“ตูม”
พลังปราณที่ทรงพลังแผ่ออกจากร่างกายของหยวนจุน เป็กระแสปราณขนาดประมาณฝ่ามือ เหมือนดั่งเมฆที่รวมกันบนท้องฟ้าแล้วค่อยๆ แผ่ออกจากจุดตันเถียนของเขา
“สำเร็จแล้ว!” เขารู้สึกถึงพลังปราณที่พวยพุ่งออกจากร่างกาย หยวนจุนทั้งประหลาดใจและดีใจ นึกถึงครั้งแรกที่เขารวมกระแสปราณได้ ตอนนั้นเขาใช้เวลาถึงเจ็ดวัน
แต่ตอนนี้เขาใช้เวลาเพียงสามวันก็สำเร็จแล้ว! เทียบกับวั่นเฮ่าซิงแห่งสำนักเสวี่ยเจี้ยน นั่นใช้เวลาตั้งสามเดือนกว่าจะรวมกระแสปราณได้!
ความสำเร็จนี้ไม่เพียงเพราะเขามีประสบการณ์ในการรวมกระแสปราณ แต่อักษรลับเก้าตะวันก็มีบทบาทสำคัญด้วย
วิชายุทธ์พลังภายใน มี 4 ประเภท คือ เ้าฮั่ว เนี่ยผาน เจวี๋ยซื่อ และจิงเสิน ซึ่งแต่ละประเภทแบ่งออกเป็ 3 ขั้น คือ ขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสูง รวมเป็ 12 ขั้น!
อักษรลับเก้าตะวันไม่จัดอยู่ในประเภทใด แล้วหยวนจุนก็มองไม่ออกด้วยว่าเป็วิชายุทธ์พลังภายในอะไร แต่เพียงเท่านี้ก็บ่งบอกถึงความพิเศษของมันได้แล้ว!
มีเพียงการบ่มเพาะจนภายในกายปรากฏตะวันทรงกลดเก้าวงออกมา อานุภาพของพลังภายในจึงจะแผ่ออกจนถึงขีดสุด!
กายในบ่มเพาะตะวันทรงกลด!
หยวนจุนเพิ่งรวมกระแสปราณได้ ภายในร่างกายจึงไม่ปรากฏตะวันทรงกลดอยู่แล้ว กล่าวคือตอนนี้เขาเข้าใจอักษรลับเก้าตะวันเพียงผิวเผินเท่านั้น!
ชาติก่อนมีวิชายุทธ์หรือพลังภายในอะไรที่เขาไม่เคยเห็นบ้าง? แม้จะนำตำราพลังภายในขั้นเจวี๋ยซื่อมากองเป็ูเาตรงหน้า เขาก็ไม่มีทางเหลียวมอง!
แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกอัศจรรย์กับอักษรลับเก้าตะวันที่ไม่จัดอยู่ในประเภทใด
“เอ๋? นี่มัน... แผ่นกระดาษหรือ?”
หลังจากหยวนจุนสร้างกระแสปราณสำเร็จก็อดไม่ได้ที่จะมองจุดตันเถียนของตนเอง นั่นจึงทำให้เขาเห็นแผ่นกระดาษสีแดงรูปร่างไม่ชัดเจน กำลังลอยหมุนอย่างช้าๆ อยู่เหนือพลังปราณ
แผ่นกระดาษสีแดงที่มาจากภายในร่างกายนี้ยากที่จะเข้าใจ หยวนจุนหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่รู้จะอธิบายสิ่งประหลาดนี้อย่างไรดี
แผ่นกระดาษบางเท่าปีกจักจั่น ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย
“ข้าจำได้แล้ว แผ่นกระดาษนี้น่าจะมาจากซากปรักหักพังโบราณเมื่อตอนข้าเป็จักรพรรดิแดนิญญา นึกไม่ถึงว่ามันจะมากำเนิดใหม่พร้อมข้าด้วย”
บางครั้งแผ่นกระดาษสีแดงก็มีระลอกคลื่นแผ่ออกมาเป็วงกลม กลายเป็คลื่นวนขนาดเล็กที่น่าทึ่ง ทั้งยังมีแสงอ่อนที่สะท้อนออกมา ซึ่งแฝงไปด้วยความนุ่มนวลและความสงบ
“ที่ข้ารอดจากน้ำมือนักยุทธ์ระดับตะวันวงแหวนขั้นเก้าสองคนได้อย่างหวุดหวิด แปดส่วนอาจเกี่ยวข้องกับมัน แม้ตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่าแผ่นนี้ใช้ทำอะไร แต่ก็ไม่น่าจะเป็อันตรายต่อข้า”
เมื่อััได้ถึงความอบอุ่นของกระแสปราณ หยวนจุนก็ตกอยู่ในภวังค์ของการดื่มด่ำปราณดารา กระแสปราณเป็เพียงการเริ่มต้นของนักยุทธ์ หาก้าเป็นักยุทธ์ที่ใช้ปราณดาราต่อสู้ เขาจำเป็ต้องบรรลุถึงระดับดาราวงแหวนขั้นหนึ่งให้ได้
สร้างกระแสปราณกับบรรลุระดับดาราวงแหวนขั้นหนึ่ง สองระดับนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง เหมือนดั่งกระบี่วิเศษสองเล่มที่แผ่พลังกับเก็บพลัง หรือใช้สังหารศัตรูกับใช้รักษาพลัง
แม้ตอนนี้พลังยุทธ์ของหยวนจุนจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็ดีขึ้นกว่าวันก่อนมาก หูตาชัดเจนมากขึ้น สามารถได้ยินเสียงฝีเท้าจากระยะไกลได้แล้ว
เมื่อสังเกตว่ามีคนมา เขาก็หยุดการบ่มเพาะ กลับไปนั่งที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว แล้วทำเป็รินชาให้ตนเองดื่ม
“ประมุขน้อย ตามคำร้องขอของแม่นางเฟยเสวี่ยที่อยากใช้โอกาสนี้ประลองเพลงกระบี่กับศิษย์สำนักิเจี้ยนของเรา ประมุขกับผู้าุโทั้งสามถึงกับไปดูด้วยตนเอง ท่านอยากจะไปดูการประลองนี้ไหม?”
ผู้นี้คือโจวเฉิน พ่อบ้านของสำนักิเจี้ยน เป็คนอ่อนน้อม กันเอง และดีกับหยวนจุน ทั้งยังมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มตลอดเวลา ราวกับเขาไม่รู้จักว่าความโกรธคืออะไร
“เข้าใจแล้ว ลุงโจว”
หยวนจุนตอบด้วยรอยยิ้ม เขาดื่มชาในถ้วยจนหมด แล้วตรงไปที่ลานประลองกระบี่ของสำนักกับโจวเฉิน
รอบลานกระบี่เต็มไปด้วยศิษย์ในสำนักที่มาดูกันอย่างคึกคัก ทุกคนล้วนแต่มีทักษะกระบี่
“ชิ้งชิ้ง”
เขาได้ยินเสียงกระบี่ยาวกระทบกันมาแต่ไกล ศิษย์สำนักิเจี้ยนทยอยเข้ามาที่ลานกระบี่อย่างต่อเนื่อง เสิ่นเฟยเสวี่ยถือกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง ทักษะกระบี่ของเขาแพรวพราวมากจนไม่มีใครสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย
ขณะที่หยวนฉางเทียนกับผู้าุโทั้งสามถอนหายใจให้กับความเก่งกาจของเสิ่นเฟยเสวี่ย สีหน้าชราของพวกเขาก็ดูไม่ดีนัก แม้นี่จะเป็ที่ของพวกเขา แต่เหล่าศิษย์มากมายในสำนักก็ยังแพ้อย่างราบคาบให้แก่หญิงสาวคนเดียว
หากคนนอกได้เห็นภาพนี้ ชื่อเสียงของสำนักิเจี้ยนคงต้องอับอายขายหน้าจนถึง์
“เฮ่าซิง เ้ามาลองหน่อย!”
ผู้าุโหยิบกระบี่ยาวที่ว่างอยู่แล้วรีบเอาใส่มือของวั่นเฮ่าซิง ขณะที่จับกระบี่เขาแสดงความเคร่งขรึม แต่ในใจกลับตื่นเต้นเป็อย่างมาก
เพื่อความยุติธรรมในการประลองเพลงกระบี่ครั้งนี้ จึงไม่อนุญาตให้ใช้ปราณดาราภายในร่างกาย โดยขึ้นอยู่กับวิชากระบี่และความสามารถในการตอบโต้เท่านั้น
นี่จึงเป็ข้อจำกัดของศิษย์ในสำนักเป็อย่างมาก เนื่องจากสำนักิเจี้ยนมีชื่อเสียงในด้านการใช้ปราณกระบี่ สามารถใช้ปราณกระบี่สังหารศัตรูได้โดยตรง
ทักษะกระบี่ของเสิ่นเฟยเสวี่ยไม่ธรรมดาก็จริง แต่วั่นเฮ่าซิงเองก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากผู้าุโโดยตรงั้แ่ยังเด็ก เขาย่อมมีวิชากระบี่เหนือกว่าผู้อื่นแน่นอน
หญิงงามพ่ายแพ้ วั่นเฮ่าซิงทำตัวเป็สุภาพบุรุษประคองนาง ทั้งสองคนทำท่าทางปรองดองกัน
แม้ว่าเสิ่นเฟยเสวี่ยไม่ได้พูดอะไรมาก แต่คนที่ตาไวจะเห็นรอยยิ้มเบาๆ บนใบหน้างดงามหลังความพ่ายแพ้ ซึ่งกำลังมองไปที่วั่นเฮ่าซิงด้วยสายตาที่อ่อนโยน
“เยี่ยม!”
ผู้าุโ หยวนฉางเทียน และคนอื่นๆ พยักหน้าด้วยความพอใจ วั่นเฮ่าซิงสามารถเอาชนะเสิ่นเฟยเสวี่ยได้ด้วยวิชากระบี่ แม้ไม่ได้หวังไว้ แต่พวกเขาก็เห็นด้วยตาตนเอง จะไม่ชมก็คงไม่ได้
“วิชากระบี่คู่ กระบี่ต้องเบา เอวเคลื่อนไหวรวดเร็ว ย่างก้าวมีพลัง สำคัญกว่านั้นคือกำลังของเอวและข้อมือ สองมือของวั่นเฮ่าซิงถือกระบี่ไม่คงที่ ข้อมือแข็ง กระบวนท่าอ่อนแอ นี่หรือที่เรียกว่าเยี่ยม?”
เมื่อหยวนจุนได้ยินเสียงโห่ร้องยินดี ก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ปากด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
อาศัยระดับฝีมือของเขาในชาติก่อนพิจารณา วั่นเฮ่าซิงถือว่ายังไม่เข้าขั้นดีเลยด้วยซ้ำ
โจวเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังหยวนจุน หลังจากได้ยินเขาพึมพำด้วยความดูถูก จากใบหน้ายิ้มแย้มก็เปลี่ยนอารมณ์ในทันที
จากนั้นเขาก็มองไปที่หยวนจุนด้วยสายตาที่ประหลาดใจและใ
เขาอยู่ในสำนักิเจี้ยนมานานกว่ายี่สิบปี ไม่เคยรู้เลยว่าหยวนจุนมีความเข้าใจทักษะกระบี่อย่างลึกซึ้ง
“มีใครอยากจะประลองอีกไหม? ข้าวั่นเฮ่าซิงจะสู้จนถึงที่สุดแน่นอน!”
แม้คำพูดเหล่านี้จะเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง แต่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาใช้เพลงกระบี่เอาชนะเสิ่นเฟยเสวี่ย ไม่มีศิษย์คนไหนในสำนักิเจี้ยนที่มีคุณสมบัติสามารถประลองกับเขา!
เมื่อมองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นมีใครกล้าก้าวออกมา วั่นเฮ่าซิงจึงค่อยๆ ยกยิ้มที่มุมปาก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปลื้มใจ นี่เป็ครั้งแรกในชีวิตที่เขามีความสุขมากอย่างนี้
“ข้าขอลอง”
ขณะที่ทุกคนรู้ว่าไม่มีใครสามารถเอาชนะความเก่งกาจของวั่นเฮ่าซิงได้ หยวนจุนที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่มุมหนึ่งก็ได้กล่าวไปทางลานประลอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้