สำหรับเยวี่ยเจาหรานนั้น มื้อเย็นที่เดิมทีแล้วควรจะกระสับกระส่ายและไร้รสชาตินั้นกลับกินได้อย่างเพลิดเพลิน แน่นอนว่า ทั้งนี้ล้วนเป็ผลประโยชน์จากนักแสดงชั่วคราวที่ฮูหยินเยี่ยนหามาผู้นั้น ถึงอย่างไรหากไม่ได้การแสดงที่ทุ่มเทของนาง ข้าวมื้อนี้ก็คงจะพาให้รู้สึกกระสับกระส่ายและไร้รสชาติเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้
แต่หายนะของเยวี่ยเจาหรานที่กินข้าวจนหมดครบมื้ออย่างว่าง่ายและเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ถูกยัดอาหารเข้าไปจนท้องแทบะเินั้นยังไม่สิ้นสุด เยวี่ยเจาหรานที่ดูละครไปพลาง กินดื่มอย่างอิ่มเอมไปพลางกำลังเตรียมจะวางตะเกียบลง ก็ถูกเสียงเรียกของฮูหยินเยี่ยนทำให้ตื่นใขึ้นมา
“คือว่า เยียนหราน...”
เนื่องด้วยฮูหยินเยี่ยนมักจะเรียกเยวี่ยเจาหรานด้วยคำว่า ‘นี่’ ตลอด ดังนั้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกะทันหันเช่นนี้ จึงทำให้เยวี่ยเจาหรานรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เม็ดเหงื่อผุดพรายออกมา กระนั้นก็ยังกัดฟันขานรับอย่างไม่แน่ใจ “เ้าคะ?”
เยวี่ยเจาหรานยกมือขึ้นลูบจอนผมข้างขมับอย่างไม่เป็ธรรมชาติ ศีรษะงามเอียงลงเล็กน้อย กะพริบตามองไปยังฮูหยินเยี่ยนอย่างจริงจัง ราวกับกำลังจะพูดว่า ‘ปล่อยข้าไปเถอะ’
ทว่าฮูหยินเยี่ยนนั้นไม่ปล่อยเยวี่ยเจาหรานไปง่ายๆ กลับกัน ‘ยิ่งทวีความรุนแรง’ ขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง “เ้าอยู่ก่อน ข้ามีเื่จะพูดด้วย ส่วนอวิ๋นเฟย...” ฮูหยินเยี่ยนเชิดคางไปทางเยวี่ยเจาหรานอย่างแฝงความนัย แล้วมองไปทางสวี่ชิวเยวี่ยอีกครั้ง
เมื่อนั้นเยวี่ยเจาหรานก็พอจะเข้าใจแล้ว เขารีบพยักหน้าให้กับฮูหยินเยี่ยนเพื่อความอยู่รอด “เข้าใจแล้วเ้าค่ะ พวกเขาพี่น้องไม่ได้พบกันมานาน ก็ควรจะรำลึกความหลังกันให้เต็มที่ ยกอวิ๋นเฟยให้กับน้องชิวเยวี่ย ข้าไม่กังวลเ้าค่ะ”
หลังจากพูดจบแล้ว เยวี่ยเจาหรานยังเลิกคิ้วด้วยความร่าเริงยินดี เอ่ยอย่างจริงใจและว่าง่าย ไม่กล้ามีปัญหาอะไรอีก
“นั่นถูกต้องแล้ว ข้ารู้ว่าเ้าเป็เด็กที่รู้ความ ชิวเยวี่ย เ้าไปเถอะ...” ฮูหยินเยี่ยนเองก็ยิ้มตาหยีจนเห็นฟัน หันกลับไปสั่งสวี่ชิวเยวี่ยอีกสองสามคำ แล้วส่งสัญญาณให้สวี่ชิวเยวี่ยพาเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วออกไป ระหว่างนั้นเยวี่ยเจาหรานไม่กล้าแม้แต่ขยับดวงตาเพียงนิด เพียงแค่รักษากิริยามารยาทบนสีหน้าเอาไว้ราวกับตุ๊กตาไม้ตัวหนึ่งเท่านั้น เขามองเขม็งที่ฮูหยินเยี่ยนอยู่ตลอดอย่างไม่กล้าละสายตา
สวี่ชิวเยวี่ยได้ยินดังนั้นย่อมลิงโลดอย่างมาก มากเสียจนแม้แต่ในน้ำเสียงก็ยังเต็มไปด้วยความดีใจที่ยากจะปิดบัง ฟังแล้วน่าคลื่นไส้จริงๆ
“เ้าค่ะ ชิวเยวี่ยจะดูแลเปี่ยวเกออย่างดีแน่นอน...”
เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด เยวี่ยเจาหรานก็เหลือบเห็นสวี่ชิวเยวี่ยที่กำลังรวบหัวรวบหางเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจากทางหางตา ในใจอดรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ ถึงอย่างไรั้แ่ที่ทั้งสองคนกลับมาจากจวนเยวี่ย สีหน้าท่าทางของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ดูไม่ค่อยดีนัก เยวี่ยเจาหรานเริ่มจะเกรงกลัวเจตนาแอบแฝงของสวี่ชิวเยวี่ยขึ้นมาเอาทีหลัง บางทีนางอาจจะควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้วดูแลเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไปถึงบนเตียงเลยก็ได้...
ความจริงเื่หญิงปลอมเป็ชายที่เก็บรักษาไว้อย่างยากลำบากนี้ จะถูกเปิดเผยสู่ใต้หล้าเช่นนั้นหรือ?!
แต่ตอนนี้ตนได้ตอบรับคำขอของฮูหยินเยี่ยนอย่างใจกว้างไปแล้ว ขึ้นมาบนหลังเสือแล้วจริงๆ ไม่อาจหันหลังกลับได้ และสภาพของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นก็ยังดูอ่อนเพลีย น่ากลัวว่าคงจะไม่มีแรงต่อกรกับสวี่ชิวเยวี่ยที่ราวกับหมาป่าหิวโหยผู้นั้นได้หรอก?
ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วดังขึ้น นางราวกับรับรู้สถานการณ์ รีบเสนอทางออกให้ตน “ท่านแม่ ชิวเยวี่ยเดินทางมาไกลคงจะเหนื่อย เมื่อครู่ก็คอยคีบอาหารให้ข้า ยุ่งวุ่นวายเป็พัลวันแล้ว ข้าเองก็ไม่ใช่เด็กสามขวบ แค่กลับห้องยังต้องให้คนคอยตามปรนนิบัติได้อย่างไรกัน ข้าจะเดินกลับเอง!”
เยวี่ยเจาหรานพลันรู้สึกเืในตัวแล่นพล่าน เขาหันไปสบตากับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ส่งสัญญาณดังข้างล่างนี้อย่างรวดเร็ว
‘เอ๋ๆๆ เ้าได้สติแล้วหรือ?’
‘เหลวไหล! หากข้ายังไม่ได้สติอีก ก็ต้องเสียตัวให้ผู้หญิงอีกครั้งหรืออย่างไร?!’
‘ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ …’
‘หัวเราะกับผีสิ กลับไปข้าค่อยจัดการเ้า…’
และ ‘การสื่อสายตาดั่งสหาย’ นั้นเมื่อตกอยู่ในสายตาของคนนอกอย่างสวี่ชิวเยวี่ย กลับกลายเป็ การ-พลอด-รัก! ที่น่าโมโหที่สุด!
การพลอดรักนั้นยังคงดำเนินต่อหน้าต่อตาของตน แม่ดอกบัวขาว [1] เต็มขั้นอย่างสวี่ชิวเยวี่ยนั้นย่อมไม่อาจทนได้ นางไม่อาจเก็บสีหน้า ชั่วขณะนั้นแม้คำพูดเพียงคำเดียวก็ไม่อาจเอ่ยออกมา รู้สึกเพียงว่าบนใบหน้าร้อนผ่าวเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว
แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นเป็คนใจแข็งดั่งเหล็กมาแต่ไหนแต่ไร พอลุกออกจากที่นั่ง นางก็ก้าวถอยหลังสองก้าว ก่อนโค้งตัวคำนับฮูหยินเยี่ยน “ท่านแม่ ข้าไปล่ะ” ว่าพลางก็ดึงตัวเยวี่ยเจาหรานให้ลุกขึ้นไปจากสถานที่วุ่นวายแห่งนี้ด้วยกันอย่างไม่ไว้หน้าใคร
ทว่าในขณะที่เยวี่ยเจาหรานลุกขึ้นมาอย่างเพิ่งรู้ตัว ฮูหยินเยี่ยนกลับเอ่ยปากยับยั้งการกระทำของเขา “รอเดี๋ยว” แม้จะเป็เพียงคำพูดสั้นๆ แต่ก็ยังสร้างผลกระทบต่อเยี่ยนและเยวี่ยอย่างทรงพลัง
“ในเมื่อเ้าเองก็รู้ว่าน้องลำบากคอยคีบอาหารให้ ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งควรพานางไปเดินชมบ้านให้ทั่ว จะได้เข้าใจสถานการณ์ในบ้านทุกซอกทุกมุม ใช่หรือไม่?”
ฮูหยินเยี่ยนดื่มชาพลางเอ่ยเสริมทิ้งท้ายไว้ ตกไปถึงหูของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว นี่เป็คำพูดไร้สาระที่วางมาดเอาจริงเอาจังชะมัด! แต่พ่อแม่นั้นไม่อาจล่วงเกิน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ไม่เต็มใจอย่างที่สุดไม่มีทางเลือก จึงพยักหน้าอย่างหนักอึ้ง ก่อนจะเดินนำสวี่ชิวเยวี่ยไป ทิ้งเยวี่ยเจาหรานให้เผชิญหน้ากับฮูหยินเยวี่ยแต่เพียงผู้เดียว...
เมื่อเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและสวี่ชิวเยวี่ยจากไป ภายในโถงบุปผาพลันสงบเงียบ เยวี่ยเจาหรานหลุบตาลงไม่พูดจา ยึดหลัก ‘หากศัตรูไม่ขยับข้าก็ไม่ขยับ’ อย่างเข้มงวด ปิดปากเงียบแสร้งเป็ใบ้ คอยให้ฮูหยินเยี่ยนเปิดปากพูดก่อน
ฮูหยินเยี่ยนวางถ้วยชาในมือลงอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเอ่ยกับเยวี่ยเจาหรานด้วยรอยยิ้มกริ่ม “เยียนหราน เ้าเองก็เห็นแล้วใช่หรือไม่ ชิวเยวี่ยคนนี้ไม่เลวเลย รูปร่างหน้าตาเรียบร้อยน่ารัก ดูแลเอาใจใส่คนก็อบอุ่นอ่อนโยน... ข้าคิดว่า นางช่างเหมาะสมจะเป็พี่สาวน้องสาวกับเ้ามาก”
เป็พี่สาวน้องสาวกับข้า? เยวี่ยเจาหรานในมือกุมถ้วยชา เกือบจะคงรอยยิ้มบนใบหน้าไว้ไม่อยู่ ถึงอย่างไรตนก็เป็ชายชาตรี จะเป็พี่สาวน้องสาวน่ะหรือ… เป็กับผีสิ!
ทว่าเยวี่ยเจาหรานในยามนี้ก็สวมชุดของสตรีอย่างสบายอารมณ์ พูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงไร้เหตุให้เอ่ยแย้ง ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ
“มารดาของชิวเยวี่ยผู้นี้เป็น้องสาวต่างแม่ของข้า เพียงแต่งกับขุนนางท้องถิ่นขั้นเจ็ดเท่านั้น แต่พื้นฐานครอบครัวใสสะอาด ทั้งยังเป็ลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ ของอวิ๋นเฟย รู้นอกรู้ในกันแล้ว หากจะให้เป็กุ้ยเชี่ย [2] ของอวิ๋นเฟย ก็คงไม่เลวใช่หรือไม่?”
เยวี่ยเจาหรานฟังมาถึงตรงนี้ก็เข้าใจปรุโปร่งแล้ว ฮูหยินเยี่ยนผู้นี้คิดจะจัดเตรียมศัตรูหัวใจเอาไว้ให้ตนสินะ แล้วฮูหยินเยี่ยนไม่รู้หรือว่าคนผู้นั้นในบ้านของตนคือลูกสาว? ยังจะเตรียมผู้หญิงมาทำอะไรเล่า... กลับเหมือนจะหาอนุให้เยวี่ยเจาหรานเสียมากกว่า!
แต่สุดท้ายเยวี่ยเจาหรานก็อดกลั้นคำตำหนิในใจเอาไว้ แล้วตอบรับอย่างงุนงง “ท่านมีความสุขก็พอแล้ว”
ฮูหยินเยี่ยนพลันอยากจะถลึงตาพ่นลมผลักเยวี่ยเจาหรานให้ล้มด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกถึงความเดือดดาลในอกที่ไร้ทางระบาย ทำได้เพียงฝืนเปลี่ยนเป็รอยยิ้ม แสร้งเอ่ยอย่างสุภาพ “มันก็ขึ้นอยู่กับพวกเ้าสองคน ข้าแก่แล้ว คงตัดสินใจเื่คนหนุ่มสาวไม่ได้!”
เยวี่ยเจาหรานแย้มยิ้มไปด้วยไม่คลาย จนสุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ถึงอย่างไรในใจของเขาก็รู้แจ้งชัดเจน ว่าความคิดเห็นของตนนั้นไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของฮูหยินเยี่ยนได้ อนุตัวน้อยผู้นี้ ถูกตอกตะปูไว้บนกระดาน [3] จัดเตรียมเอาไว้พร้อมสรรพั้แ่แรกแล้ว
เชิงอรรถ
[1] ดอกบัวขาว (白莲花) เป็คำสแลงจีน ส่วนใหญ่ใช้ด่าผู้หญิงที่ภายนอกดูใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ภายในคิดไม่ซื่อ มีพฤติกรรมที่ไม่ดี
[2] กุ้ยเชี่ย (贵妾) คำเรียกอนุภรรยาที่มีฐานันดรสูง
[3] ตอกตะปูบนกระดาน (板上钉) หมายถึง เื่ราวได้ตัดสินใจไปแล้วไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้แล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้