หวังซื่อกับเจินจูพากันออกจากห้องครัวแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า
“หิมะตกจริงด้วย มิน่าถึงหนาวเช่นนี้ มือข้าหนาวเกือบจะแข็งแล้ว” เจินจูถูมือสองข้างที่แดงไปหมด เดิมทีปั้นลูกชิ้นยังไม่รู้สึกว่าหนาว พอหยุดลง มือทั้งคู่กลับรู้สึกถึงความหนาวเหน็บ
“เจินจู เ้าไปผิงไฟที่ปากเตาหน่อย อากาศหนาวเช่นนี้ระวังเกิดแผลเปื่อยเพราะความเย็น” หวังซื่อดึงมือเจินจูเข้ามาด้วยความรักและสงสาร แล้วห่อหุ้มมือนางไว้
“อื้ม ทราบแล้ว ผิงอัน ไปหากระถางไฟออกมา คืนนี้ต้องวางกระถางไฟไว้ในกระท่อมกระต่าย ลูกกระต่ายคงจะหนาวแล้ว” ในใจเจินจูเป็ห่วงกระต่าย ความสามารถในการรับมือกับความเย็นของลูกกระต่ายไม่ดีนัก ใส่กระถางไฟเพิ่มอุณหภูมิจะได้ไม่หนาวจนป่วยได้
“อื้ม ข้าไปเดี๋ยวนี้” ผิงอันรีบวิ่งเข้าไปหากระถางไฟในห้อง
“ที่บ้านมีกระถางไฟกระถางเดียวหรือ?” หวังซื่อถามขึ้นมาทันที
“น่าจะใช่” เจินจูไม่แน่ใจนัก
“เช่นนั้นรอเดี๋ยวข้าจะให้ผิงซุ่นหยิบมาหนึ่งกระถาง ในห้องเด็กชายคนนั้นก็ต้องใส่ไว้กระถางหนึ่ง อากาศหนาวเช่นนี้อย่าให้อาการาเ็ที่ยังไม่ทันรักษาหายก็หนาวจนป่วยได้เลย” หวังซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย มองห้องดินที่ทำขึ้นลวกๆ ห้องนั้นอย่างเป็กังวล
“อื้ม ได้ ทราบแล้ว” เดิมทีห้องเล็กเดิมของนางก็มืดครึ้มและหนาวเย็นจริงๆ บนกำแพงยังมีรอยแตกไม่น้อยอยู่สองสามรอย เอ่อ... ต้องบอกให้ท่านพ่อของนางปิดรอยแตกเสียหน่อย
กำลังนึกถึงท่านพ่อของนาง หูฉางกุ้ยก็แบกจอบและเสียมเดินเผชิญกับหิมะน้อยๆ เข้ามาแต่ไกล
“ท่านพ่อ!” เจินจูโบกมือทักทาย
“เอ๊ะ นี่ก็หิมะตกแล้ว พ่อเ้าเพิ่งจะกลับมา ดื้อดึงจริงๆ หนาวเช่นนี้ ยังไม่รู้จักกลับมาให้เร็วหน่อย” หวังซื่อตำหนิด้วยความรักและสงสาร
“ท่านพ่อ เหตุใดกลับเย็นย่ำเช่นนี้ ทำเสร็จหมดแล้วหรือ?” เจินจูหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปัดเกล็ดหิมะบนบ่าให้หูฉางกุ้ย บนรองเท้าและขากางเกงของหูฉางกุ้ยมีโคลนเล็กน้อย คิดว่าเป็เพราะไปทำงานที่ต้องใช้แรงมา
“อื้ม เสร็จแล้ว มีท่อนไม้ที่ผึ่งแห้งแล้ว เผาใช้ได้เลย ตอนนี้กำลังอบอยู่ พรุ่งนี้เช้าค่อยขุดออกมา” หูฉางกุ้ยอธิบายมากมายเช่นนี้หาได้ยากนัก
“ไม่รีบ ท่านพ่อ ถ่านควันหน่อยก็ไม่เป็ไร อย่างไรเสียในกระท่อมก็ต้องเปิดช่องระบายอากาศ” การเผาถ่านไร้ควันมีเงื่อนไขสูง เตาเผาดินที่ท่านพ่อทำขึ้นเองอาจจะเผาได้ลำบาก เผาถ่านผิงไฟต้องระวังสารพิษที่อยู่ในควัน จึงต้องเปิดประตูหน้าต่างออกเป็ซอกเล็กๆ เพื่อให้แน่ใจว่าอากาศจะถ่ายเทได้
“พ่อรู้แล้ว” หูฉางกุ้ยเพียงพยักหน้าไม่ได้กล่าวขึ้นอีก
“ท่านพ่อ ท่านมาชิมลูกชิ้นที่ทำใหม่สิ” เจินจูดึงหูฉางกุ้ยเข้ามา ลูกชิ้นเผือกทำใหม่กำลังอยู่ในหม้อหม่าล่าที่ร้อนกำลังดี ใช้ตะเกียบคีบลูกชิ้นชนิดต่างกันสองสามลูกให้เขาลิ้มลอง
หูฉางกุ้ยมองลูกชิ้นกลมดิกอยู่ไม่กี่ที ก็ทานชิ้นละคำเคี้ยวอย่างละเอียด
“เป็เช่นไร? อร่อยหรือไม่?” ทั่วทั้งใบหน้าเจินจูเต็มไปด้วยความหวัง
“อร่อย” หูฉางกุ้ยให้คำประเมินตรงไปตรงมา อร่อยมากจริงๆ ลูกชิ้นเผือกทำออกมานุ่มนิ่มเหนียวหอมนัก รสชาติเอร็ดอร่อยมาก
เจินจูยกมุมปากยิ้ม ตนเองก็คีบลูกชิ้นห่อไส้ขึ้นมาชิม อื้ม ไม่เลวจริงๆ ยังอร่อยมากกว่าลูกชิ้นที่นางเคยทานเมื่อก่อนเล็กน้อย นี่สิจึงจะเป็ลูกชิ้นทำมือไร้สารปนเปื้อนบริสุทธิ์ธรรมชาติที่แท้จริง
อาหารเย็นเป็ลูกชิ้นมื้อใหญ่ ลูกชิ้นหม่าล่าหนึ่งถาด ลูกชิ้นแกงจืดเห็ดหนึ่งถ้วย แล้วยังผัดผักกวางตุ้งอีกถาด เพียงเท่านี้อาหารเย็นก็นับว่าเสร็จแล้ว
หวังซื่อหิ้วลูกชิ้นกลับไปที่บ้านเก่าหนหนึ่ง แล้วหิ้วกระถางไฟเดินกลับมาอีกรอบหนึ่ง เจินจูรั้งให้นางทานอาหารเย็น หวังซื่อก็ไม่บ่ายเบี่ยง นางยังมีคำพูดบางอย่าง้าจะกล่าวกับเจินจู
ครอบครัวที่ยุ่งมาทั้งวันนั่งลงทานข้าวด้วยกัน เป็เื่ที่มีความสุขนัก ผิงอันดีใจมาก ลูกชิ้นทุกชนิดเขาล้วนชอบเหลือเกิน คำละลูกกลมๆ นุ่มๆ ทานจนเขาเอาแต่ฉีกยิ้ม ะโออกมาตลอดว่า “อร่อย อร่อย”
หลี่ซื่อรู้สึกแปลกใหม่กับลูกชิ้นมาก คีบขึ้นหนึ่งเม็ดมองขึ้นลงพิจารณาหนึ่งรอบจึงใส่เข้าปาก หลังเคี้ยวไปพักหนึ่งจึงพยักหน้าด้วยสีหน้าแปลกใจ ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นตั้งตรงชมว่าอร่อย
ลูกชิ้นมื้อใหญ่ได้รับคำชมมากมาย หวังซื่อกับเจินจูค่อนข้างดีใจอย่างมาก ค้นคว้าอยู่หนึ่งวันนับว่างานยุ่งไม่เสียเปล่า
หลังอาหารเย็นผ่านไป หวังซื่อจูงเจินจูนั่งลงบนเตียง ถามเสียงเบา “เจินจู เ้าดู วันนี้ทำลูกชิ้นหลากหลายเช่นนี้ ช่วนช่วนเซียงที่เ้าว่าสำเร็จแล้วหรือไม่?”
เจินจูรู้ว่าในใจหวังซื่อกระวนกระวาย เดิมทีทางบ้านก็ไม่ได้ร่ำรวย ขณะนี้มีคนป่วยที่ได้รับาเ็หนักอีกหนึ่งคน ทุกที่ล้วน้าเงิน ใจของนางวิตกกังวลเพียงใดแค่คิดก็จินตนาการได้แล้ว
เจินจูคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยังรู้สึกว่าโอกาสขายช่วนช่วนเซียงไม่ค่อยดีนัก บ้านของพวกนางห่างจากในเมืองค่อนข้างไกล อากาศหนาวเย็น อีกทั้งยังหาชนิดของช่วนช่วนเซียงได้ไม่มาก แถมอาหารชนิดนี้ยังต้องใช้ถ่านจุดไฟเพิ่มความร้อนตลอดเวลา พวกเขาวิ่งเต้นยุ่งอยู่กับงานหนึ่งวันเช่นนี้ยังไม่แน่ว่าจะหาเงินได้สักเท่าไรเลย
“ท่านย่า ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อน การค้าขายนี้ไม่ใช่วันสองวันก็สามารถทำได้สำเร็จ” เจินจูปลอบโยนด้วยความนุ่มนวล คิดถึงตอนที่ทำลูกชิ้นตอนบ่าย ความคิดก็ประกายเข้ามา จึงเปิดปากถาม “ท่านย่า ท่านรู้ไหมว่าละแวกเรามีคนทำลูกชิ้นขายหรือไม่?”
“อืม... น่าจะไม่มี เคยเห็นคนอื่นทอดลูกชิ้นเนื้อหมู แต่ของเช่นนั้นสิ้นเปลืองน้ำมันและหมูนัก ครอบครัวธรรมดาต้องรอวันฉลองปีใหม่ถึงจะทอดได้เล็กน้อย ลูกชิ้นเนื้อปลาของพวกเรานี้ไม่เหมือนกัน เมืองใกล้ๆ ไม่กี่เมืองล้วนไม่มีอาหารที่ทำเช่นนี้” หวังซื่อเอ่ยด้วยความมั่นใจ แต่ก่อนนางเคยไปสองสามเมืองใกล้ๆ ไม่เคยพบอาหารเช่นลูกชิ้นปลานี้เลย
“โอ้ โรงเตี๊ยมใหญ่ๆ พวกนั้นมีรูปแบบอาหารเช่นนี้หรือไม่?” ถามให้แน่ชัดแล้วจึงจะตัดสินใจทำออกมาได้
“นี่... น่าจะไม่มีกระมัง ท่านปู่เ้าส่งสัตว์ที่ถูกล่าให้โรงเตี๊ยมมาหลายปีเช่นนั้น ก็ไม่ได้ยินอาหารจำพวกนี้มาก่อน” หวังซื่อลังเลใจเล็กน้อย ร้านอาหารโรงเตี๊ยมค่าใช้จ่ายสูง นางไม่เคยไปทานอาหารมาก่อน จึงไม่กล้ายืนยันนัก
“อื้ม ทราบแล้ว ท่านย่า พวกเรายังไม่ต้องรีบก่อน จัดการสถานการณ์ให้ชัดเจนแล้วค่อยตัดสินใจทำ” เจินจูยิ้มตื้น “อากาศหนาวนัก การซื้อขายนี้ก็ไม่ค่อยน่าทำเท่าไร หากท่านรีบใช้เงินจริงๆ สามารถเอาเห็ดแห้งไปขายก่อนได้ หิมะตกแล้ว เห็ดน่าจะขายได้ราคาดี”
“มิใช่ ย่ามิได้รีบใช้เงิน” หวังซื่อลำบากใจ นางรีบด่วนเกินไปนัก
หน้าหนาวของหมู่บ้านวั้งหลินทั้งหนาวทั้งยาวนาน ั้แ่หิมะตกจนถึงปีถัดไปสองสามเดือนจึงจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ คนส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในบ้านหลบฤดูหนาว เวลานี้เดิมทีก็ไม่ใช่โอกาสดีที่จะทำการค้า “ย่าแค่รู้สึกว่าใช้จ่ายเงินไปมากนัก อยากหามันกลับมา ไอ๊หยา มีความหมกมุ่นไปหน่อย ฤดูหนาวใหญ่นี้ยังทรมานเจินจูของพวกเราอีก ยิ่งแก่ยิ่งชีวิตถอยกลับจริงๆ เป็ข้าที่ผิดไปแล้ว”
หวังซื่อยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ เงินนี่มาเร็วเกินไป แล้วก็จ่ายเร็วเกินไปนัก ทำให้นางร้อนใจไปชั่วขณะ ใจจดใจจ่อคิดแต่้าจะหาเงินกลับมา อีกทั้งไม่คิดสักหน่อยว่าเทียบกับปีที่แล้วๆ มา สภาพการเงินปีนี้ยังเก็บเงินไว้ได้มากกว่าเล็กน้อย เมื่อก่อนที่บ้านก็มีเพียงปีก่อนหน้า ที่ขายหมูจนสามารถเก็บสะสมเงินไว้ได้บ้าง ไม่เช่นนั้นจากต้นปีถึงท้ายปีต้องอาศัยผลิตผลที่ปลูกอยู่ไม่กี่หมู่นั่น ทั้งที่ั้แ่ไหนแต่ไรมาค่าใช้จ่ายในบ้านก็ไม่พออยู่แล้ว
“ท่านย่า เงินนี่ต้องหาได้อย่างแน่นอน แต่ใจร้อนทานเต้าหู้ร้อนมิได้ [1] ใช่ไหมเล่า ต้องค่อยๆ ปรึกษากันให้ดีก่อน พวกเราค่อยๆ ทำ” เจินจูยังคงแสดงออกอย่างลมเบาเมฆจาง วันนี้ทำเื่ต่างๆ ไปมาอยู่พักหนึ่ง นางกลับมีความคิดใหม่นิดหน่อย ให้นางจัดการให้เรียบร้อยก่อนค่อยว่ากัน
“ได้ ย่ารู้แล้ว พวกเราไม่รีบ เห็ดเ่าั้รอถึงเดือนสิบสอง [2] ค่อยขาย ราคาน่าจะยิ่งสูงขึ้นหน่อย เอาวางไว้ก่อน” หวังซื่ออุปนิสัยตรงไปตรงมา ปล่อยวางเื่ลงได้ ก็ไม่ขัดแย้งในใจอีก “เช่นนั้นย่ากลับก่อนนะ ที่บ้านมีงานยังไม่ทำอีกกองหนึ่ง ต้องให้ชุ่ยจูช่วยงาน ปานนี้ยุ่งแย่แล้ว ผ้าที่ซื้อใหม่ก็ต้องตัดให้เรียบร้อยอีก เฮ้อ... ธุระล้วนมารวมอยู่ด้วยกัน” กล่าวจบ ก็ลงจากเตียงแล้วเดินไปข้างนอก
“เจินจู เด็กผู้ชายคนนั้นก็รบกวนพวกเ้ามากหน่อยแล้ว” หวังซื่อหันกลับมากล่าวหนึ่งเสียง
“ทราบแล้ว ท่านย่า”
โบกมือลาหวังซื่อไป เจินจูจึงถือกระถางไฟเขาไปภายในห้องหลัวจิ่ง เห็นเพียงดวงตาของเด็กชายดำขลับหันมองมาทางนาง “หิมะตกแล้ว ห้องนี้ไม่มีเตียงอิฐ ตอนค่ำจะหนาวได้ ข้าจุดกระถางไฟให้เ้า แล้ววางไว้ข้างเตียงนะ”
“… ขอบคุณ!” เสียงของเด็กชายมีความมืดหม่นเล็กน้อยพ่นออกมาสองคำ
เจินจูเคลื่อนสายตาขึ้นมอง เ้าเด็กนี่ยังเอ่ยขอบคุณได้ ไม่ได้แสร้งเต๊ะท่าแล้วเปลี่ยนเป็เมินเฉย ไม่เลว ยังพอมียาช่วย มุมปากนางโค้งขึ้นฉาบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องขอบคุณ เ้าตั้งใจรักษาาแให้หาย ไม่ต้องคิดมาก ความแข็งแรงสิถึงจะเป็ต้นทุนที่ใหญ่ที่สุดของคน”
“…”
มองดูอยู่แวบหนึ่งเด็กชายก็กลายเป็เลื่อยปากน้ำเต้า [3] อีกครั้ง เจินจูไม่ได้เก็บมาใส่ใจนัก ออกจากประตูห้องไป ไม่นานก็ยกถ้วยเดินเข้ามาอีกครั้ง อาหารเย็นหลี่ซื่อป้อนโจ๊กเนื้อให้เขาไปแล้ว ถ้วยนี้เป็น้ำแกงลูกชิ้น เจินจูมองไปที่ยู่เซิงผู้นี้น่าจะมีความรู้มากกว่าคนในหมู่บ้าน “นี่เป็ลูกชิ้นของที่บ้านทำขึ้นมาใหม่ เ้าทานเสริมบำรุงร่างกายมากหน่อย ชิมดู รสชาติดีอยู่นะ”
เอาหมอนยกสูงขึ้น ตักลูกชิ้นเผือกยัดไส้หนึ่งลูกยื่นมือออกไปป้อนเขา หลัวจิ่งก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาซดโจ๊กมาสองสามมื้อแล้ว เดิมทีในปากจืดชืด มีอาหารอื่นมาหน่อยย่อมดีกว่านัก ทานไปหนึ่งคำ อดทนความเ็ปที่มุมปากแล้วค่อยๆ เคี้ยว
ช้อนในมือค่อยๆ ตักลูกชิ้นอีกหนึ่งลูกขึ้นมา ดวงตาของเจินจูหลุบลงแสร้งทำมองด้วยความไม่ใส่ใจ “ลูกชิ้นของท่านย่านี่ทำขึ้นโดยเฉพาะ เ้าต้องไม่เคยทานมาก่อน อร่อยหรือไม่?” บนใบหน้านางประดับไปด้วยความภูมิใจ แต่สายตากลับไม่ได้ละออกจากใบหน้าของเขาเลย
หลัวจิ่งเคี้ยวอย่างละเอียด พยักหน้าเบาๆ แล้วชื่นชม “ไม่เลวจริงๆ” ลูกชิ้นที่กลมดิกชนิดนี้ เมื่อก่อนเขาเคยทานเป็ของหวานมาก่อน ส่วนอันนี้กลับเค็ม รสชาติไม่เหมือนกับของหวานอย่างมาก แต่อร่อยยิ่ง
เจินจูยิ้ม ส่งลูกชิ้นปลาขาวนวลไปหนึ่งลูก “นี่เป็ลูกชิ้นปลา ไม่เหมือนกับลูกชิ้นห่อไส้เมื่อครู่ เ้าชิมดู”
“มีรสชาติปลา แต่ไม่คาวมากนัก” หลัวจิ่งเคี้ยวอย่างจริงจัง เมื่อก่อนไม่ชอบทานปลาเป็ที่สุด ก้างมากเนื้อนุ่มแต่เขาไม่ชอบความยุ่งยาก มารดามักเปลี่ยนรูปแบบคิดให้เขาทานเนื้อปลามากหน่อย แต่ไม่เคยทำเป็ลูกชิ้นเหมือนเช่นนี้เลย ลูกชิ้นเล็กเช่นนี้คำละชิ้นเรียบเนียนหยุ่นปาก รสชาติอร่อยจริงๆ
บนใบหน้าเจินจูเผยความดีใจมากขึ้น ดูท่าทางเช่นนี้ เมื่อก่อนเขาน่าจะไม่เคยทาน เช่นนั้นเอาวิธีทำลูกชิ้นนี้ขายออกไป น่าจะเป็ไปได้กระมัง
หลังจากเจินจูทำลูกชิ้นต่างๆ นานา เสร็จตอนบ่าย เื่แรกที่คิดได้ก็คือ ลูกชิ้นทำได้ง่าย ไม่ค่อยมีเทคนิคและส่วนประกอบนัก คนครัวที่มีประสบการณ์มาก ทำการคาดเดาอยู่ไม่กี่ทีก็ทำได้พอๆ กันแล้ว หากพวกนางอาศัยลูกชิ้นขายช่วนช่วนเซียงเพียงอย่างเดียว น่าจะไม่กี่วันก็ถูกผู้อื่นเลียนแบบออกมาได้ อยากอาศัยลูกชิ้นหาเงินอยู่หรอก แต่วิธีที่พอจะดำเนินการได้ก็น้อยนัก
แทนที่จะทำเช่นนี้ มิสู้ว่า เอาวิธีทำลูกชิ้นขายให้แก่โรงเตี๊ยมหาเงินหนึ่งจำนวนก่อน หากถูกเลียนแบบออกมา เื่ก็ไม่เกี่ยวกับพวกนางแล้ว
เจินจูคิดเื่ราวอยู่ในใจ ส่วนมือกลับป้อนลูกชิ้นจนหมดไม่หยุด “เมื่อก่อนเ้าเคยทานลูกชิ้นเช่นนี้หรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1] ใจร้อนทานเต้าหู้ร้อนมิได้ หมายความว่า ต้องมีความอดทนรอคอย เพื่อที่จะทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จได้
[2] เดือนสิบสอง เป็เดือนสิบสองของปีจันทรคติจีน
[3] เลื่อยปากน้ำเต้า เป็การอุปมาว่า คนที่ไม่สันทัดในการตอบโต้