เด็กหนุ่มนอนเอกเขนกอยู่บนพื้นหญ้า
สองขาชันขึ้น ในปากเคี้ยวหญ้าต้นหนึ่ง ใบหน้ามีแววซีดเซียว ทว่ารอยยิ้มนั้นยังคงอบอุ่นไม่เปลี่ยน
หางตาทั้งสองเชิดขึ้นน้อยๆ คิ้วดกดำเป็เส้นตรง
ยามหลัวอู๋เลี่ยงมาถึงแล้วพบกับภาพตรงหน้า ก็รู้สึกว่าเ้าเด็กหนุ่มนี่ช่างสบายอกสบายใจเสียเหลือเกิน เมื่อผนวกกับแววตาใสซื่อนั้น ช่างดูราวกับว่าเด็กหนุ่มที่เืโทรมกายซ้ำยังแววตาดุร้ายกับหมาป่าคนเมื่อวานนั้น มิใช่คนเดียวกันกับคนตรงหน้านี้
เมื่อนางกวาดตามองคราหนึ่ง สายตานางก็ไปสะดุดกับมือของเด็กหนุ่ม นิ้วมือเรียวยาวนั้นกำลังลูบศีรษะให้ทารกน้อยเบาๆ
ทารกน้อยนอนหงายทำมือชี้ขึ้นฟ้า ในสองมือคู่น้อยนั้นก็มิรู้ว่าจับอันใดอยู่ เห็นเพียงนางนั้นกำลังชูมือขึ้นสูงแล้วโบกมันไปมา ส่วนสองเท้านั้นก็ยกขึ้นเตะเป็บางครั้งครา
หญิงงามเมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของทารกก็เผลอหัวเราะ “หึ หึ” ออกมา
ทว่านางรีบเม้มปากเก็บเสียงหัวเราะนั้นเสีย
นางรู้สึกว่าหัวเราะในยามนี้ดูจะไม่เหมาะสมนัก
ด้วยเมื่อวานที่นางเห็นเ้าตัวเล็กยังร้องงอแงเมื่อเห็นพี่ชายตนทั้งร่างคาวไปด้วยกลิ่นเืเข้มข้นเสียจนแทบพาคนรอบกายวิงเวียนด้วยกลิ่นนั้น
บัดนี้แม้เด็กหนุ่มจะดูสบายอารมณ์ไม่เบา แต่ความจริงอาการก็ยังคงสาหัสนัก ดูได้จากที่เ้าเด็กนี่เอาแต่นอนนิ่งไม่เคลื่อนไหว หากมีแต่เพียงมือเท่านั้นที่ยังขยับลูบศีรษะให้เ้าตัวน้อยเบาๆ
ถึงกระนั้นเมื่อนางเห็นสภาพเ้าเด็กนี่นั่นเป็เช่นนี้ ในใจก็พลันปวดแปลบ
“ได้ยินมาว่าครั้งนี้เ้าแสดงฝีมือได้ไม่เลว ฝีมือเช่นนี้เ้าขอไปเป็ด่านหน้าเสียก็ยังได้” หลัวอู๋เลี่ยงเม้มปากด้วยท่าทีเคร่งขรึม ก่อนกล่าวออกมา
อาลู่เมื่อได้ยินคำของแม่นางหลัวก็พลันใ ก่อนจะเข้าใจความหมายที่นาง้าสื่อ
ก่อนหน้ายามที่เขาเจอแม่นางหลัว เขายังมือเท้าแทบพันกัน เหตุเพราะนางนั้นช่างงดงามเกินใคร ทว่าหลังจากที่เขาได้ผ่านเหตุการณ์เมื่อวาน ในใจเขาก็บังเกิดความรู้สึกขยาดสตรีเพศ โดยเฉพาะสตรีที่อบอุ่นเละงดงามเช่นนี้ ที่ยามเผยอยิ้มน้อยๆ ก็งดงาม ยามเม้มปากเบาๆ ก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูอย่างแม่นางหลัว ดังนั้นอาลู่จึงไม่ได้มีท่าทีกระวนกระวายเช่นนั้นอีก ซ้ำยังทำท่าทีราวกับตั้งอกตั้งใจคิด
“ขอบคุณท่านมาก” อาลู่กล่าวกับหลัวอู๋เลี่ยงด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของอาลู่ หลัวอู๋เลี่ยงก็รู้สึกแปลกใจ
เมื่อก่อนยามเด็กหนุ่มสนทนากับนาง ก็ล้วนทำท่าทางราวกับกำลังข่มใจไม่ให้ตื่นเต้นเกินเหตุอยู่เสมอ ทว่าวันนี้น้ำเสียงนั้นกลับราบเรียบราวกับทะเลไร้คลื่นก็ไม่ปาน
นางแทบไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้เลย
ขนาดเหล่าปายามเจอนางยังกล่าวอะไรก็ติดอ่างไม่เป็ภาษา
มิคาดคิดเลยว่าเ้าเด็กหนุ่มที่ยังไม่ทันเข้าวัยหนุ่มจะสามารถนิ่งเฉยต่อนางได้เช่นนี้
นางเห็นเช่นนี้ก็อดหันกลับมาหัวเราะไม่ได้
ยามใบหน้างามหัวเราะก็ราวกับเหมันต์พลันกลายเป็วสันต์ มวลไม้พากันผลิใบ หมู่บุปผาพากันเบ่งบาน ความงามพริ้งเพริศของนางนั้นช่างพาให้คนตะลึงพรึงเพริด
“มิต้องขอบใจข้า แค่เ้าตัวเล็กนางเอาแต่ร้องงอแงกับข้าอยู่ค่อนวัน เพียงแต่ถ้าเ้าได้เป็ด่านหน้าแล้วทำตัวฉลาดเฉลียวเสียหน่อย ก็คงจะได้ตายช้าลง”
หลัวอู๋เลี่ยงพูดไป พร้อมกับค่อยๆ ย่อกายลงนั่งข้างเด็กหนุ่ม
เสี่ยวชุน สาวใช้นั้นพอจะรู้อยู่แล้วจึงได้เตรียมการปูพรมขนสัตว์ไว้ล่วงหน้า พรมนั้นทั้งงดงาม ทั้งดูใหม่ บนพรมยังมีลายปักฝีเข็มละเอียดเป็ดอกไม้ดอกใหญ่
อาลู่แม้จะกล่าวได้ว่าท่าทางของเขานั้นมีแววระแวดระวังและเดียดฉันท์หญิงงามอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ยามแม่นางหลัวมานั่งอยู่ข้างกาย เขาก็ราวกับัักลิ่นหอมกำจรสายหนึ่งพัดผ่านหน้าไป จนทำให้ใจนั้นพาลรู้สึกไม่สงบ
ยามแม่นางหลัวนั่งลง เ้าตัวน้อยก็เพิ่งตื่นพอดี
เมื่อมองเห็นว่าคนที่ป้อนนมตนทุกวันมาถึงแล้ว นางก็รีบกลิ้งมาข้างเท้าหญิงงามอย่างรู้งาน
หลัวอู่เลี่ยงเมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นก็ทั้งโกรธทั้งขำ
เ้าตัวเล็กนี่ช่างตีสนิทนางเก่งเหลือเกิน ซ้ำยังี้เีเหลือเกินเช่นกัน
เพิ่งตื่นนอนแท้ๆ ก็เล็งมาทางนางเสียได้ กระทั่งดวงตาก็ยังลืมไม่เต็มตา แต่ยังเร่งกลิ้งมาหานางอย่างไม่กลัวเจ็บเอาเสียเลย
ยิ่งกว่านั้นตอนนางกลิ้งมายังหลับตากลิ้งมาเสียด้วยซ้ำ ก่อนจะจัดที่ทางให้ตนสบายตัว จากนั้นก็เริ่มเปิดเสื้อของแม่นางตรงตรงหน้า
อาลู่ไม่กล้าหันกลับไปมอง
เขานอนอยู่ด้านข้างนาง มองฟ้าอย่างงงงวย ก็มองเห็นก้อนเมฆสีขาว และพระอาทิตย์ ท้องฟ้ายามมองนั้นช่างแสนสุดไกล มีเมฆเคลื่อนคล้อยลอยเฉื่อย และเหยี่ยวตัวหนึ่งกำลังบินร่อน
หากได้บินร่อนอย่างมีอิสรเสรีเช่นเ้าเหยี่ยวนั่นคงดีไม่น้อย เขายังจำเื่ที่ท่านพ่อเล่าได้ว่านอกทุ่งหญ้านั้นยังมีูเาอยู่ลูกหนึ่ง บนูเานั้นมีเมืองอยู่ ซ้ำยังเป็เมืองใหญ่เสียด้วย ส่วนกำแพงเมืองนั้นก็ช่างสุดจะสูงเสียยิ่งกว่ากำแพงจวนตระกูลต้าปาซือ ในเมืองนั้นมีคนมากมายนัก ข้างทางนั้นไม่ว่าจะเดินไปส่วนใดก็เจอแต่อาหารและสุรา ยิ่งกว่านั้นยังมีสตรีนุ่งน้อยห่มน้อยคอยบิดเอวโบกมือยิ้มหวานให้เรา
เขายังเล่าต่อว่าข้างเมืองนั้นยังมีทะเล ส่วนทะเลอีกข้างก็ยังมีเมืองอีก
โลกนี้ช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน กว้างใหญ่เสียจนเขามิอาจจินตนาการ
ยามมองเ้าเหยี่ยว เขาจึงได้อยากเป็เช่นมันนักที่สามารถออกบินสูงและแสนไกลได้
เขาตั้งใจมองเ้าเหยี่ยวที่บินอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด ทั้งที่อยู่ห่างไกลกันเช่นนี้ เขาจึงััได้ว่าเ้าเหยี่ยวก็กำลังมองเขาจากหลังก้อนเมฆนั้นเช่นกัน
ทันใดนั้นวงกลมเหล็กที่เขาห้อยคอไว้ก็ค่อยๆ ร้อนขึ้นเช่นกัน
อาลู่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ เพียงแต่แม่นางหลัวนั้นยังนั่งอยู่ข้างกาย จึงไม่อาจแสดงอาการอันใดออกมาได้
รอจนทารกน้อยนั้นดื่มนมอิ่มแล้ว แม่นางหลัวจึงลุกขึ้นยืนแล้วจากไป
อาลู่บัดนี้ควบคุมตัวเองไม่ให้มองตามร่างแม่นางหลัวได้แล้ว
เพียงแต่สายตาเขานั้นช่างล้ำเลิศเกินไป หางตาเขานั้นยังคงพอมองเห็นว่าใต้สาบเสื้อของแม่นางหลัวนั้นมีรอยแผลอยู่หลายรอย รอยแผลเส้นนั้นแม้จะทับกันไปมา ทว่ากลับไม่ลึกนัก เพียงแต่ยามปรากฏบนผิวขาวราวกับหิมะของนางนั้น ก็ทำให้ดูโหดร้ายและทารุณอยู่ไม่น้อย
แม่นางหลัวไม่ได้กล่าวอันใด เมื่อป้อนนมเสร็จก็ยืดหลังตรงแล้วจากไปทันที ลำคอระหงนั้นเหยียดตรงดูทระนงไม่น้อย
สาวใช้สองคนของนางก็ค่อยๆ เดินตามไปเช่นกัน
อาลู่เห็นน้องสาวเมื่อกินอิ่มแล้วก็มีท่าทางร่าเริง รีบไปตามเ้ามืดมาเล่นกับตน
เขารู้สึกอิจฉาน้องสาวไม่เบาที่ไม่ต้องรับรู้อะไร เพียงแค่กินอิ่มก็มีความสุขแล้ว
เขาเองก็หวังว่านางจะเป็เช่นนี้ได้ตลอดไป ไม่ต้องร้อนใจกับสิ่งใด
มื้อบ่ายนั้นมีน้ำแกงเนื้อให้ดื่ม
เหล่าปานำเนื้อที่ได้มาต้มน้ำแกง เนื้อที่ต้มสุกก็ตุ๋นต่ออีกพักใหญ่จนได้น้ำแกงเนื้อวัวเต็มหม้อ
ยามกลิ่นน้ำแกงโชยมาก็ช่างชวนน้ำลายสอ
เมื่อดื่มเข้าไปทั้งร่างก็พลันรู้สึกอบอุ่น กระทั่งาแก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
เด็กหนุ่มที่ทั้งฉลาดเฉลียวและสุขุมเช่นอาลู่ เมื่อดื่มน้ำแกงเนื้อวัวไปสามถ้วยใหญ่ ใบหน้าแดงระเรื่อนั้นก็ยิ้มด้วยความพอใจออกมา ส่วนเหล่าปานั้นแม้จะไม่ได้ชมออกมา แต่ยามดื่มน้ำแกงก็ดื่มเสียจนเกลี้ยงถ้วย ซ้ำยังทำท่าทางพอใจจนออกนอกหน้า
เฉินโย่วนั้นเพราะเพิ่งจะดื่มนมมาจนอิ่ม จึงไม่สนใจน้ำแกงเนื้อวัว
ความสนใจทั้งหมดของนางล้วนอยู่ที่เ้ามืด ทารกน้อยค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนหลังเ้ามืด หลังจากนั้นก็พากันหายลับไปทางทุ่งหญ้า ด้านหลังเ้ามืดนั้นก็มีม้าตาเดียวอีกตัววิ่งตามไปติดๆ
เมื่อเทียบกันแล้วระหว่างเ้ามืดที่ขนดำขลับเป็มัน เ้าก้างนั้นช่างน่าสงสารเหลือเกิน แผลเต็มหน้าก็แล้วไปเถิด ดวงตายังหายไปข้างหนึ่ง ซ้ำยังยอมเ้ามืดไปเสียทุกเื่ เ้ามืดหยุด มันก็หยุด เ้ามืดออกเดิน มันก็ออกเดิน
เมื่อกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วเหล่าปาก็ยังคงทิ้งอาลู่ไว้ข้างนอก ซ้ำยังเปิดผ้าปิดแผลบนท้องของอาลู่ออก เพื่อให้แผลนั้นได้โดนแสงแดดด้วย
ขณะเดียวกันก็นำเนื้อที่เหลือมาแขวนตากแดดเพื่อทำเนื้อแห้ง
อาลู่มองเนื้อที่แขวนอยู่ แล้วจึงหันมามองาแตัวเอง รู้สึกว่าเหล่าปานั้นดูจะปฏิบัติต่อเนื้อและแผลบนท้องของเขาไม่ต่างกันนัก
“ท่านอาปา แขวนเนื้อไว้เช่นนี้มันจะไม่โดนนกคาบไปหรือ”
เหล่าปาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็เห็นมีเหยี่ยวบินวนอยู่
มองอยู่นาน ชายหนุ่มก็ใขึ้นมา “ไม่หรอก เ้านกบนฟ้าคืออินทรีหายากพันธุ์หนึ่ง มันจะล่าแค่สัตว์มีชีวิตเท่านั้น” เหล่าปาพูดด้วยท่าทางเบิกบาน ฮัมทำนองเพลงแล้วเดินกลับไปดูแลม้า
น้องสาวก็พาเ้ามืดกับเ้าก้างไปเล่นเสียแล้ว จึงเหลือเพียงอาลู่นอนอาบแดดอยู่ลำพังกับเ้าเนื้อก้อนนั้น
อาลู่แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง ก็เห็นเ้าอินทรีนั้นกำลังพุ่งบินมาทางตน
เมื่ออาลู่หันกลับมามองตนเอง และเนื้อที่แขวนอยู่ไม่ไกลก็พบว่า ตนนั่นแหละคือสัตว์มีชีวิต