ยามโฉ่ว [1] เมฆครึ้มบดบังดวงจันทร์ เห็นเพียงเรือนซ้อนทับกันเป็ชั้นๆ มีแสงไฟลอดออกมาเป็กลุ่มก้อน เป็แสงวิบวับสีเหลืองสลับแดง
เมื่อมองจากที่ไกลๆ ไปในความมืดยามค่ำคืนจึงยิ่งทำให้ดูงดงามเป็พิเศษ ราวกับภาพวิวทิวทัศน์โบราณอันงดงามที่จิตรกรมีชื่อเสียงตั้งใจสร้างขึ้น
ค่ำคืนเช่นนี้ช่างเหมาะแก่การฆ่าคน วางเพลิง แล้วก็ลักขโมยเสียจริง
ในความมืดยามค่ำคืน คนทั้งห้าล้วนสวมเสื้อแขนเสื้อยิงธนู [2] ตัวสั้นแนบเนื้อสีกรมท่าที่แทบจะกลืนไปกับความมืดยามค่ำคืน ส่วนขากางเกงค่อนข้างแคบ มีผ้าแถบขนาดสองนิ้วพันั้แ่่น่องไปจนถึงขอบกางเกง แล้วพับขอบกางเกงไว้ให้อยู่เหนือข้อเท้า
การแต่งกายเช่นนี้...อย่าว่าแต่อ๋าวหรานผู้ไม่เคยเห็นโลกเลย แม้แต่จิ่งจื่อกับจิ่งเซียงก็ตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว ตระกูลจิ่งนั้นเคร่งครัดเื่กฎระเบียบมาก เครื่องแต่งกายต้องดูดีมีมารยาท ผ่าเผยสง่างาม
คนทั้งสองที่ปกติทะเลาะกันไม่หยุด ตอนนี้กลับผลัดกันชมไปคนละที เมื่อสวมใส่จิ้นจวง [3] ที่หมดจดคล่องตัวเช่นนี้ก็ยิ่งขับเน้นให้รูปร่างของหนุ่มน้อยและแม่นางน้อยที่บางระหงและแข็งแรงนั้นดูสง่างามขึ้นเป็กอง
จิ่งจื่อเดินวนไปวนมารอบตัวพวกเขารอบหนึ่ง สุดท้ายถอนหายใจแล้วพูดว่า “พี่ฝานและพี่เหยียนใส่แล้วดูดีจริงๆ แลดูดุดันกำยำ”
เมื่อวานอ๋าวหรานเพิ่งกัดกับจิ่งฝานมา หายโกรธไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นจึงอดเยาะหยันคำชมของจิ่งจื่อไม่ได้ว่า “เ้าเด็กขี้ประจบ”
คำพูดเดียวก่อให้เกิดคลื่นน้ำเป็วง จิ่งจื่อยกกระบี่ขึ้น แล้วทั้งสองก็สู้กันไปรอบหนึ่ง ระหว่างที่เคลื่อนไหวก็ทำให้รอยฟันที่่ไหล่ของอ๋าวหรานรู้สึกปวดตุบๆ ขึ้นมา เพราะเจ็บจึงลงมือหนักยิ่งและรวดเร็วกว่าเดิม จนทำให้จิ่งเซียงที่อยู่ข้างๆ ต้องยื่นมือเข้ามาห้ามไว้ อดกุมขมับแล้วะโออกมาไม่ได้ว่า “หยุดมือเถอะ เวลาผ่านไปไม่น้อยแล้ว”
“ยังไม่ทันได้สู้กับคนตระกูลเฉิน พวกเ้าก็ตีกันเองเสียแล้ว เก็บแรงไว้บ้างได้หรือไม่?”
คนทั้งสองสุดท้ายก็ถูกจิ่งฝานเพียงคนเดียวจับคอเสื้อให้แยกออกจากกัน
หลังจากสู้กันสะใจไปรอบหนึ่ง ในคืนที่หนาวเหน็บเยี่ยงนี้ คนทั้งสองที่ต่างมีเหงื่อโซมกาย ความร้อนในร่างกายกำลังพลุ่งพล่านจึงทำให้รู้สึกสบายยิ่ง
เดิมทีกองกำลังของตระกูลเฉินนั้นรั้งอยู่ในที่ห่างไกล แต่วันนี้กลับได้คืบจะเอาศอก ตอนนี้แทบจะเคลื่อนมาอยู่ที่ตีนเขาของตระกูลจิ่งแล้ว ที่ตรงนี้พื้นที่ประมาณสี่ในห้ามีหมู่บ้านต่างๆ ล้อมไว้อยู่ อีกหนึ่งส่วนที่เหลือนั้นเป็เนินเขาลาดชัน แสงส่องไม่ถึงและสภาพดินก็ไม่ดีจึงยากจะทำประโยชน์ได้ อีกทั้งมีคนพำนักอยู่น้อยมาก ไม่มีชุมชนหรือหมู่บ้านตั้งอยู่จึงน้อยมากที่จะมีคนผ่านมา แต่เดิมตระกูลจิ่งก็ส่งคนมาดูแล แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก
ตอนนี้เฉินหวางทั้งสองตระกูลก็ขยับมาอยู่บริเวณพื้นที่รกร้างแห่งนี้แล้ว พวกเขาต่างพากันใช้พื้นที่นี้กันอย่างเต็มที่ ก่อนที่พวกเขาจะมาตระกูลจิ่งเองก็มองการณ์ไกลมาเป็อย่างดีจึงให้ความสำคัญกับการส่งผู้คุ้มกันจำนวนมากมา เฉินหวางทั้งสองตระกูลอยู่ห่างไปไม่ใกล้ไม่ไกล โดยเฉพาะเมื่อไม่มีหมู่บ้านหรือชุมชนใดๆ ก็ยิ่งทำให้ไม่มีอะไรมาขวางพวกเขาได้
พวกอ๋าวหรานทั้งห้าคนเลือกลงเขามายังบริเวณนี้ซึ่งมีทางลาดชันอย่างมาก ก้อนหินขรุขระ แต่สำหรับพวกเขาแล้วก็ราวกับถนนเรียบๆ ธรรมดาๆ ทั้งที่ทั้งดึกสงัดและหนาวจัดจนลมพัดหอบหิมะมาถูกร่างกายและใบหน้า แต่ในใจของพวกเขากลับร้อนรุ่มฮึกเหิม ต้องเก็บกดกันมาถึงสองเดือนเต็มๆ ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เอาคืนเสียที ไม่ว่าในอนาคตแผ่นดินใหญ่จะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ไม่มีทางสงบลงได้ด้วยการยอมอดทนข่มกลั้นของพวกเขาหรอก
ทนมานานจนไม่รู้จะทนอย่างไรแล้ว และไม่อาจทนได้อีกต่อไป
หากต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างเหลืออด มิสู้ตอบโต้ให้เต็มที่ไปเลยจะไม่ดีกว่าหรือ
ใช้ชีวิตอย่างโอหังให้เต็มที่
ถึงจะบอกว่าเป็แค่หนึ่งส่วนจากห้าส่วน แต่ขนาดกลับหาได้เล็กไม่ เฉินหวางทั้งสองตระกูลพื้นที่นี้ร่วมกัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็อยู่ห่างกันค่อนข้างไกล เมื่อมองจากที่ไกลๆ บนแผ่นดินที่กว้างใหญ่นี้ก็ยิ่งทำให้แต่ละฝ่ายดูเป็เพียงแค่ก้อนเล็กๆ ที่มีแสงไฟสว่างวาบออกมาเท่านั้น
คนทั้งห้าต่างส่งสายตาให้แก่กันแล้วยืดเอว จากนั้นพุ่งออกไปราวกับกระบี่อันแหลมคมที่ว่องไว หายไปจากตรงนั้นในชั่วพริบตา
หลังจากที่ตระกูลเฉินมาสร้างค่ายไว้ตรงนี้ พวกเขาก็สร้างรั้วไม้สูงเท่าตัวคนล้อมไว้ อีกทั้ง้ารั้วไม้ยังมีหนามแหลมคมเต็มไปหมด ภายใต้แสงจากเทียนไข หนามแหลมเ่าั้สะท้อนเป็ประกายเย็นเยียบ ภายในรั้วไม้มีกระโจมกางอยู่หลายสิบหลัง เนื้อผ้าอันหนาหนักนั้นบดบังแสงสว่างภายในจึงทำให้มองไม่เห็นด้านเลยแม้แต่น้อย แต่กลับไม่เก็บเสียงแม้สักนิด
พวกอ๋าวหรานอาศัยแสงจากดวงจันทร์อ้อมไปทางด้านหลัง ที่ตรงนี้อยู่ห่างจากกระโจมหลักของพวกเขาพอสมควร แต่กลับไม่เป็อุปสรรคให้เสียงร้องรำทำเพลงด้านในดังออกมาถึงหูพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเป็เพราะ่ชิงข้าวของของพวกเขามาได้ค่อนข้างมากจนเป็ที่น่าพอใจหรืออย่างไร ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้แล้วถึงได้ยังฉลองกันอยู่อีก
กองกำลังของทั้งสองตระกูลนี้ ตระกูลจิ่งล้วนแอบส่งคนมาสืบดูแล้ว ตระกูลหวางจัดการดูแลอย่างเข้มงวด ทั้งยังเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ คนแปลกหน้าทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป ต่อให้้าซื้อหาของสิ่งใดก็เป็พวกเขาที่ออกไปซื้อหาและขนกลับมาเอง ผู้อื่นแค่มองจากที่ไกลๆ ก็ยังทำไม่ได้ ไม่มีโอกาสใช้ประโยชน์จากอะไรได้เลย
ส่วนตระกูลเฉินนั้นนับว่าหย่อนยานกว่ามาก แถมยังมีหญิงงามเข้าไปสองสามคนอยู่บ่อยๆ ช่องโหว่นับว่าเยอะทีเดียว ตระกูลจิ่งเองก็ส่งคนแฝงตัวเข้าไปนานแล้ว ถึงแม้ชั่วระยะเวลาสั้นๆ จะยังเข้าไปลึกถึงด้านในสุดไม่ได้ แต่แค่สืบข่าวรอบๆ ว่าจัดสรรกันอย่างไร คนสำคัญๆ อยู่ที่กระโจมใดกันบ้างพวกนี้นั้นยังคงทำได้อยู่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกอ๋าวหรานสบายขึ้นเป็กอง
แต่พวกเขาก็ยังไม่กล้าวางใจเต็มที่ เพราะไม่อาจรับประกันได้เต็มร้อยว่าข่าวนี้จะไม่ผิดพลาด
ตามข้อมูลที่สายลับให้มา เฉินเปิ่นหวาผู้นี้ก็ไม่ใช่คนโง่งม แถมยังเข้าใจหลักการกระต่ายเ้าเล่ห์มีสามรัง4 เป็อย่างดี เสบียงและข้าวของทั้งหมดล้วนถูกแยกเก็บไว้ออกเป็สองฝั่ง อันหนึ่งอยู่ทางตะวันออก ส่วนอีกอันอยู่ทางตะวันตก ห่างกันค่อนข้างไกล ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข้าวของทั้งหมดที่่ชิงมาจากตระกูลจิ่งนั้นอยู่ฝั่งใด? หรือว่าจะแยกออกไปทั้งสองฝั่ง?
คนทั้งห้าแบ่งงานกัน เดิมทีอ๋าวหรานเสนอว่าให้เขากับศิษย์พี่ของเขาไปด้วยกันเพราะพวกเขาทั้งสองมีเพลงกระบี่คล้ายกัน แล้วค่อนข้างสนิทสนมกันมากกว่า สามารถร่วมมือกันได้เป็อย่างดี ส่วนจิ่งจื่อกับจิ่งเซียงนั้นก็ให้ไปกับจิ่งฝาน จะได้ดูแลได้ง่ายด้วย
แต่อ๋าวหรานเพิ่งเสนอออกมาก็ถูกจิ่งฝานโต้กลับแล้ว เหตุผลก็คือ “หากไปกับข้าก็จะเอาแต่พึ่งพา ยากจะก้าวหน้าได้ ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การชิงของกลับไปเท่านั้น แต่เพื่อให้พวกเ้าได้ฝึกฝนด้วย ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่พามาแค่พวกเ้า”
สมเหตุสมผล
คนที่ถูกเอ่ยถึงทั้งคู่แสดงออกว่าเห็นด้วยจนแทบสาบานแล้วว่าจะฝึกฝนให้ดี
หลังจากที่เหยียนเฟิงเกอมาพักอยู่ที่หมู่บ้านสกุลจิ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็ด้านทักษะหรือความสามารถของเขาก็ล้วนสามารถเชื่อมั่นได้อย่างเต็มร้อย จึงไม่กังวลว่าศิษย์น้องของตัวเองจะมีอันตราย จึงรับข้อเสนอของอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ
ส่วนอีกคนที่เหลือนั้น เมื่อข้อเสนอถูกเมินก็ช่างเถอะ แล้วยังถูกกำหนดคู่ร่วมเดินทางโดยไม่มีสิทธิ์พูดอะไรอีก เื่นี้ทำให้เขารู้สึกโกรธจนต้องหันไปถลึงตาใส่จิ่งฝาน
แต่อีกฝ่ายก็ทำเป็มองไม่เห็น
พวกเขาข้ามรั้วไม้ไปแล้วก็ต่างแยกย้ายกันไปปฏิบัติภารกิจ หลบคนลาดตระเวน เดินเข้าไปอย่างราบรื่นตลอดทาง
พอผ่อนคลายลงแล้ว อ๋าวหรานก็ขยับๆ ไหล่ของตนเอง ค่อนแคะเสียงเบาว่า “เ้ารู้หรือไม่ วันนี้ตอนเช้าพอข้าดู รอบๆ รอยฟันของเ้านั้น...ไหล่ข้าเขียวไปครึ่งหนึ่งแล้ว”
จิ่งฝานเองก็ยื่นข้อมือมาให้เขาดู ภายใต้ความมืด ข้อมือแข็งแรงที่ดูมีพลัง ตรงบริเวณที่มีรอยฟันปรากฏอยู่เองก็เขียวไปทั้งแถบเช่นกัน
อ๋าวหรานสะอึกไป
“ข้ากัดไม่แรงเท่าเ้าแน่” พูดแล้วก็ดึงคอเสื้อไปด้วย “ไม่เชื่อเ้าลองดู ของข้าร้ายแรงกว่าเ้าเยอะเลย อีกอย่างเป็เ้าที่กัดข้าก่อน เพราะทำอะไรไม่ได้ข้าจึงกัดตอบกลับไป”
จิ่งฝานพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เ้าอยากสืบสาวเอาความั้แ่ต้นหรือ?”
อ๋าวหราน “ไม่ใช่สืบสาวเอาความั้แ่ต้น แค่จะบอกเ้าว่านิสัยชอบกัดคนของเ้านี่ต้องได้รับการแก้ไข”
ในนิยายก็ไม่ได้เขียนไว้ว่าเ้าชอบกัดคนเสียหน่อยนี่นา ดูไม่เป็ตัวเอกเลย
จิ่งฝานนิ่งเงียบ
อ๋าวหรานยังไม่หยุดปาก “ข้ายังดี อดทนสักพักเดี๋ยวก็หาย แล้วก็จะไม่หัวเราะเยาะเ้าด้วย แต่ถ้าเป็ผู้อื่นรู้เข้า เป็ถึงนายน้อยตระกูลจิ่ง ผู้นำตระกูลจิ่งในอนาคตกลับกัดคน น่าอายแค่ไหนคิดดู”
“อีกอย่าง ยกตัวอย่างเช่นเ้ากับทางเต๋อรั่วนั่นกำลังสู้กันอยู่ จู่ๆ เ้าก็พุ่งไปกัดเขา ฉากนี้แค่คิดดูก็ไม่น่าพิสมัยแล้ว คงส่งผลกระทบต่อความน่าเกรงขามของเ้า”
จิ่งฝานถูกคำพูดของเขาทำให้ในหัวมีแต่ฉากนั้นก็เกรี้ยวกราดเ็าขึ้นมาทันที เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หุบปาก!”
ตอนนี้เขาคิดแต่อยากจะฉีกกระชากเ้าทางเต๋อรั่วนั่นเสีย
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอ็นเขียวขึ้นหน้าผากแล้ว อ๋าวหรานก็พยักหน้าอย่างพอใจ
เ้าเด็กบ้า ถ้าไม่จัดการกับโรคชอบกัดคนของเ้าเสีย ข้าก็ไม่ขอแซ่อ๋าวแล้ว!
“เ้าได้ใจมากหรือ?” เสียงน่ากลัวดังขึ้นข้างหู
รอยยิ้มของอ๋าวหรานชะงักค้างอยู่ที่มุมปากในทันที
“วาง ใจ เถอะ กัด แค่ เ้า!” เน้นย้ำทีละคำ
อ๋าวหรานอดตัวสั่นไม่ได้ พูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “มาสู้กันอย่างชายชาตรีดีหรือไม่?”
“ผู้ใด?!” คนลาดตระเวนได้ยินเสียงก็ตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด เสียงฝีเท้าหลากหลายกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว
อ๋าวหรานรีบเก็บเสียง ไม่กล้าหายใจแรง แล้วดึงจิ่งฝานที่ไม่ตกตะลึงแม้แต่น้อยตีลังกาหลบขึ้นไปเหนือกระโจม
เพิ่งทำเื่เช่นนี้ครั้งแรก อ๋าวหรานจึงรู้สึกลุกลนเล็กน้อย
เชิงอรรถ
[1] ยามโฉ่ว(丑时)หมายถึงเวลาตีหนึ่งถึงตีสาม
[2] แขนเสื้อยิงธนู (箭袖)เป็ลักษณะพิเศษของเสื้อในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งปกติจะพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน
[3] จิ้นจวง (劲装)หมายถึงชุดจีนโบราณที่เน้นความคล่องตัว ทั้งแขนเสื้อและขากางเกงจะถูกเก็บไว้อย่างเรียบร้อย
[4] กระต่ายเ้าเล่ห์มีสามรัง (狡兔三窟)หมายถึงคนเ้าเล่ห์มีที่หลบซ่อนตัวมากมาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้