“ไม่เป็ไรเ้าค่ะท่านพ่อ แค่เื่เข้าใจผิดเล็กน้อย ข้ารับมือได้”
“เช่นนั้นก็ดี” บิดาลู่แต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าบุตรสาวจะพูดอะไรเขาก็เชื่อทั้งหมด ยามนี้เมื่อวางใจได้แล้วก็เกิดท้องหิวขึ้นมา “ในมือเ้าถืออะไรมา เอามาจากด้านล่างหรือ?”
“เ้าค่ะ ท่านพ่อหิวแล้วก็กินก่อนได้เลย ข้ามีเื่อื่นต้องไปทำ”
“ได้”
บิดาลู่ถืออาหารกลับบ้านไป ส่วนนางกลับเดินไปรอบๆ ยอดเขาแทน เมื่อครู่นางพูดราวกับมั่นอกมั่นใจเป็อย่างมาก แต่ที่จริงแล้วนางไม่มั่นใจเลยแม้แต่น้อย อย่างไรเสียก็ผ่านมาหลายปีแล้ว คนในหมู่บ้านเพิ่มมากขึ้นก็ขยับขยายกันออกไป หากว่าเลยจากอาณาเขตสกุลลู่ไปแล้ว ตู้ไฉเกาจะต้องจ้องเล่นงานจุดนี้เป็แน่
นางยังเดินไม่ครบรอบ เสี่ยวเตาก็วิ่งเข้ามาเสียก่อน
“เสี่ยวหมี่ เื่ที่เ้าให้ข้าไปถามมาได้ความแล้ว”
“จริงหรือ รีบบอกมาเร็ว”
เสี่ยวหมี่ลากเสี่ยวเตาไปหาก้อนหินใหญ่ๆ แล้วนั่งลง ตอนที่เสี่ยวเตากำลังจะอ้าปากเล่านั้นเอง ซูอีไม่รู้โผล่มาจากไหนมานั่งอยู่ที่ปลายเท้าของเสี่ยวหมี่
เสี่ยวหมี่ลูบศีรษะเขาเบาๆ ถามไปประโยคหนึ่งว่า “เ้าไม่หิวหรือ ซูอี กลับบ้านไปกินข้าวก่อนเถอะ”
ซูอีกลับฉีกยิ้มเจิดจ้าเป็คำตอบ ไม่มีท่าทีว่าจะกลับบ้านสักนิด
เสี่ยวหมี่ก็ไม่บังคับเขา เร่งรัดเสี่ยวเตาว่า “คนแซ่ตู้คนนั้น เป็หลานชายท่านที่ปรึกษาจริงหรือ? ยามปกติเป็ที่รักใคร่หรือไม่? เื่ในครั้งนี้ที่เขาก่อขึ้นท่านที่ปรึกษาทราบเื่หรือไม่?”
เสี่ยวเตากวาดสายตามองซูอีไปทีหนึ่่ง สายตาแปลกประหลาดเล็กน้อย สุดท้ายก็ตอบว่า “สองคนนั้นเมื่อกินข้าวและรับเงินไปแล้วก็ไม่มีท่าทีว่าจะปิดบังอีก ตามที่พวกเขาเล่า บิดามารดาของคนแซ่ตู้จากไปเร็ว ท่านที่ปรึกษาจึงรับมาเลี้ยงเหมือนเป็ลูกชายคนหนึ่ง ยังคิดจะยกบุตรสาวให้แต่งกับเขาด้วย แต่คนแซ่ตู้เรียนหนังสือไม่ได้เื่ ทั้งยังดื่มสุราติดการพนันชอบตี...อะแฮ่ม เอาเป็ว่าชอบทำเื่ชั่วช้าทุกรูปแบบ ดังนั้นฮูหยินของท่านที่ปรึกษาจึงไม่ยอม เื่นี้จึงค้างเอาไว้เช่นนี้ ก่อนหน้านี้เขาแพ้พนันที่โรงพนันแห่งหนึ่งมา ติดหนี้หัวโต ถูกท่านที่ปรึกษาดุ และไม่คิดจะใช้หนี้แทนเขา เขาถึงได้คิดทำเื่ชั่วช้าเช่นนี้ขึ้นมา”
“เช่นนั้นก็แสดงว่าพวกเราโชคไม่ดี แต่ว่า ท่านที่ปรึกษารู้เื่ที่เขาแย่งโฉนดที่ดินคิดจะโกงพวกเราหรือไม่?”
“เด็กรับใช้สองคนนั้นบอกว่า เมื่อคืนนี้คนแซ่ตู้ไปออดอ้อนอยู่ที่ห้องหนังสือของท่านที่ปรึกษาอยู่กว่าครึ่งชั่วยาม เกรงว่าคงได้รับอนุญาติกลายๆ จากท่านที่ปรึกษาแล้ว”
เสี่ยวเตาพูดด้วยความโกรธ สุดท้ายก็อดระบายออกมาไม่ได้ “ถ้าอย่างไรข้าไปร้องเรียนที่ศาลาว่าการในตัวเมืองดีกว่า โฉนดเหลืองก็อยู่ในมือเรา เป็พวกเขาที่กลับคำไม่ซื่อสัตย์ เราชนะเห็นๆ”
“ไม่ได้” เสี่ยวหมี่กลับส่ายศีรษะ “พวกข้าราชการน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า มีท่านที่ปรึกษาอยู่ ท่านเ้าเมืองเองก็คงไว้หน้าอยู่บ้าง อย่างดีก็คงคืนเงินมัดจำร้อยตำลึงให้กับเรา อย่างเลวร้ายก็คงถึงขั้นทำลายโฉนดเหลืองของเราให้เป็โมฆะ ถึงตอนนั้นเราทั้งไม่ได้เงินคืนทั้งยังทำหลักฐานหลุดมือไปอีกคงแย่”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?”
เสี่ยวเตาเริ่มร้อนใจ เขาเดินกลับไปกลับมาเป็หนูติดจั่น “จะปล่อยให้พวกเขาเข้ามาในหมู่บ้านเราทุกวันเช่นนี้ก็ไม่ได้กระมัง”
“คงต้องคิดหาวิธีใหม่ ถ้าจะฟ้องร้องก็ต้องไปฟ้องร้องกับคนที่จะไม่ปกป้องพวกเดียวกัน”
เสี่ยวหมี่รู้ถึงที่มาที่ไปของตู้ไฉเกาแล้วจึงไม่ร้อนใจมากนัก เห็นท่าทางเสี่ยวเตาเช่นนี้ก็ปลอบเขาว่า “พี่เสี่ยวเตา ท่านอย่าร้อนใจไปเลย สุดท้ายเื่พวกนี้จะได้รับการแก้ไขเอง ท่านไปกินข้าวให้เรียบร้อย เสร็จแล้วมาเรียกพี่ใหญ่ข้าเข้าเมืองไปที่บ้านสกุลเฉินด้วยกัน ไปดูสักหน่อยว่าทางด้านเถ้าแก่เฉินสืบได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
นาทีนี้ต่อให้เสี่ยวหมี่จะสั่งให้เขาไปฆ่าเ้าคนแซ่ตู้นั่น เขาก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับเื่เล็กๆ เช่นนี้
เขาก้าวเท้าลงไปที่ตีนเขา เหลือเสี่ยวหมี่นั่งขบคิดอะไรคนเดียวอยู่บนก้อนหินอีกเป็นานสองนาน ถึงแม้เมื่อครู่นางจะพูดอย่างมั่นใจ แต่ที่จริงแล้วยังคิดหาวิธีดีๆ อะไรไม่ออกเลย
ซูอีเห็นว่าแดดเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงยืนขึ้นเอาร่างของตนบดบังแสงแดดให้เสี่ยวหมี่
เสี่ยวหมี่รู้สึกเย็นขึ้นจึงเงยหน้าหันไปมอง เมื่อเห็นเช่นนั้นนางก็อดรู้สึกอบอุ่นใจหัวใจไม่ได้ นางลุกขึ้นยืนเตรียมกลับบ้าน
ไม่ว่าปัญหาจะใหญ่แค่ไหนก็ต้องกินให้อิ่มก่อน กินอิ่มแล้วถึงจะคิดหาทางแก้ปัญหาได้
…
ทางด้านเถ้าแก่เฉินเมื่อเช้าหลังจากที่ส่งสองพี่น้องสกุลลู่กลับไปแล้ว เขาก็โกรธจนไม่กลับบ้านกลับช่อง แต่ไปที่บ้านของอาลักษณ์เฉินแทน
อาลักษณ์เฉินนั่งกอดไหสุราั้แ่เช้า เอาแต่ขมวดคิ้วแล้วกรอกสุราใส่ปากไม่หยุด
ภรรยาของเขาทางหนึ่งนำผ้าห่มออกมาตากแดดทางหนึ่งกล่าวว่า “อากาศดีจะตาย เ้าไม่ไปทำงาน มานั่งหลบมุมอยู่ที่นี่ทำอะไร? ดื่มสุรา รู้จักแต่ดื่มอยู่นั่นแหละ ดื่มมากๆ แล้วจะมีทองตกลงมาจากฟ้าหรือไร?”
อาลักษณ์เฉินไม่สนใจนาง นึกถึงเื่เมื่อเช้านี้ก็ให้รู้สึกไม่สบายใจเป็อย่างมาก งานด้านโฉนดที่ดินแต่เดิมก็เป็หน้าที่รับผิดชอบของเขา แต่หลานชายของท่านที่ปรึกษากลับบังคับให้เขาออกโฉนดแดงขายที่ดินเขาสองลูกนั้นให้เขา ทั้งๆ ที่ออกโฉนดเหลืองให้คนอื่นไปแล้วเมื่อวานนี้
เขาที่ทำงานในศาลาว่าการมาหลายปี แน่นอนว่าไม่ใช่คนใจซื่อมือสะอาดอะไร แต่ครั้งนี้คนที่เขาหักหลังคือคนรู้จักที่สนิทสนมกัน ถึงขนาดกล่าวได้ว่าเป็คนที่มีบุญคุณต่อเขา จิตใจเขารู้สึกเหลือจะรับจึงแกล้งป่วย แอบมาหลบอยู่ที่บ้านเช่นนี้
เขารู้ดีว่า หากเขาไม่ทำ ก็คงมีคนอื่นๆ ในศาลาว่าการที่คิดจะประจบสอพลอท่านที่ปรึกษาอยู่ดี ไม่ว่าอย่างไรเขาสองลูกนั้นก็ต้องแซ่ตู้...
ตอนที่เขากำลังหงุดหงิดอยู่นั่นเองเถ้าแก่เฉินก็มาถึงแล้ว
ภรรยาของอาลักษณ์เฉินรู้จักเถ้าแก่เฉินดี ก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านปู่ที่บ้านป่วยหนัก เถ้าแก่เฉินก็ให้เงินช่วยเหลือ ไม่เพียงเท่านี้ ที่อาลักษณ์เฉินได้มีหน้าที่การงานที่มั่นคงอยู่ในศาลาว่าการได้ก็ล้วนเป็เพราะความช่วยเหลือจากเถ้าแก่เฉิน
ยามนี้จู่ๆ เห็นเขามาหาถึงบ้านก็รีบเข้าไปต้อนรับทันที “พี่ใหญ่เฉิน เหตุใดวันนี้ท่านถึงว่างมาเล่าเ้าคะ เข้ามานั่งก่อนเถอะ”
ต่อให้เถ้าแก่เฉินจะโมโหแค่ไหน ก็ไม่อาจจะระบายความโกรธไปที่สตรีนางหนึ่งได้ จึงอดทนอดกลั้นสนทนากับนางสองสามประโยค แต่เมื่อเข้ามาด้านในแล้วเห็นอาลักษณ์เฉินกำลังดื่มสุราอยู่ เขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไประบายความโกรธออกมา “เฉินเฉวียน นี่มันเื่อะไรกันแน่? ูเาที่เมื่อวานนี้ออกโฉนดเหลืองแล้ว วันนี้กลายเป็ของผู้อื่นไปได้อย่างไร? หากเ้าไม่อธิบายมาให้ชัดเจน วันหน้าพวกเราก็ไม่ต้องมาพบมาเจอกันอีก”
อาลักษณ์เฉินสีหน้าขมขื่น เขาลุกขึ้นยืนค้อมศีรษะขออภัยไม่หยุด “พี่ใหญ่ เื่นี้ต้องขอโทษท่านด้วยจริงๆ...”
ภรรยาของอาลักษณ์เฉินไม่รู้ว่าเกิดเื่อะไรขึ้น นางเองก็รีบอธิบายแทนสามี “พี่ใหญ่ มีเื่อะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันนะเ้าคะ สามีข้าเองวันนี้ก็ไม่รู้เป็อะไรไป เอาแต่ร่ำสุราแต่เช้า ไม่ยอมไปทำงานที่ศาลาว่าการด้วย...”
เถ้าแก่เฉินสูดลมหายใจเข้าลึก ในใจเขารู้ดีว่าเฉินเฉวียนเป็แค่อาลักษณ์ตัวเล็กๆ ผู้อื่นคิดจะแย่งชิง เขาคงไม่อาจห้ามปรามได้ อย่างไรเสียวันหน้าก็ยังต้องทำงานที่ศาลาว่าการต่อไป ใครเล่าจะคิดทิ้งงานที่ใช้หาเลี้ยงครอบครัวไปเพราะเื่นี้
อาลักษณ์เฉินเองก็ไม่ปิดบัง เขาเล่าเื่ทั้งหมดรวมถึงเื่ที่ไปสืบทราบมาให้ฟังจนหมด “พี่ใหญ่ ท่านเ้าเมืองนั้นยามปกติไม่ค่อยสนใจจัดการเื่ราวใดนัก เื่น้อยใหญ่โดยปกติแล้วท่านที่ปรึกษาเป็คนจัดการ เ้าอันธพาลตู้คนนี้ทำเื่เลวๆ เช่นนี้มาไม่น้อย แต่ทุกคนต่างก็ต้องอดทนทำเป็หลับหูหลับตา ยามนี้ ข้าพอจะช่วยเอาเงินหนึ่งร้อยตำลึงนั้นกลับมาคืนท่านได้ แต่ว่า...เื่อื่นนั้นคงเกินความสามารถของข้า”
“ใต้หล้าไร้กฎเกณฑ์ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ข้าอยากจะไปฟ้องร้องให้ถึงเมืองหลวงเสียจริงๆ”
เถ้าแก่เฉินเองก็ยกกาสุราขึ้นกรอกปากเช่นกัน
ภรรยาของอาลักษณ์เฉินรีบนำกับแกล้มสองจานและสุรากาใหม่มาให้ทันที เถ้าแก่เฉินกินไปไม่เท่าไรก็ลุกขึ้น
“ไม่ได้ ข้าต้องลองคิดหาวิธีอื่นดู อย่าว่าแต่สถานะของสกุลลู่ในยามนี้ที่เป็บ้านสามีในอนาคตของเยว่เซียน แค่ดูจากพื้นเพนิสัยของคนสกุลลู่ยามปกติแล้ว ข้าเองก็ไม่อาจทนดูอยู่เฉยๆ ให้พวกเขาโดนรังแกได้”
พูดจบก็บอกลาอย่างรีบร้อน รีบไปหาคนช่วย
น่าเสียดายสหายสนิททั้งหลาย พอได้ยินว่าไปล่วงเกินมือสองของศาลาว่าการเข้า ต่างก็กลัวว่าศีรษะของตนจะปลิดปลิวเหมือนใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงกันทั้งสิ้น ถ้าไม่อ้างว่าที่บ้านมีเื่ต้องไปจัดการ ก็อ้างว่าป่วยไข้ไม่สบาย มีคนหนึ่งถึงกับโน้มน้าวเขาตรงๆ ว่า “ได้ยินว่าซิ่นเกอร์ของเ้ายามนี้ไม่ได้ทำงานให้สกุลถังแล้ว เ้าแค่ตั้งใจบริหารร้านผ้าของเ้าให้ดีต่อไปก็พอ เื่อื่นๆ อย่าไปยุ่งให้มากเลยจะดีกว่า จะอย่างไรก็ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อนถึงจะสำคัญที่สุด”
เถ้าแก่เฉินโกรธจนแทบจะกระอักเืออกมา ที่แท้ที่ทุกคนไม่ยอมช่วยไม่ใช่เพราะหวาดกลัวท่านที่ปรึกษา แต่เป็เพราะสกุลเฉินไม่มีสกุลถังอยู่เื้ัแล้วนี่เอง...
มิตรภาพหลายปีที่ผ่านมาในที่สุดก็ขาดสะบั้นลง
เจิ้งซื่ออยู่ที่บ้านก็ร้อนใจมากเช่นกัน ตอนแรกที่สองพี่น้องสกุลลู่รีบกลับหมู่บ้านเขาหมีอย่างรีบร้อนนางก็รู้สึกว่าผิดปกติแล้ว ยามนี้สามีของนางยังชักช้าไม่ยอมกลับบ้านอีก
นางร้อนใจมากจึงส่งเด็กรับใช้ไปตาม สุดท้ายหาคนเจอแล้วแต่กลับต้องแบกเขากลับมา
สกุลเฉินวุ่นวายในทันใด พวกสาวใช้ช่วยกันต้มน้ำไปเชิญหมอมา เยว่เซียนเองก็ออกจากเรือนหลังมาดูเช่นกัน เจิ้งซื่อร้อนใจทำได้เพียงกอดสามีที่หมดสติร้องไห้ กลับเป็เยว่เซียนที่สุขุมมีสติ นางสั่งให้สาวใช้ดูแลรับส่งท่านหมอ และจัดการเื่เทียบยาให้เรียบร้อย
ที่จริงแล้วเถ้าแก่เฉินไม่ได้เป็อะไรมาก เพียงแค่โกรธมากเกินไปจนเืลมติดขัด เมื่อได้ดื่มยา แล้วเห็นว่าทั้งภรรยาและบุตรสาวเป็ห่วงเขาขนาดไหน เขาก็ค่อยๆ ดีขึ้น
ยังไม่รอให้เจิ้งซื่อสอบถามอะไร พี่ใหญ่ลู่และหลิวเสี่ยวเตาก็มาถึงแล้ว
พี่ใหญ่ลู่เห็นเถ้าแก่เฉินอยู่ในสภาพนี้ต่อให้จะสมองช้าแค่ไหน ก็ดูออกว่าที่ชายชราตกอยู่ในสภาพนี้คงเป็เพราะเื่ที่บ้านเขาเป็แน่
เขาจึงเอ่ยเล่าเื่ราวที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านออกมาอย่างละเอียด จากนั้นก็เบนสายตาไปมองรองเท้าผ้าปักที่เห็นลางๆ อยู่หลังฉากกั้น เอ่ยว่า “ท่านลุงวางใจเถอะ ผู้อื่นมีใจคิดจะหาเื่ ต่อให้ท่านระมัดระวังแค่ไหนก็พลาดได้อยู่ดี ยามนี้น้องสาวของข้ากำลังพยายามยื้อเอาไว้ แล้วค่อยๆ คิดหาวิธีกัน อย่างน้อยบ้านเรือนและที่นาตอนนี้ก็ล้วนปลูกอยู่บนที่ดินของบ้านข้า ไม่ว่าคุณชายตู้คนนั้นคิดจะทำอะไรกับูเาสองลูกนั้นก็ไม่อาจกระทบมาถึงเราได้”
“ดี” เถ้าแก่เฉินจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าพี่ใหญ่ลู่กำลังปลอบเขา ถึงแม้ก่อนหน้านี้สกุลลู่ไม่เคยไปก่อสร้างอะไรบนเขาสองลูกนั้น แต่ยามนี้เขาเตี้ยสองฝั่งด้านข้างได้ตกเป็ของผู้อื่นแล้ว ก็ราวกับมีคนแปลกหน้านอนอยู่ข้างห้อง ทำอะไรก็ไม่อาจสงบใจได้เพราะต้องคอยระแวงอยู่ตลอด ต่อให้จะไม่ใช่ผลกระทบใหญ่หลวง แต่ก็คงทำให้อึดอัดไม่น้อย อีกอย่างคนแปลกหน้าคนนั้นยังเป็พวกมีใจคิดคด ไม่รู้จะแว้งกัดพวกเขาวันใด
แต่ยามนี้ก็ไม่มีวิธีอะไรที่ดีกว่านี้ มีแต่ต้องปล่อยให้เป็เช่นนี้ต่อไป
“เ้ากลับไปบอกเสี่ยวหมี่ บอกนางว่าอย่าโกรธมากนัก ข้าจะเขียนจดหมายไปที่เมืองหลวงลองถามซิ่นเกอร์ลูกชายข้า ดูสิว่าเขาพอจะมีวิธีอะไรหรือไม่”
“ได้ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนขอรับท่านลุงเฉิน”
พี่ใหญ่เอ่ยลาเถ้าแก่เฉินจากนั้นก็เรียกหลิวเสี่ยวเตาที่กำลังดื่มชารออยู่พากันกลับขึ้นเขาหมีไป
เจิ้งซื่ออดทนอยู่นาน เมื่อไล่พวกสาวใช้ออกไปหมดแล้ว สุดท้ายก็พูดขึ้นว่า “เถ้าแก่ สกุลลู่ไปล่วงเกินท่านที่ปรึกษาสุยเข้า วันหน้าไม่ใช่ว่าจะอยู่อย่างยากลำบากในอันโจวแห่งนี้หรอกหรือ? เยว่เซียนของเราหากแต่งไปอยู่บ้านพวกเขา...”
“เ้าคิดจะพูดอะไร?” เถ้าแก่เฉินหันไปถลึงตาใส่ภรรยาอย่างที่น้อยครั้งนักจะทำ สีหน้าเคร่งขรึมจนน่าหวาดกลัว
เจิ้งซื่อรีบกลืนคำพูดของตนเองลงไป แต่ก็ยังคงเอ่ยออกมาอย่างน้อยอกน้อยใจเล็กน้อย “ข้าก็แค่กลัวว่าในอนาคตลูกเราจะต้องลำบาก ถึงคิดจะถามออกมาก็เท่านั้น”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้