่อผู้ซึ่งดูแลไท่โยวเก้าเขตต้องเคารพนอบน้อม และกำจัดอดีตเ้าเมืองหยางฉวนเป็ใครกันแน่
เมื่อหยางฉวนถูกถอนออกจากตำแหน่งเ้าเมืองก็ได้มีเ้าเมืองคนใหม่เข้ารับตำแหน่งในทันที แต่ผู้คนของตระกูลหนานกงในที่แห่งนั้นต่างไม่คิดว่าเ้าเมืองคนใหม่จะมาเยือนตระกูลหนานกงเร็วเช่นนี้
“หรือผู้ฝึกยุทธ์จวนเ้าเมืองจะรู้เื่ที่เย่เฟิงมาก่อกวนตระกูลหนานกง จึงส่งผู้ฝึกยุทธ์มากำราบเย่เฟิง?” คนผู้หนึ่งคิดในใจ นอกจากเหตุผลนี้แล้ว พวกเขาก็คิดไม่ออกแล้วว่าผู้ฝึกยุทธ์จวนเ้าเมืองมาทำอะไรที่นี่
ตอนนั้นเองมีกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์เข้ามาในลานประลองและมุ่งหน้ามายังที่ที่เย่เฟิงและคนอื่นอยู่ ซึ่งดูจากเครื่องแต่งกายของผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้ ผู้คนก็แน่ใจว่าเป็ผู้ฝึกยุทธ์ของจวนเ้าเมือง
หัวหน้าที่นำขบวนสวมใส่ชุดเ้าเมือง ใบหน้าฉายแววดุดัน ร่างสูงใหญ่กำยำ และดูน่าเกรงขาม คนผู้นี้ก็คือเ้าเมืองโยวโจวคนใหม่ที่ผู้ว่าการไท่ฉื่อเพิ่งมอบตำแหน่งให้ เขามีนามว่าไท่ฉื่อเจิ้ง
ไท่ฉื่อเจิ้งเป็ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งในตระกูลของผู้ว่าการไท่ฉื่อ คนผู้นี้อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็ขุนพลที่อยู่ภายใต้อาณัติของผู้ว่าการไท่ฉื่อ จึงมีประสบการณ์ในการนำกองทัพ
อย่างไรก็ตามลูกน้องที่ติดตามไท่ฉื่อเจิ้งล้วนมีลมปราณอันแกร่งกล้า ความเกรงขามแผ่กระจายไปทั่วห้วงอากาศ นั่นคือสัญลักษณ์ความเกรียงไกรของทหาร
“คารวะท่านเ้าเมือง!”
ผู้คนตระกูลหนานกงที่อยู่ในที่แห่งนั้นเห็นไท่ฉื่อเจิ้งมาเยือนที่แห่งนี้ต่างก็โค้งคำนับทำความเคารพนอกจากผู้เฒ่าหนานกง
ไท่ฉื่อเจิ้งโบกมือ จากนั้นพยักหน้าพลางยิ้มให้ผู้เฒ่าหนานกง ซึ่งเป็การทักทายกันและกัน
“เย่เฟิงผู้นี้เหิมเกริมยิ่งนัก เห็นท่านเ้าเมืองมาก็ยังไม่ทำความเคารพอีก โอหังเกินไปแล้ว!” ผู้คนคิดในใจเช่นนี้เมื่อเห็นเย่เฟิงยังคงนิ่งเฉยไม่ทำความเคารพไท่ฉื่อเจิ้ง พวกเขาคิดว่าเย่เฟิงต้องชดใช้ให้กับการกระทำของเขา ทว่าเมื่อไท่ฉื่อเจิ้งหันไปมองเย่เฟิง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปดูเคารพนอบน้อมในทันที จากนั้นไท่ฉื่อเจิ้งและลูกน้องที่ติดตามเขามาหันหน้าไปทางเย่เฟิง ก่อนจะโค้งคำนับเย่เฟิงและจ้าวซินอี๋ที่อยู่ด้านหลังเย่เฟิง “ข้าน้อยไท่ฉื่อเจิ้งขอคารวะคังผิงโหว คารวะองค์หญิง!”
เสียงของไท่ฉื่อเจิ้งดังกังวานไปทั่วลานประลอง ทำให้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน
“อะไรนะ? ข้าไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม? เหตุใดท่านเ้าเมืองถึงทำความเคารพเย่เฟิงผู้นั้น? ทั้งยังเรียกเย่เฟิงว่าคังผิงโหวอีกด้วย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไหนจะหญิงสาวที่มากับเย่เฟิงก็เป็องค์หญิงงั้นหรือ?” ผู้คนเห็นไท่ฉื่อเจิ้งทำความเคารพเย่เฟิง และจ้าวซินอี๋ต่างก็ตื่นใจนตัวแข็งทื่อ
“คังผิงโหว ไม่นึกว่าเย่เฟิงก็คือคังผิงโหวที่องค์าาแต่งตั้งเมื่อหลายวันก่อน หากเป็เช่นนั้นท่านเ้าเมืองทำความเคารพเย่เฟิงก็ไม่ใช่เื่แปลกอะไร!” คนผู้หนึ่งกล่าวขึ้น ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยได้ยินข่าวการแต่งตั้งคังผิงโหวขององค์าา เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้ที่ถูกแต่งตั้งเป็ผู้ใด
“ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ที่ภัตตาคารหลงเถิง ผู้ที่ทำให้ผู้ว่าการไท่ฉื่อยอมก้มหัวให้จะเป็เย่เฟิง!” อีกคนกล่าวเสริม สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเป็สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดคาดฝันมาก่อน
“อืม!” เย่เฟิงพยักหน้าให้ไท่ฉื่อเจิ้ง
ท่าทีของไท่ฉื่อเจิ้งดูนอบน้อมอย่างมาก จากนั้นเขาพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยมาทำตามคำบัญชาของผู้ว่าการไท่ฉื่อ รุดมาที่เมืองโยวโจวเพื่อเข้ารับตำแหน่งเ้าเมืองคนต่อไป ก่อนเดินทางผู้ว่าการไท่ฉื่อคอยกำชับอยู่เสมอว่าต้องดูแลท่านโหวและองค์หญิงให้ดี ๆ พอข้าน้อยมาถึงเมืองโยวโจวก็ได้ยินว่าท่านโหวและองค์หญิงอยู่ที่ตระกูลหนานกง จึงรีบมาที่นี่ในทันที ข้าหวังว่าท่านโหวจะให้อภัยในความไม่รอบคอบของข้าน้อย”
ไท่ฉื่อเจิ้งพูดจาอย่างเคารพนอบน้อม ทำให้ผู้คนของตระกูลหนานกงต่างประหลาดใจ แม้กระทั่งผู้เฒ่าหนานกง หนานกงเฉิน ปู่ใหญ่หนานกง หนานกงหลิงซวง หนานกงิ หนานกงเจียว รวมถึงพ่อลูกตระกูลเซียว พวกเขาต่างก็ตัวแข็งทื่อเป็หิน ทั้งยังไม่อยากเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็ความจริง
ชายหนุ่มผู้เคยเป็สวะไร้ค่า บัดนี้ไม่เพียงแต่มีพลังอันน่าทึ่ง แต่ยังถูกองค์าาแต่งตั้งเป็คังผิงโหวและมอบศักดินาที่ดินไท่โยวเก้าเขต ส่วนสตรีที่อยู่ข้างกายเขาก็ยังเป็ถึงองค์หญิงจ้าวซินอี๋แห่งอาณาจักรจ้าวและหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแดนชิงอวิ๋น ทั้งหมดนี้เป็เื่ที่น่าใสำหรับคนตระกูลหนานกงจนมิอาจใช้คำพูดทั่วไปมาอธิบายได้
“ไม่เป็ไร!” เย่เฟิงโบกมือให้ไท่ฉื่อเจิ้ง โดยที่ไม่สนใจสายตาของเหล่าผู้คน จากนั้นกล่าวว่า “เพิ่งมารับตำแหน่ง ยังมีงานที่ต้องทำ เ้าเมืองไท่ฉื่อไปทำธุระเถิด ข้ากับองค์หญิงยังมีธุระที่ต้องสะสางที่นี่”
ไท่ฉื่อเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็โค้งคำนับทันทีพร้อมกล่าวว่า “ข้าน้อยน้อมรับคำบัญชา ท่านโหวและองค์หญิงดูแลตัวเองด้วยขอรับ!”
เมื่อกล่าวจบ ไท่ฉื่อเจิ้งโบกมือส่งสัญญาณให้ลูกน้อง จากนั้นออกไปจากลานประลองของตระกูลหนานกง
“ผู้าุโ ตอนนี้หนานกงอวี่อยู่ที่ใด?” เย่เฟิงเอ่ยถามผู้เฒ่าหนานกงทันทีที่พวกไท่ฉื่อเจิ้งออกไป
“สหายน้อยเย่รอสักประเดี๋ยว”
ผู้เฒ่าหนานกงได้ยินเช่นนั้นก็ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย ชายหนุ่มที่เขาเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้คือจูโหว ผู้ซึ่งสามารถทำลายตระกูลหนานกงเขาได้ด้วยประโยคเดียว
เมื่อฉุกคิดได้เช่นนี้ ผู้เฒ่าหนานกงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโชคดีกับการตัดสินใจของเขาที่ไม่ไปล่วงเกินเย่เฟิงเมื่อครู่นี้ จากนั้นผู้เฒ่าหนานกงหันไปมองปู่ใหญ่หนานกงที่อยู่ไม่ไกลก่อนถามว่า “ตอนนี้อวี่เอ๋อร์อยู่ที่ใด?”
ปู่ใหญ่หนานกงได้ยินคำถามของผู้เฒ่าหนานกงก็เผยสีหน้าลุกลี้ลุกลน ถึงอย่างไรการที่หนานกงอวี่ถูกขังอยู่ในคุกก็หนีไม่พ้นเขา
“ตอนนี้อวี่เอ๋อร์ถูกขังอยู่ในคุกใหญ่ของตระกูลหนานกง” ปู่ใหญ่หนานกงกล่าวยอมรับแต่โดยดี โดยที่ไม่กล้าโกหกอีกต่อไป
“อะไรนะ?”
ผู้เฒ่าหนานกงได้ยินคำตอบก็เผยสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมาทันที เขาออกท่องทัศนาจรทั่วหล้าและเพิ่งกลับถึงบ้าน จึงไม่รู้เื่ที่หนานกงอวี่ถูกขังอยู่ในคุก
“เหตุใดเ้าต้องขังอวี่เอ๋อร์ไว้ที่คุกใหญ่? จิตใจเ้าทำด้วยอะไรกันแน่?”
ดวงตาของผู้เฒ่าหนานกงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเย็นะเื ทั้งยังเอ่ยถามปู่ใหญ่หนานกงด้วยน้ำเสียงเ็า สำหรับหลานชายอย่างหนานกงอวี่แล้ว ผู้เฒ่าหนานกงยังมีหนี้มากมายที่ติดค้างอยู่ เขารู้ว่าหนานกงอวี่เป็เด็กดีรู้ว่าอะไรควรไม่ควร จึงเป็ไปไม่ได้ที่จะทำความร้ายแรงเช่นนี้ จักต้องเป็ปู่ใหญ่หนานกงที่ทำเพื่อหนานกงิบุตรของตนให้มีฐานะในตระกูลสูงขึ้น จึงจงใจทำเช่นนี้กับหนานกงอวี่
“ลูกเนรคุณ ยังไม่รีบส่งคนไปนำตัวอวี่เอ๋อร์มาอีก!” ผู้เฒ่าหนานกงกล่าวด้วยโทสะ พร้อมร่างสั่นระริกเล็กน้อย
“ขอรับ ท่านพ่อ!”
มีหรือปู่ใหญ่หนานกงจะกล้าขัดคำสั่ง? เขาจึงตอบรับในทันทีด้วยสีหน้าลุกลี้ลุกลน ก่อนจะรีบออกจากลานประลอง ซึ่งน่าจะไปปล่อยตัวหนานกงอวี่
ผู้คนในที่แห่งนั้นต่างดวงตาสั่นไหวเล็กน้อยขณะมองเย่เฟิง ทั้งยังรู้สึกใเป็อย่างมาก ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ว่า การที่พวกเขาตระกูลหนานกงทอดทิ้งเย่เฟิงในตอนนั้นเป็การตัดสินใจที่โง่เขลามากเพียงใด
ชายหนุ่มผู้เคยถูกตระกูลหนานกงทอดทิ้ง บัดนี้กลับกลายเป็ผู้ที่สามารถลบตระกูลหนานกงออกไปจากเมืองโยวโจวได้ด้วยประโยคเดียว
คังผิงโหวหรือจูโหว ผู้ครองศักดินาที่ดินไท่โยวเก้าเขต แม้แต่ผู้ว่าการไท่ฉื่อแห่งไท่โยวเก้าเขตก็ยังต้องเคารพนอบน้อม
ผ่านไปสักพัก คลื่นลมในลานประลองของตระกูลหนานกงเริ่มสงบลง ผู้คนต่างแยกย้ายกันไป
ขณะนั้นในเรือนพักแห่งหนึ่งที่ตระกูลหนานกงจัดเตรียมเป็พิเศษ ซึ่งเย่เฟิงได้พบกับหนานกงอวี่เป็ที่เรียบร้อยแล้ว แต่หนานกงอวี่ดูแก่ชรามากกว่าตอนที่เย่เฟิงพบเจอเมื่อในอดีต เพียงแต่การติดอยู่ในคุกหลายวันทำให้หนานกงอวี่ผอมแห้งลงมาก
เมื่อหนานกงอวี่มองมาที่เย่เฟิง ใบหน้านั้นก็เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มสุกสกาวสดใส
