การทำงานของผู้จัดการใหญ่อู่นั้นสามารถไว้ใจได้จริงๆ
สำหรับเซี่ยเสี่ยวหลาน การบริการระดับนี้จะเรียกว่าเป็การบริการระดับโลกก็ยังได้ แค่มีเงินมาซื้อพันธบัตรรัฐบาล ผู้จัดการใหญ่อู่ก็จะกลายเป็โดราเอมอนที่สามารถจัดการปัญหาให้คุณได้ทุกอย่าง!
ที่จริงผู้จัดการใหญ่อู่ก็มีความคิดคล้ายๆ กัน ขอเพียงช่วยเหลือนักศึกษาเซี่ย เธอก็จะพาลูกค้าชั้นเยี่ยมมาหาเขานั่นเอง
ทว่าย่าอวี๋นั้นอายุมากแล้ว ผู้จัดการใหญ่อู่ถึงเกรงใจไม่กล้าเสนอขายพันธบัตรแก่เธอ
แต่หญิงชราคนหนึ่งสามารถนำเงินจำนวนถึงแปดหมื่นหยวนมาฝากธนาคารได้ ถือเป็การพิสูจน์ทฤษฎีของเขาที่ว่า ‘มีแต่คนรวยที่จะรู้จักคนรวยด้วยกัน’
เพราะเซี่ยเสี่ยวหลานเพียงคนเดียวก็ช่วยแนะนำคนมาทำธุรกรรมที่ธนาคารสาขาของพวกเขาหลายคนแล้ว
ผู้จัดการใหญ่อู่พาหลิวเฟินไปเลือกดูหน้าร้านอยู่สองวัน ในที่สุดหลิวเฟินก็ตัดสินใจเลือกหน้าร้านได้
ที่นี่คืออาคารชั้นเดียวที่เมื่อก่อนเคยเปิดเป็ร้านขายของชำ
ปัจจุบันร้านขายของชำได้ย้ายไปอยู่ในพื้นที่ที่ใหญ่กว่า บ้านหลังนี้จึงไร้ผู้เช่า กรรมสิทธิ์ของที่ดินก็มีชัดเจน ไม่เหมือนอาคารที่จัตุรัสเอ้อร์ชี เนื่องจากหน้าร้านแห่งนี้กรรมสิทธิ์เป็ของหน่วยงานรัฐทั้งหมด เมื่อหน่วยงานยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะใช้มันทำอะไรจึงปล่อยว่างไว้อย่างนั้น
ผู้จัดการใหญ่อู่มีเส้นสาย อีกฝ่ายจึงบอกว่าให้เงินค่าเช่าแค่นิดหน่อยก็เพียงพอแล้ว
ในความเป็จริงคงให้ค่าเช่าตามใจชอบไม่ได้ และเซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ไม่้าเอาเปรียบใคร อนาคตจะเสี่ยงเป็ปัญหาเปล่าๆ ควรให้เท่าไรก็ให้เท่านั้น ใครก็ไม่สามารถจับผิดได้ และคนที่ช่วยหาหน้าร้านให้ก็จะไม่เสี่ยงถูกจับเข้าคุก อย่างไรเงินค่าเช่าไม่ได้แพงอย่างที่คิด แม้จะอยู่ในปักกิ่ง อีกทั้งถนนซีตันแห่งนี้ก็มีผู้คนพลุกพล่าน แต่ที่นี่ไม่ใช่ใจกลางเมือง
อนาคตปักกิ่งจะพัฒนาเร็วแค่ไหน ย่าอวี๋ไม่มีทางรู้ ดังนั้นในสายตาของเธอ ทำเลของร้านนี้สู้จัตุรัสเอ้อร์ชีไม่ได้
เห็นแก่ที่อยู่ในเมืองจักรพรรดิ ย่าอวี๋จึงยอมเสนอเงินค่าเช่าที่จำนวน 2,000 หยวนต่อปี ในขณะที่เซี่ยเสี่ยวหลาน้าเซ็นสัญญาระยะยาวสิบปี เหตุผลเพราะกลัวหน่วยงานเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน ถึงเวลาหากธุรกิจของเธอกำลังไปได้สวยแล้วจะทำอย่างไรเล่า ย้ายไปที่ไหนย่อมส่งผลกระทบต่อร้านอย่างแน่นอน
ค่าเช่า 2,000 หยวนต่อปีเป็ตัวเลขที่สมน้ำสมเนื้อ ถึงอย่างไรบ้านหลังนี้ก็ยังคงว่างอยู่ และถือเป็รายได้ที่เข้าหน่วยงานเต็มๆ
แต่การขอเช่าระยะยาวถึงสิบปี... เหมือนจะนานเกินไปหน่อย
อีกฝ่ายยอมให้เช่าแค่ห้าปีเท่านั้น ผู้จัดการใหญ่อู่จึงช่วยไกล่เกลี่ย “ปัจจุบันคุณมีอำนาจตัดสินใจก็ต้องอยากขอเช่านานๆ หน่อยน่ะสิครับ อนาคตหากพวกเธออยากต่อสัญญา จะเจอคนที่อัธยาศัยดีแบบคุณได้อีกหรือ”
เจรจากันไปมา สุดท้ายก็ตกลงกันที่แปดปี
ค่าเช่าจำนวน 2,000 หยวนต่อปีเป็ตัวเลขคงที่ โดยเริ่มคิดค่าเช่าั้แ่วันแรกของปฏิทินปี 1985 จนกระทั่งสิ้นสุดสัญญาในวันปีใหม่ของปี 1993 ในระยะเวลาแปดปีนี้ค่าเช่าจะเท่ากันทุกปี ย่าอวี๋รู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานชอบซื้อบ้านเก็บไว้ แม้แต่อาคารที่เอ้อร์ชีเซี่ยเสี่ยวหลานเองก็อยากได้ บ้านที่ปักกิ่งมีหรือที่เธอจะปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้จึงเพิ่มเงื่อนไขอีกหนึ่งอย่างลงไปในสัญญาคือ หากหน่วยงาน้าขายบ้านหลังนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานมีอภิสิทธิ์ในการขอซื้อเป็คนแรก
หัวหน้าผู้รับผิดชอบการปล่อยเช่าได้ยินดังนั้นก็อดขำไม่ได้
“หน่วยงานรัฐจะขายบ้านได้อย่างไร แม้แต่บ้านของพวกเรายังมีจำนวนไม่พอให้จัดสรร ไม่พอให้พักอาศัยด้วยซ้ำ”
อย่าเห็นว่าเป็เพียงบ้านชั้นเดียวที่เมื่อก่อนเคยมีร้านค้ามาเช่าเท่านั้น หากนำบ้านหลังนี้ไปจัดสรรให้ข้าราชการเข้าพัก แน่นอนว่าคงไม่มีใครปฏิเสธ ยุคนี้ไม่มีห้องน้ำไม่ใช่เื่ใหญ่ เพราะมีคนตั้งมากมายใช้กระโถนทำธุระแล้วค่อยหิ้วไปทำความสะอาดที่ห้องน้ำสาธารณะ!
ย่าอวี๋เองก็คิดว่าหน่วยงานไม่มีทางขายบ้านทิ้ง
เซี่ยเสี่ยวหลานหยิบสัญญาเช่าบ้านมาอ่านพลางยิ้ม
“ก็ไม่แน่หรอกค่ะ”
โรงงานที่ล้มละลายใน่ยุค 90 มีถมเถไป
จากธุรกิจขนาดใหญ่ผันตัวมาทำธุรกิจขนาดเล็ก กระแสนิยมนี้เริ่มต้นมาจากเหล่าคนงานที่ถูกปลดจากตำแหน่งใน่ยุค 90 ทั้งนั้น
ปลดคนงาน ขายโรงงานทิ้ง ดังนั้นจึงมีคนบางพวกใช้อภิสิทธิ์จากตำแหน่งหน้าที่ซื้อทรัพย์สินของรัฐในราคาถูกมาเป็ของตน เปลี่ยนทรัพย์สินของรัฐมาเป็ทรัพย์สินส่วนบุคคล ตามแบบฉบับของระบบทุนนิยมทุกอย่าง เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็อยากคว้าโอกาสนี้ไว้เช่นกัน แน่นอนว่าหากไม่มีเส้นสายอยู่ในกิจการของรัฐอย่างไรก็คงจะทำได้ยาก
ทว่าการซื้อบ้านของหน่วยงานรัฐมาเป็ของตัวเองยังพอมีหวัง
สรุปคือเซี่ยเสี่ยวหลานเก็บสัญญาฉบับนี้เอาไว้อย่างดีด้วยความพึงพอใจ
เื่หาหน้าร้านให้ ‘Luna’ เซี่ยเสี่ยวหลานคงไม่สามารถตัดสินใจคนเดียวได้ เธอต้องถามความเห็นจากเฉินซีเหลียงเสียก่อน ตอนนี้เฉินซีเหลียงติดตั้งโทรศัพท์ที่บ้านแล้ว ตอนเซี่ยเสี่ยวหลานโทรไป คนรับสายคือผู้หญิงคนหนึ่ง
อีกฝ่ายพูดจาด้วยสำเนียงกวางตุ้ง เซี่ยเสี่ยวหลานฟังออกแต่พูดไม่ได้จึงคุยกันไม่รู้เื่
เธอฟังออกแค่ว่าเฉินซีเหลียงไม่อยู่บ้าน และบอกเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยว่าอย่าโทรมาอีก เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกประหลาดใจ ผู้หญิงคนนี้คงไม่ใช่เมียของเฉินซีเหลียงหรอกนะ?
“พี่สะใภ้ ฉันอยากฝากบอกเฉิน...”
“ตรู๊ด ตรู๊ด ตรู๊ด...”
เซี่ยเสี่ยวหลานยังพูดไม่จบ สายก็ถูกตัดไปเสียแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้เพิ่งเคยเจอคนที่คุยด้วยยากเช่นนี้เป็ครั้งแรก ความรู้สึกนี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก ตอนที่เธอขายปลาไหล เถ้าแก่เนี้ยร้านบะหมี่ปลาไหลก็เป็เช่นนี้ ชอบทุบโต๊ะทำลายข้าวของ ทั้งที่เซี่ยเสี่ยวหลานเป็แค่แม่ค้าขายปลาไหลคนหนึ่งเท่านั้น... ตอนหลังเถ้าแก่หูรู้สึกผิด จึงแนะนำญาติของตนอย่างหูหย่งไฉ ผู้ทำหน้าที่ดูแลการจัดซื้อของบ้านพักรับรองคณะกรรมการประจำเมืองซางตูให้กับเธอ
เซี่ยเสี่ยวหลานถือว่านั่นเป็โชคดีในความโชคร้าย เพราะเธอสามารถเปิดตลาดปลาไหลของซางตูได้สำเร็จ หากไม่ได้เงินจากการส่งปลาไหลให้ซางตูเป็เวลาสองเดือน เธอจะมีทุนไปซื้อเสื้อผ้าจากหยางเฉิงมาขายหรือ
บ้านเฉินซีเหลียงไม่สงบสุขนั้นไม่เป็ไร เซี่ยเสี่ยวหลานหวังแค่ว่าเื่นี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการร่วมมือกันระหว่างเธอกับเขาก็พอ!
เธอต้องนำเงินของโจวเฉิงจำนวนไม่น้อยมาลงทุนกับธุรกิจนี้ หากเถ้าแก่เฉินจัดการปัญหาที่บ้านไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายก็ควรแยกย้ายกันเสียั้แ่เนิ่นๆ
เซี่ยเสี่ยวหลานโทรหาเฉินซีเหลียงไม่สำเร็จ ทว่าโชคดีที่เธอยังมีเบอร์ติดต่อเหอฉงเซิงที่เป็เ้าของโรงงานผลิตเสื้อผ้าเฉินอวี่
ผู้อำนวยการเหอรับสาย
“สหายเสี่ยวหลานหรือ? ได้สิได้ ฉันจะบอกซีเหลียงให้”
เฉินซีเหลียง้าทุ่มเงินเก็บทั้งหมดกับการทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง เหอฉงเซิงทำได้แค่เฝ้ามอง เพราะเงินเ่าั้เฉินซีเหลียงเป็คนหามาเองทั้งหมด ต่อให้เหอฉงเซิงไม่เห็นด้วย เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เขาคงไม่มีสิทธิไปก้าวก่ายน้องชายภรรยาว่าควรทำธุรกิจอย่างไรน่ะสิ
ครอบครัวของเฉินซีเหลียงเองก็รู้สึกว่ามันเสี่ยงเกินไป เมียของเขาคือคนที่คัดค้านมากที่สุด เธอบอกว่าสาเหตุที่เฉินซีเหลียงร่วมหุ้นกับเซี่ยเสี่ยวหลานเพราะเขาคิดนอกใจ เอาเงินเก็บของครอบครัวไปให้หญิงอื่น เมียของเฉินซีเหลียงไม่มีการศึกษา อีกทั้งความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาก็ไม่ได้ดีมากมายอะไร ตอนเฉินซีเหลียงอยากลาออกเพื่อไปทำธุรกิจค้าส่ง เมียของเขาก็โวยวายเสียยกใหญ่ บอกว่าเขามีงานมั่นคงแต่ไม่ยอมทำ ดันอยากผันตัวไปทำธุรกิจอิสระที่น่าอับอายนั่น!
เฉินซีเหลียงทำงานที่โรงงานแต่ก็ไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจ อีกทั้งเขายังมีพร์ในการทำธุรกิจ ใช้เวลาแค่สองสามปีก็สามารถหาเงินได้ก้อนใหญ่
ตอนนี้เฉินซีเหลียงอยากนำเงินที่หามาได้ไปสร้างแบรนด์เสื้อผ้าสตรี เมียของเขาก็คัดค้านอีกครั้ง
เฉินซีเหลียงวันๆ ต้องวิ่งเต้นเดินเอกสาร เตรียมการมากมาย กลับมาบ้านยังต้องทำศึกใหญ่กับภรรยา ดังนั้นเขาย่อมรู้สึกเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด
เื่พวกนี้เหอฉงเซิงบอกเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้เพราะมันน่าอายเหลือเกิน แต่ไม่บอกก็ไม่ได้เช่นกัน เซี่ยเสี่ยวหลานเป็ลูกค้าหลักของเฉินซีเหลียง แม้จะไม่ได้ร่วมหุ้นทำแบรนด์เสื้อผ้าสตรี แต่อย่างไรเซี่ยเสี่ยวหลานก็ยังคงเป็ลูกค้าเสื้อผ้าขายส่ง เป็คนที่ ‘ให้เงิน’ กับเฉินซีเหลียง เช่นนั้นจะให้เขาไล่เธอไปหรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานฟังคำอธิบายไม่กี่ประโยคก็ทำหน้าเอือมระอา
สามีภรรยาคู่นี้ศีลไม่เสมอกันเลยสักนิด มิน่าตอนหลังเฉินซีเหลียงถึงได้มีภรรยาใหม่
เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ได้คุยกับเฉินซีเหลียง เนื่องจากวันเสาร์เธอต้องรีบนั่งรถไปที่มณฑลจี้เป่ยแต่เช้า เดินทางอยู่หลายชั่วโมงกว่าจะถึงวิทยาลัยทหารบก
“สวัสดีค่ะ ฉันมาหาโจวเฉิง เขาเป็นักศึกษาใหม่จากปักกิ่งที่เพิ่งเข้าเรียนที่นี่”
เธอแจ้งทั้งสังกัดและตำแหน่งงานของโจวเฉิง และบอกว่าเขาเป็นักศึกษาใหม่ เซี่ยเสี่ยวหลานเจียดเวลาว่างมาเยี่ยมแฟนหนุ่ม ทว่าอีกฝ่ายกลับปฏิเสธ
“นักศึกษาใหม่ไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม สหายหญิงเชิญกลับเถอะ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้