มู่หรงฉือไม่สามารถยืนยันได้ว่าเขาได้ลูบลำคอของตัวเองไปแล้วหรือไม่ ในใจพลันรู้สึกประหม่า
หากเขารู้ว่าตนคือสตรี นางไม่อยากจะคิดถึงผลที่จะตามมา เขาคงจะพูดเื่ฉาวโฉ่ของราชวงศ์ที่นางเป็สตรีแต่งตัวเป็บุรุษ ทำลายตำแหน่งองค์รัชทายาทของนางทิ้ง แล้วให้นางเปลี่ยนมาเป็องค์หญิง
เชื่อว่าเพียงไม่นาน แคว้นเป่ยเยี่ยนก็จะตกอยู่ในกำมือของเขา กลายเป็นายแห่งแคว้น เปลี่ยนรัชศก
ยิ่งคิดก็ยิ่งใ ทั้งตัวราวกับจมลงไปในน้ำแข็ง มือไม้เย็นเยียบไปหมด
ทำอย่างไรดี?
ทว่า เมื่อครู่เหตุใดเขาถึงได้พยายามช่วยเหลือและคุ้มกันนางถึงเพียงนั้น?
นางมองความคิดที่ซ่อนเอาไว้ลึกๆ ของบุรุษผู้นี้ไม่ออก
ริมฝีปากบางของมู่หรงอวี้ยกขึ้น พูดหยอกล้อ “กำลังคิดว่าจะสังหารเปิ่นหวางอย่างไรหรือ?”
“เมื่อครู่เหตุใดท่านถึงปกป้องเปิ่นกง?”
“อยากรู้หรือ?” ริมฝีปากของเขายกยิ้มร้ายกาจ “เ้าจูบเปิ่นหวางครั้งหนึ่ง เปิ่นหวางก็จะบอกเ้า”
มู่หรงฉือถลึงตามองเขาอย่างหงุดหงิด ไม่อยากจะพูดกับเขาอีก
เขาหัวเราะเสียงทุ้ม เสียงหัวเราะดังก้องไปตามทางเดิน
“อยากรู้ว่าเหตุใดเปิ่นหวางถึงได้คิดว่าประตูที่โรงงานนั้นมีอะไรแปลกๆ หรือไม่?”
“ไม่อยากรู้” ความจริงแล้วตอนที่นางเห็นประตูบานนั้นก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้ถามออกมา ไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น
ลองคิดๆ ดูแล้ว โรงงานกว้างใหญ่แต่เหตุใดถึงได้มีประตูบานนั้นปรากฏอยู่ที่นั่น? ทั้งยังใช้เหล็กปิดเอาไว้อย่างดี มันไม่ยิ่งน่าแปลกหรือ?
มู่หรงอวี้พูดเสียงเข้ม “การลอบค้าอาวุธคงไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้น บางทีอาจจะมีมาได้่หนึ่งแล้ว”
มู่หรงฉือขมวดคิ้วอย่างคาดเดา “พวกเขาเอาอาวุธไปขายให้กับใครกัน? จะเป็แคว้นตงฉู่ แคว้นหนานเยว่หรือแคว้นซีฉิน?”
หากเป็การค้าอาวุธให้ต่างแคว้นจริง เช่นนั้นผลที่ตามมาย่อมหนักหนามาก
“ต้องหาคนที่ซื้ออาวุธให้เจอถึงจะสามารถจับทั้งผู้ซื้อผู้ขายมาลงโทษได้” ดวงตาสีดำของเขาแผ่ไอเย็น
“พวกเราแหวกหญ้าให้งูตื่นไปแล้ว ่นี้พวกเขาไม่กล้าขนส่งอาวุธออกไปแน่”
“เตี้ยนเซี่ยขโมยสมุดบัญชีออกมาเล่มหนึ่ง?”
พูดไป มู่หรงอวี้ก็หยิบสมุดบัญชีเล่มบางออกมาจากตัวของนาง นางอยากจะห้ามแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว จึงทำได้แค่ถลึงตาใส่เขา
เหตุใดเขาถึงรู้?
เขาเปิดดูสมุดบัญชีอย่างรวดเร็ว นิ้วหัวแม่มือลูบไล้แก้มของนาง “ร่างกายของเ้านุ่มนิ่ม มีอยู่ที่เดียวที่แข็ง จะต้องใส่สมุดเอาไว้แน่นอน”
มู่หรงฉือได้ยินก็ขัดเขินเป็อย่างยิ่ง มองค้อนเขา แต่เขาตั้งใจอ่านสมุดบัญชีอยู่
“สมุดบัญชีนี้จดบันทึกการค้าขายที่แอบเอาอาวุธออกไปขายทุกรายการ จดบันทึกเอาไว้ได้ชัดเจนมาก” ดวงตาของเขาเย็นเยียบ เต็มไปด้วยโทสะ “บังอาจกระทำความผิดใหญ่หลวงเช่นนี้ เอาม้ามาแยกร่างให้เป็ห้าส่วนก็ยังไม่พอ!”
“แน่นอนสิ ยังมีสมุดบัญชีอีกหลายเล่ม” นางมองพิจารณาเขา ท่าทางโมโหของเขาเหมือนไม่ได้เสแสร้ง
เื่ลอบค้าอาวุธนั้นเขาไม่ได้เข้าร่วม?
ในแววตาของมู่หรงอวี้ทอประกายคมดังมีด “บางทีที่พวกว่านฟางซื้อขายอาจจะไม่ได้มีแค่อาวุธเท่านั้น ยังมีอย่างอื่นด้วย”
มู่หรงฉือตกตะลึง คำพูดนี้ของเขาหมายความว่าอย่างไร?
เขาพูดเสียงเย็น “สูตรในการสร้างดินปืน ภาพร่างแบบปืนใหญ่ แผนภาพการสร้างอาวุธลับทางทหาร มีความเป็ไปได้ที่ว่านฟ่างจะเอาความลับของแคว้นเป่ยเยี่ยนของพวกเราไปขาย”
นางตื่นตระหนกขึ้นมาทันที กัดฟันแล้วพูด “ว่านฟางสมควรตาย!”
เื่นี้หากจะตรวจสอบทั้งหมดจำเป็ต้องใช้เวลาหลายวัน คิดว่าหากตรวจสอบขึ้นมาก็คงจะไม่ราบรื่นเท่าใดนัก
นางจ้องเขานิ่งๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่ซ่อนอยู่ในความมืดของเขาเจือความดุดัน
ถึงแม้ว่าใต้ดินจะทั้งมืดและเย็น แต่ว่าการกอดกันเป็เวลานานเช่นนี้ก็ทำให้ร้อนได้ จนถึงขั้นหายใจไม่ออก
ทั้งสองคนค่อยๆ รู้สึกว่าหายใจลำบาก มู่หรงอวี้พูดขึ้น “เปิ่นหวางส่งเ้าออกไปก่อนดีกว่า”
“ออกไปได้หรือ?” มู่หรงฉือดีใจ
“ร่องนี้เพียงพอที่จะให้เ้าปีนออกไป เ้าระวังหน่อย”
เขาอุ้มนางขึ้น ก่อนที่นางจะยืมแรงเขาปีนขึ้นไปบนหินกลม ถึงแม้ว่าหินก้อนใหญ่นั้นจะลื่นอยู่เล็กน้อย แต่โชคดีที่พื้นผิวของหินั์ไม่เหมือนกับหินขาวที่ใช้ในพระราชวัง หินแบบนั้นจะลื่นมาก
นางปีนขึ้นไปได้อย่างราบรื่น ก่อนจะะโลงมา ในที่สุดก็หลุดออกไปได้ นางถามด้วยความดีใจ “ท่านสามารถออกมาด้วยตัวเองได้หรือไม่?”
เขาส่ายหน้า “เตี้ยนเซี่ยไปก่อนเถิด หรือไม่ก็ไปหาคนมาช่วยเปิ่นหวาง”
มู่หรงฉือเงียบไปครู่หนึ่ง “เปิ่นกงสามารถออกมาได้ ท่านมีวิทยายุทธ์แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นจะขึ้นมาไม่ได้ได้อย่างไร?”
“เตี้ยนเซี่ยไปก่อนเถิด” มู่หรงอวี้พูดเสียงเรียบ
“ท่านจะไม่ออกมาจริงๆ หรือ?” นางพูดหน้าตึง “เปิ่นกงจะโกรธจริงๆ แล้วนะ”
“ไม่มีอะไรที่ปิดเ้าได้จริงๆ” เขาหัวเราะก่อนจะดีดตัวขึ้นไปบนก้อนหินใหญ่ แล้วะโลงไปอย่างสบายๆ
“ไปเถิด” นางเดินนำไปด้านหน้าโดยไม่หันมามอง
“เตี้ยนเซี่ยไม่อยากทิ้งเปิ่นหวางแล้วออกไปก่อน เห็นได้ชัดว่าเตี้ยนเซี่ยเป็คนที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์” เขาเดินตามมา น้ำเสียงบ่งบอกว่ากำลังอารมณ์ดี
“นั่นก็เพราะว่าเปิ่นกงไม่อยากจะมาที่นี่อีก” นางพูดอย่างอารมณ์เสีย
มู่หรงอวี้ไม่พูดมากอีก เมื่อครู่ได้ทำการทดสอบเล็กๆ ไปแล้วครั้งหนึ่ง นั่นหมายความว่าเตี้ยนเซี่ยไม่ได้เกลียดเขา
กลับมาถึงทางแยกเดิม พวกเขาก็เดินเลี้ยวไปอีกทางแล้วเดินหน้าไป
เส้นทางนั้นยาวมาก ยิ่งเดินไปข้างหน้าทางก็ยิ่งมืดสลัวลงเพราะไม่มีแสงไฟแล้ว
มู่หรงฉือหยิบไข่มุกแสงจันทร์ออกมา “ทางเส้นนี้ดูเหมือนจะยาวมาก”
เขาตอบกลับ “คงจะยาวราวสิบลี้”
ทันใดนั้น เขาก็จูงมือนางแล้วตั้งใจฟังเงียบๆ “ด้านหลังมีคนมา”
นางเงี่ยหูฟังแต่ก็ไม่ได้ยินอะไร เห็นได้ชัดว่าวิทยายุทธ์ของเขานั้นแข็งแกร่งเพียงไหน นางทำได้แค่ยื่นคอไปดู
“ทหารที่ตามมาด้านหลังอีกประเดี๋ยวก็จะตามทันแล้ว เก็บไข่มุกเข้าไป”
มู่หรงอวี้ลากนางวิ่งไปด้านหน้า แต่วิ่งไปได้ครู่หนึ่งก็หยุดลง เพราะเขาพบว่าทางเลี้ยว่หนึ่งด้านหน้ามืดมาก ยกมือขึ้นก็ไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า อีกทั้งด้านข้างยังมีซอกที่สามารถมุดเข้าไปซ่อนตัวได้
มู่หรงฉืออาศัยแสงที่มีอยู่น้อยนิดของไข่มุกมองเข้าไปในซอกเล็กๆ นั้นให้ชัดเจน พบว่ามีหินพื้นเรียบก้อนหนึ่งที่สามารถนั่งลงไปได้
ในตอนที่นางคิดจะนั่ง เขากลับนั่งลงไปก่อนแล้ว
นางถลึงตาใส่เขาอย่างหงุดหงิด คนผู้นี้เหตุใดถึงได้ไม่มีความเป็สุภาพบุรุษเลยสักนิด
เขาดึงนางเข้าไปในอ้อมแขน แล้วกอดนางเอาไว้แน่น
นางโกรธจนตัวสั่น อยากจะกัดเขาให้ตาย เขาเป็เช่นนี้ทุกครั้ง ชอบฉวยโอกาสในยามอันตราย
“ชู่ว”
มู่หรงอวี้ส่งเสียงเตือน แล้วกอดนางจากด้านหลัง กุมมือทั้งสองของนางเอาไว้อย่างเพลิดเพลิน
ตอนนี้นางพลันได้ยินเสียงฝีเท้าคนที่ไล่ตามมาด้านหลังเ่าั้
ฟังจากเสียงแล้ว คนที่ตามหลังมานั้นมีหลายสิบคน
ในความมืด แขนซ้ายของเขาพาดมาโดนหน้าอกของนาง โชคดีที่นางใช้ผ้าพันเอาไว้ ไม่เช่นนั้นก็คงเป็ละครบทโศกเสียแล้ว
นางอดทนอย่างเงียบๆ เื่ตรงหน้ากำลังเร่งด่วน ช่างมัน ช่างมัน นางจะเปิดเผยความสามารถออกไปไม่ได้เด็ดขาด ทั้งหมดมีเขาคอยปกป้องอยู่ ขอเพียงปล่อยให้เขา ‘ทำตามปรารถนา’ ไปก่อนชั่วคราว
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นางไม่รู้ว่าเขาวางแผนจะทำอะไร ด้วยความสามารถของเขา หากจะสู้กับองครักษ์สิบกว่าคนพวกนั้นก็ง่ายดายเหมือนหั่นผักไม่ใช่หรือ? จำเป็ต้องเข้ามาหลบอยู่ตรงนี้ด้วยหรือ?
มู่หรงฉือลดเสียงให้เบาลงอย่างยิ่ง แล้วพูดความคิดที่ข้างหูของเขา
ภายในซอกนั้นมืดมาก นางมองไม่เห็นว่าเขาทำสีหน้าอย่างไร
มู่หรงอวี้ไม่ได้เปิดปาก เพราะตอนนี้สิบกว่าคนนั้นเดินมาถึงตรงนี้แล้ว พวกเขาไม่เห็นว่ามีคนอยู่ในซอกแล้วรีบวิ่งขึ้นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
นางขยับเล็กน้อยหมายจะลุกขึ้น แต่เขาส่งเสียงชู่วออกมา เป็ความหมายให้นางอย่าขยับ
ตอนนี้เงียบมาก มืดมาก มีเพียงกลิ่นหอมอบอุ่นแผ่กระจายไปทั่ว
ค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิอันทรงเสน่ห์แผ่สะพรั่งในความมืดมิด ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาจนตัวสั่นสะท้าน
ฝ่ามือของเขากุมมือของนางเอาไว้ มือของเขาลูบไล้ผิวของนาง ราวกับเขาสามารถควบคุมจุดอ่อนของนางได้ง่ายๆ ทำให้นางไม่กล้าขยับตัว
ทั้งสองคนอยู่ใกล้ชิดกันอย่างมาก ร่างของนางอยู่ในอ้อมกอดของเขา เขาก้มหน้าน้อยๆ โอบนางเอาไว้ ลมหายใจอุ่นร้อนพ่นอยู่รอบๆ ลวกแก้มของนาง เป็กลิ่นหอมอันเกินจะพรรณนา
ชั่วขณะหนึ่ง มู่หรงฉือขยับร่างกายที่แข็งทื่อเล็กน้อย ข้างแก้มเกิดเป็ััลูบไล้มา เป็ลมหายใจที่ใกล้ชิดจนแยกไม่ออกว่าเป็ของผู้ใด
ทั้งหมดเกิดขึ้นโดยปราศจากคำพูด
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางรู้สึกว่ากล้ามเนื้อที่ไม่เคยอ่อนปวกเปียกมาก่อน กลับี้เีไม่ยอมขยับ อยากจะพิงอยู่ในอ้อมกอดของคนผู้หนึ่งเช่นนี้ไปตลอดกาล ไม่มีบรรยากาศการฆ่าฟันนองเื ไม่มีมีดดาบ ทุกอย่างนิ่งสงบ ปลอดภัยมีความสุข ได้ใช้ชีวิตกับบุรุษผู้หนึ่งไปจนแก่เฒ่า ก็เหมือนจะเป็ทางเลือกที่ไม่เลว
ทันใดนั้น มู่หรงฉือก็ได้สติขึ้นมา หัวใจพลันเย็นเยียบ
เหตุใดถึงได้มีความคิดเช่นนี้?
เหตุใดถึงได้มีความคิดที่ไร้สาระน่าขันเช่นนี้กับมู่หรงอวี้?
ั้แ่นางรู้ความ นางเกิดมาก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ มีปณิธานเพียงหนึ่งเดียวก็คือการเป็องค์รัชทายาท ขึ้นครองราชย์เป็ฮ่องเต้ บริหารแคว้นเป่ยเยี่ยน เป็วีรบุรุษที่ชาญฉลาด เป็ฮ่องเต้ผู้เป็ที่รักของปวงประชา
เขามีความทะเยอทะยาน ดุดันเ็า เชี่ยวชาญการวางแผนกลยุทธ์ เป็คนที่เฉลียวฉลาดเกินใคร เป็ศัตรูตัวฉกาจของนาง ระหว่างนางกับเขามีเพียงความแค้นกับความเป็ความตาย จะไปมีความสัมพันธ์แบบชายหญิงได้อย่างไรกัน?
นางผุดลุกออกจากตัวเขา หอบหายใจแรง
มู่หรงอวี้เดินไปด้านหน้าด้วยฝีเท้าแ่เบา
คนหลายสิบคนที่อยู่ด้านหน้าในที่สุดก็เดินไปจนสุดทาง แต่อาจเป็เพราะหาคนที่เ้านายสั่งให้พวกเขามาจับไม่เจอ จึงรีบกลับไปที่กองทัพตรวจสอบอาวุธ
ทางออกของทางใต้ดินเป็พื้นที่รกร้างมีกิ่งไม้ใบหญ้ามาบดบังเอาไว้อย่างมิดชิด
ป่านอกเมืองเงียบสนิท แสงจันทร์สาดส่องลงมาท่ามกลางความมืดมิดในยามค่ำคืน มองสภาพแวดล้อมรอบๆ ได้ยากมาก
ลมในตอนกลางคืนพัดผ่านจนได้ยินเสียงซ่าๆ เบาๆ เพิ่มความประหลาดขึ้นมาหลายเท่า
เดินไปด้านหน้าได้ครึ่งลี้ ที่เท้าก็มีทางแยกสองเส้น มู่หรงอวี้พูดเสียงเข้ม “ทางเส้นนี้ไปตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนทางเส้นนี้เดินไปจะเป็ตะวันตกเฉียงใต้ ไม่ถึงหนึ่งลี้ก็จะถึงทางหลวง อาวุธก็ขนย้ายออกมาจากทางนี้ สะดวกมาก รถม้าก็ขับเข้ามาได้”
มู่หรงฉือถาม “ตอนนี้จะกลับไปที่กองทัพหรือไม่? ฉินรั่วยังอยู่ที่นั่น นางหาเปิ่นกงไม่เจอจะคิดว่าเกิดเื่กับเปิ่นกงได้”
“วางใจเถิด คนของเปิ่นหวางจะบอกกับฉินรั่วเองว่าเ้าไม่เป็อะไร ตอนนี้ฉินรั่วคงจะออกจากกองทัพไปแล้ว”
“เช่นนั้นพวกเราเล่า? กลับเข้าเมืองหรือ?”
แต่พวกเขาไม่มีม้าหรือรถม้า เดินจากตรงนี้กลับเมืองหลวง ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาเดินเท่าไหร่
มู่หรงอวี้ไม่ได้ตอบกลับ เพียงเดินไปด้านหน้า
นางเดินตามเขาไปได้ครึ่งลี้ก็เจอเข้ากับลำธารเล็กๆ
เขาหยิบกิ่งไม้แห้งขึ้นมาแล้วจุดไฟ นางกระหายน้ำเป็อย่างมาก จึงดื่มน้ำสะอาดในลำธารไปสองครั้ง จากนั้นก็นั่งพักลงบนหญ้านุ่ม
มู่หรงฉือแอบคิด ดูเหมือนเขาวางแผนจะอยู่รอที่นี่จนเช้าแล้วค่อยกลับเข้าเมือง
ความจริงแล้วนางสามารถส่งสัญญาณบอกฉินรั่วหรือติดต่อหรงจ้านได้ แต่ว่าหากทำเช่นนี้แล้วเขาคงจะสงสัย ส่วนเขาเองก็จะต้องมีวิธีติดต่อกับลูกน้องอยู่แล้ว เพียงแต่เหตุใดเขาถึงไม่ติดต่อแล้วรีบกลับเข้าเมืองเล่า?
“กลับเข้าเมืองกันเถิด ท่านอ๋องมีวิธีติดต่อกับลูกน้องหรือไม่?” นางถามเสียงเรียบ
“ไม่รีบ” มู่หรงอวี้พูดเสียงสบายๆ นั่งห่างจากกองไฟ่นึ่งก่อนจะล้มตัวลงนอน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้