สมาชิกสกุลฉินสองสามคนมาเยี่ยมเยือนคฤหาสน์สกุลโม่แต่เช้าตรู่ พวกเขาเป็เครือญาติสายรองที่มิได้ใกล้ชิดกันมากนัก แม้จะรับราชการในราชสำนักเหมือนกัน แต่ตำแหน่งมิอาจเปรียบกับโม่ฮว่าเหวินได้ เพราะเหล่าไท่ไท่เข้ามาอยู่ที่จวนโม่ พวกเขาจึงพาบุตรธิดามากราบคารวะผู้าุโ
ฮูหยินท่านนั้นรั้งอยู่คุยเป็เพื่อนเหล่าไท่ไท่ แล้วปล่อยให้หนุ่มสาวออกไปเที่ยวเล่นกันตามอัธยาศัย
โม่อวี่เฟิงเป็ผู้ออกมาต้อนรับขับสู้ฉินอวี้เฟิงและคนอื่นๆ ขณะที่เดินคุยกันอยู่ไม่ทราบว่าผู้ใดเอ่ยขึ้นว่าอยากพบโม่เสวี่ยถง ครั้นแล้วคนกลุ่มใหญ่ก็ยกขบวนกันไปเรือนชิงเวย
เนื่องจากโม่เสวี่ยถงสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงจึงตื่นสายหน่อย หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็เตรียมตัวไปคารวะเหล่าไท่ไท่ ขณะเดียวกันกลุ่มคนที่เดินเข้ามาก็รั้งคุยกันอยู่ที่ระเบียงทางเชื่อม ยังมิได้เข้าไปด้านใน
ผู้มาอีกสองคนเป็เครือญาติของเหล่าไท่ไท่ ผู้เป็พี่สาวอายุสิบหกปีชื่อหวางอีหลัน ผู้เป็น้องชายอายุสิบห้าปีชื่อหวางิโหลว
สองพี่น้องอายุรุ่นราวคราวเดียวกันมีนิสัยอยากรู้อยากเห็น เมื่อมาถึงถิ่นแล้วก็ย่อมอยากพบปะกับธิดาภรรยาเอกของสกุลโม่เป็ธรรมดา นอกจากนี้โม่อวี่เฟิงกับฉินอวี้เฟิงซึ่งไม่นับว่าเป็คนนอก ทั้งมีคนมาด้วยมากมาย การมาหาถึงเรือนชิงเวยจึงไม่ถือว่าเป็การเสียมารยาท
“คุณหนูใหญ่โม่ ที่พักของคุณหนูสามอยู่ไกลนัก แขกไปใครมาไม่สะดวกเลยจริงๆ” หวางิโหลววัยสิบห้าปีเป็เด็กหนุ่มนิสัยโผงผางพูดจาเถรตรง แต่ใจคอมิได้คดเคี้ยว เอ่ยถามขึ้นโดยมิได้สังเกตสีหน้ากระอักกระอ่วนใจของโม่เสวี่ยิ่
“คุณชายหวางอาจจะยังไม่ทราบ ที่นี่ฟางอี๋เหนียงเป็คนช่วยเลือก ได้ยินมาว่าน้องหญิงสามเป็คนรักความเงียบสงบ ดังนั้นจึงให้นางมาอยู่ไกลหน่อย มิได้มีเจตนาอื่นใดทั้งสิ้น” บัดนี้โม่เสวี่ยฉงไม่ค่อยกินเส้นกับโม่เสวี่ยิ่มากนัก จึงเอ่ยวาจาที่ฟังดูคลุมเครือไม่ชัดแจ้งทิ่มแทงอีกฝ่าย
ขณะที่หวางิโหลวกำลังจะถามอีกก็ถูกพี่สาวของตนเองกระตุกแขนเสื้อไว้ ถึงเข้าใจบางอย่าง พลันยิ้มแหยหัวเราะแห้งๆ สองสามครั้ง ก่อนหุบปากเงียบสนิท ความจริงเื่ของสกุลโม่เขาก็เคยได้ยินมาบ้าง เมื่อครู่แค่ลืมตัวไปเท่านั้น
มารดารองที่เป็เพียงอนุภรรยาจะปฏิบัติต่อบุตรธิดาของฮูหยินผู้เป็ภรรยาเอกด้วยความจริงใจได้อย่างไรเล่า ไล่มาอยู่ท้ายสวนไกลขนาดนี้ก็ถือเป็เื่ปรกติ
บรรยากาศรอบด้านชั่วขณะนั้นเต็มไปด้วยความอึดอัด หวางอีหลันหันไปยิ้มและพูดคุยกับโม่เสวี่ยิ่ “ได้ยินมาว่าคุณหนูสามสุขภาพไม่แข็งแรงมาโดยตลอด ฤดูหนาวเช่นนี้ก็ยิ่งต้องเพิ่มความดูแลใส่ใจให้มากขึ้น ่ก่อนหน้านี้ญาติผู้น้องของข้าคนหนึ่ง เพราะสุขภาพไม่ดีจึงเอาแต่นอน คิดไม่ถึงว่ากลับทำให้ร่างกายยิ่งอ่อนแอลงไปอีก จึงต้องออกมาเดินรับแสงแดดให้มาก”
“ก็จริง น้องสามของข้าร่างกายไม่สู้ดี นับั้แ่มารดาของตนจากไป นางก็ตรอมใจจนล้มป่วย ที่ต้องรั้งอยู่เมืองอวิ๋นเฉิงเมื่อก่อนนี้ก็เพราะป่วยหนักจนลุกจากเตียงไม่ขึ้นนี่แหละ ท่านพ่อเองก็จนใจ จึงต้องไหว้วานบ้านของท่านยายช่วยดูแล แม้ว่าตอนนี้จะดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่ค่อยแข็งแรงนัก” โม่เสวี่ยิ่มุ่นคิ้วเล็กน้อย สีหน้าดูวิตกกังวล
“วันนี้อากาศไม่เลว พวกเราไปชวนน้องหญิงสามมาเดินเล่นในสวนกันเถอะ ให้นางออกมารับแสงแดดบ้าง ทุกคนก็อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันพอดี” โม่อวี่เฟิงเอ่ยปากสนับสนุน
ระหว่างที่พูดคุยกันพวกเขาก็เดินมาถึงเรือนชิงเวย โม่เสวี่ยถงออกมาต้อนรับที่ชายคาระเบียง
วันนี้นางสวมชุดกระโปรงแพรต่วนสีเขียวมรกตปักดิ้นเงินเป็ลวดลายดูงดงามเฉิดฉาย ปลายแขนเสื้อปักด้วยเส้นไหมสีเขียวเข้ม ที่ชายกระโปรงปักลายใบบัวซ้อนเรียงเป็ชั้นๆ ยามเยื้องกรายใบบัวเ่าั้ราวกับลอยละล่องอยู่เหนือผิวน้ำ ดูเหมือนมีชีวิตจริงๆ นางมุ่นผมทรงเมฆเหิน ปักปิ่นเงินแกะสลักประดับอัญมณีเป็แนวเฉียง หยกเขียวมรกตทรงหยาดน้ำที่ระย้าลงมาข้างใบหูเปล่งประกายสดใส สอดรับกับผิวขาวกระจ่างปานหิมะงามพิสุทธิ์ ประหนึ่งดอกบัวที่กำลังชูช่อเบ่งบาน
ดวงตาทรงเสน่ห์ดูสุขุมเยือกเย็นแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน ยามแย้มยิ้มพูดคุยกลับมิได้มีท่าทางหวาดกลัวผู้คนหรือขี้อายเหมือนคราที่อาศัยอยู่ในจวนฉิน ภาพลักษณ์ของนางในยามนี้ดูเรียบร้อยสง่างามสมฐานะธิดาภรรยาเอกทุกกระเบียด แตกต่างกับตอนที่เพิ่งออกมาจากสกุลฉินลิบลับ ไม่เพียงแต่ลักษณะท่าทางที่เปลี่ยนไป แม้แต่รูปร่างหน้าตาก็เริ่มจะเปลี่ยนไปด้วย รูปหน้าเรียวขึ้น เอวบางร่างน้อย ดูเป็ดรุณีน้อยวัยแรกแย้มน่ารักสดใส
“น้องหญิงสามดูแข็งแรงขึ้นมากแล้วนี่ พี่สาวพาแขกของบ้านเรามาเยี่ยม วันนี้อากาศดี ถือโอกาสแวะพาเ้าออกไปเดินเล่นในสวนด้วยกัน” โม่เสวี่ยิ่เข้ามาหา ใบหน้าอาบอิ่มไปด้วยรอยยิ้ม คำพูดสองสามประโยคนี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงน้ำใจระหว่างพี่น้อง ยังใช้แขกมาเป็ข้ออ้าง แม้ว่าโม่เสวี่ยถงคิดจะปฏิเสธก็พูดลำบาก
“พี่หญิงใหญ่ สุขภาพของข้ายังอ่อนแออยู่ไม่น้อย เกรงว่าจะเดินมากไม่ไหว ทำให้ทุกท่านหมดสนุกเปล่าๆ ไม่สู้ให้พี่หญิงพาแขกเดินชมสวน ส่วนทางนี้ข้าจะเตรียมน้ำชาไว้รับรอง รอพวกท่านเดินจนเหนื่อยแล้ว ค่อยมาดื่มชาด้วยกันดีหรือไม่” โม่เสวี่ยถงปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม
“ไปเถอะ หากรู้สึกเหนื่อยก็ไปนั่งพักผ่อนชมดอกเหมยก็ได้ เมื่อเช้านี้ได้ยินว่าดอกเหมยในสวนบ้านเราบานแล้ว ต้นเหมยเหล่านี้มีมาั้แ่ก่อนที่พวกเราจะย้ายเข้ามาอยู่เสียอีก เล่ากันว่าพวกมันไม่ออกดอกมาสองปีแล้ว เมื่อปีที่ผ่านมาแม้ว่าจะผลิดอกเบ่งบาน แต่ก็มีเพียงไม่กี่ช่อ สีสันก็ไม่ค่อยงดงาม แต่ปีนี้ได้ยินบ่าวไพร่พูดกันว่าต้นเหมยบ้านเราออกดอกบานสะพรั่ง สีสันก็งดงามยิ่ง แตกต่างจากปีที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะช้ากว่าบ้านอื่นสักหน่อย แต่ก็ถือว่ายังอยู่ใน่เวลาที่เหมาะสม ไม่สายเกินไปสำหรับการชมดอกเหมย” โม่เสวี่ยิ่รบเร้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อีกประเดี๋ยวหากเ้ารู้สึกเหนื่อยก็พักผ่อนที่นั่นสักครู่ก็ได้ ข้าจะสั่งให้บ่าวไพร่จัดเตรียมศาลาที่นั่นไว้ ข้างในก็มีเตาผิงให้ความอบอุ่น พรั่งพร้อมไปด้วยสุราอาหาร ชมเหมย จิบสุราไปพลาง ก็ถือเป็ความรื่นรมย์อย่างหนึ่ง” โม่เสวี่ยิ่กล่าวด้วยรอยยิ้มและเข้ามาจูงมือนางไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งก็จูงมือของหวางอีหลัน
ดูเหมือนว่าโม่เสวี่ยิ่เตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้ว พูดมาถึงขนาดนี้ หากนางยังบอกว่าไม่ไปอีกก็จะดูเป็การเล่นตัวเอาแต่ใจเกินไป
“พี่สามก็ไปเถอะหน่า พี่หญิงใหญ่จะได้ไม่เสียน้ำใจ ตอนที่ข้ามาถึงก็เห็นสาวใช้ประจำตัวของพี่หญิงไปจัดเตรียมสถานที่ไว้แล้ว อย่าให้พวกนางต้องเสียแรงเปล่า ดูอย่างข้าสิ ยังต้องอาศัยบารมีของพี่หญิงใหญ่จึงจะเฉิดฉายได้เลย” โม่เสวี่ยฉงหัวเราะคิกคัก พูดอยู่ด้านหลัง
เพียงแต่วาจาเหล่านี้กลับทำให้โม่เสวี่ยิ่สีหน้าดำทะมึน
นี่เป็การแขวะถึงเหตุการณ์ไฟไหม้โถงบูชาบรรพชน แม้ว่าโม่เสวี่ยฉงมิได้เอ่ยปากทัดทาน แต่ก็มิได้หมายความว่านางยอมรับด้วยความเต็มใจ แต่โม่เสวี่ยิ่กลับรู้สึกเพียงว่าน้องสาวคนเล็กของตนผู้นี้นับวันก็ยิ่งปากร้าย ไม่อาจพาออกมาพบปะผู้คนได้อย่างแท้จริง จึงแสร้งทำเป็ไม่ได้ยินไปเสีย นางย่อมไม่ทำอะไรโม่เสวี่ยฉงเวลานี้ ก็แค่สตรีไร้ความคิดคนหนึ่ง ชอบเอะอะโวยวายควบคุมปากของตนเองไม่ได้ มีแต่จะทำให้ตนเองเสื่อมเสียชื่อเสียง
“เช่นนั้นก็รบกวนพี่หญิงใหญ่แล้ว” โม่เสวี่ยถงยิ้มกล่าวเสียงเรียบ แกล้งทำเป็ไม่เห็นแววตาลำพองใจที่ทอวาบอยู่ในแววตาของโม่เสวี่ยิ่
ทางด้านโม่หลันได้เตรียมเสื้อคลุมกันลมไว้ให้แล้ว และช่วยสวมทับให้นาง
พวกเขาต่างเดินกันไปคุยไป ทิ้งให้โม่เสวี่ยฉงเงียบเหงาอยู่คนเดียว โม่เสวี่ยฉงย่อมรู้สึกหมดสนุก แค่นเสียงฮึดฮัดไม่พอใจอยู่สองสามหน แต่ก็มิได้ร้องโอดครวญแม้แต่คำเดียว เพียงเดินตามหลังพวกนางเข้าไปในสวน
“คุณหนูใหญ่ ย่างเข้าฤดูวสันต์สำนักศึกษาพิณของคุณชายไป๋ก็จะเปิดแล้ว ไม่ทราบว่าคุณหนูในจวนของพวกท่านได้เข้าร่วมหรือไม่” จู่ๆ หวางอีหลันก็ถามเื่นี้ขึ้น
“สำนักศึกษาพิณของคุณชายไป๋ล้วนมีแต่คุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ เกรงว่าพวกเราพี่น้องคงไม่มีวาสนาหรอกกระมัง” โม่เสวี่ยิ่ยิ้มอ่อนโยน แล้วหันมากล่าวกับโม่เสวี่ยถง “น้องสาม ได้ยินว่าเ้ารู้จักมักคุ้นกับคุณชายไป๋มิใช่หรือ คราวก่อนที่เ้าป่วย คุณชายไป๋ยังมาช่วยรักษาให้เป็พิเศษ ทั้งยังอยู่เฝ้าจนกระทั่งฟื้น เ้าก็ช่วยคิดหาคำพูดดีๆ ขอร้องคุณชายไป๋ให้เลือกพวกเราพี่น้องด้วยสิ” แม้คำพูดนี้จะดูเหมือนเป็การกระเซ้าเย้าแหย่ แต่กลับเป็การลากโม่เสวี่ยถงให้มาพัวพันกับไป๋อี้เฮ่า
“คุณหนูสามกับคุณชายไป๋คุ้นเคยกันมากเลยหรือ” ดวงตาของหวางอีหลันพลันสว่างวาบ
“หรือพี่หญิงใหญ่ไม่ทราบว่าคุณชายไป๋เห็นแก่สถานะของท่านจึงยอมรักษาให้ข้า ข้าเป็เพียงบุตรสาวของขุนนางขั้นห้าที่เพิ่งจะเข้ามาเมืองหลวง ไหนเลยจะมีโอกาสรู้จักกับคุณชายไป๋ได้เล่า” โม่เสวี่ยถงกะพริบตาปริบๆ ตอบคำถามด้วยสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ เมื่อเห็นสีหน้าคนฟังดูอึ้งงันก็รีบยกมือขึ้นปิดปาก คล้ายกับว่าเป็การเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง
พลันทำตาละห้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงชวนให้น่าสงสาร “โอ๊ะ... ไม่ใช่ๆ เื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับพี่หญิงใหญ่ ข้าเข้าใจผิดไปเอง เห็นวันนั้นคุณชายไป๋ถามถึงท่าน... ข้าก็เลยพานสับสน ที่จริงแล้วญาติผู้พี่ของข้าเป็สหายกับคุณชายไป๋ ถึงเชิญเขามาได้ ข้าจึงได้อาศัยบารมีไปด้วย”
ท่าทางมีพิรุธของนางทำให้ผู้คนเกิดความสงสัย แต่ไม่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม โม่เสวี่ยฉงเป็คนแรกที่เชื่อไปแล้ว
มิน่าเล่ายามที่โม่เสวี่ยิ่กับซือหม่าหลิงอวิ๋นเกิดเื่เสื่อมเสียชื่อเสียงกันขึ้น โม่เสวี่ยิ่จึงไม่ยอมรับปากง่ายๆ ที่แท้เพราะหมายใจต่อศักดิ์ตระกูลที่สูงกว่านี่เอง ตอนนี้นางไม่ชอบขี้หน้าอีกฝ่ายอยู่แล้ว ย่อมคิดหาทางปัดแข้งปัดขา
โม่เสวี่ยฉงรอให้โม่เสวี่ยถงพูดจบ ก็กล่าวเสริมเสียงดังฟังชัด “พี่สาม ท่านเพิ่งเข้ามาเมืองหลวงย่อมไม่มีโอกาสได้พบกับคุณชายไป๋ แต่เมื่อก่อนพี่หญิงใหญ่เป็สตรีมีพร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์อยู่บ่อยครั้ง การได้พบปะกับคุณชายไป๋บ้างก็ไม่ใช่เื่ยากอันใด”
โม่เสวี่ยิ่โมโหจนหน้าดำหน้าแดง
ทั้งสองคน คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับกันอย่างกลมกลืนเหมือนแพรฟ้าไร้ตะเข็บ ราวกับว่าที่ไป๋อี้เฮ่ามารักษาอาการป่วยให้โม่เสวี่ยถงถึงจวนโม่เป็เพราะนาง สายตาของหวางอีหลันที่มองมาที่นางจึงดูผิดปรกติไปจากเดิม
นางแค่คิดอยากจะป้ายสีโม่เสวี่ยถง แต่ไม่คิดว่าจะถูกพวกนางสองพี่น้องรวมหัวกันใช้สี่ตำลึงปาดพันชั่ง แค่วาจาเพียงเล็กน้อยก็สามารถสาดโคลนกลับมาที่ตนเองได้ เบื้องลึกดวงตาฉายแววเย็นเยียบ แต่นางจะอดทน ดูไปเถอะ ว่าอีกประเดี๋ยวนังแพศยาน้อยจะเอาตัวรอดจากความผิดได้อย่างไร ฟางอี๋เหนียงลงทุนลงแรงมากมายถึงเพียงนั้น โม่เสวี่ยถงจะรอดพ้นจากความตายได้อีกหรือ
ยามนั้นจึงแสร้งกล่าวกับโม่เสวี่ยฉงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“น้องสาม น้องสี่ พวกเ้าเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว พี่สาวมิได้คุ้นเคยกับคุณชายไป๋แม้แต่น้อย เห็นคุณชายไป๋ช่วยเหลือน้องสามไว้ถึงสองครั้งก็เลยนึกว่าน้องสามกับคุณชายไป๋รู้จักมักคุ้นกัน ที่แท้ก็เพราะเห็นแก่หน้าของฝู่กั๋วกงซื่อจื่อนี่เอง” โม่เสวี่ยิ่แสดงท่าทางใจกว้างไม่นำพากับเื่เล็กน้อย
ด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย ทำให้ผู้คนเข้าใจว่านางเป็คุณหนูใหญ่ที่วางตัวเหมาะสม มีจิตใจกว้างขวางไม่คิดเล็กคิดน้อย เหมือนจันทราฤดูสารทที่ทอแสงสีเงินยวงนุ่มนวลเปล่งประกาย ความแคลงใจของคนอื่นๆ จึงค่อยคลายไป กุลสตรีดีงามเช่นนี้จะลักลอบมีสัมพันธ์ส่วนตัวในเชิงชู้สาวได้อย่างไร
“่นี้น้องสี่คงหลับไม่สบายหรืออย่างไร คำพูดคำจาจึงเหมือนประทัดะเิฟังไม่เข้าหูเยี่ยงนี้ หากน้องสี่ไม่อยากไปเดินเที่ยวกับพวกเราก็กลับเรือนไปพักผ่อนเสียเถิด” โม่อวี่เฟิงทนไม่ไหวจึงกล่าวตำหนิเสียงดุพลางถลึงตาใส่ ทำให้โม่เสวี่ยฉงที่กำลังจะอ้าปากพ่นวาจาร้ายกาจออกมาต้องเก็บคำพูดกลับไป
“คุณหนูเ้าคะ กุ้ยเยวี่ยสาวใช้ประจำตัวของฟางอี๋เหนียงมาตามหาคุณหนู พอได้ยินว่าท่านไปเรือนชิงเวยของคุณหนูสาม ยามนี้กำลังตามมาเ้าค่ะ” โม่ซิ่ววิ่งมาจากด้านหลัง กล่าวรายงานต่อโม่เสวี่ยิ่
“อี๋เหนียงมีธุระอันใด หากไม่เร่งรีบก็ให้นางรอไปก่อน อีกประเดี๋ยวข้าค่อยไปหาที่เรือนหลีหวา” โม่เสวี่ยิ่หยุดเดิน มุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนกล่าวอย่างไม่สะดวกใจ
“เรียนคุณหนูใหญ่ อี๋เหนียงออกมาแล้วเ้าค่ะ ยามนี้กำลังไปที่เรือนชิงเวย แต่เรือนของคุณหนูสามอยู่ไกลนัก แม้ว่าบ่าวจะไปตอนนี้ก็คงใช้เวลาอีกครู่ใหญ่ อี๋เหนียงคงไม่มีแรงย้อนกลับมาหรอกเ้าค่ะ” โม่จิ่นสีหน้าลำบากใจ ฟางอี๋เหนียงกำลังตั้งครรภ์ ่นี้ก็ไม่เคยออกมานอกเรือน ยามนี้กลับไปที่เรือนชิงเวย หนทางก็ไกลนัก หากจะต้องย้อนกลับมาทางเดิมก็ต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่ง
ร่างกายของนางย่อมไม่ไหวแน่นอน น่าจะต้องพักอยู่กลางทางครู่หนึ่งจึงค่อยย้อนกลับมาได้
“น้องสามให้อี๋เหนียงเข้าไปพักผ่อนที่เรือนของเ้าก่อนได้หรือไม่ รอให้นางมีแรงก่อนค่อยกลับ หลังจากต้อนรับแขกเรียบร้อยแล้วค่อยไปพบนาง” โม่เสวี่ยิ่มองไปที่โม่เสวี่ยถงด้วยรอยยิ้ม
เมื่อครู่ท้องฟ้ายังสดใสมีแสงแดดอยู่ แต่ยามนี้กลับครึ้มลง แม้แต่อากาศก็หนาวเย็นขึ้น สายลมจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือบาดแก้มจนรู้สึกเจ็บ อากาศคล้ายหิมะกำลังจะตก หากปล่อยให้สตรีมีครรภ์เดินอยู่ข้างนอกในสภาพอากาศเยี่ยงนี้ ก็จะทำให้ผู้คนนึกตำหนิโม่เสวี่ยถงได้ว่าเป็คนเืเย็นไม่เคารพผู้ใหญ่ ขาดความกตัญญู
โม่เสวี่ยิ่ย่อมต้องให้ฟางอี๋เหนียงพักผ่อนในเรือนของตนเองอยู่แล้ว ไม่ช้าไม่เร็วก็จะเกิดเื่ขึ้นที่นั่น
ช่างเลือกโอกาสและเวลาได้ดียิ่ง!