เมื่อเย่เฟิงเดินออกจากประตูโรงแรมเพียงลำพัง เ้าของโรงแรมหัวล้านวัยกลางคนก็ยังไม่อยากจะเชื่อ เขาสงสัยว่าดวงตาของตนคงมีปัญหาจึงขยี้ไปหลายรอบแล้วจึงรู้ว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด
ชายหนุ่มเชิ้ตดำยังมีชีวิตอยู่จริงๆ
เดิมทีเ้าของโรงแรมคิดว่าชายหนุ่มคนนี้คงดวงซวยครั้งใหญ่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าสิ่งต่างๆ จะผิดไปจากที่เขาคาดไว้ จากเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ ข้างบนต้องเกิดการต่อสู้แน่นอน เ้าของโรงแรมหัวล้านวัยกลางคนจึงเดินขึ้นชั้นบนอย่างระมัดระวัง และพบว่าคนกลุ่มใหญ่กำลังรายล้อมเต็มหน้าห้องพักที่เกิดเหตุ และกระซิบกระซาบด้วยความประหลาดใจ ชายวัยกลางคนหัวล้านเกิดลางสังหรณ์ในใจขณะเดินไปที่ประตูห้องพักพร้อมกับฟังบทสนทนาของคนอื่น
โถงทางเดินเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เขารีบเดินไปที่ประตูอย่างและมองเข้าไปในห้องอย่างเหลือเชื่อ ห้องนี้เพิ่งเกิดแผ่นดินไหวขึ้นหรือไงกัน? ทั้งเตียง โซฟา เฟอร์นิเจอร์ ตู้เสื้อผ้าในห้องทั้งหมดพังไม่มีชิ้นดี แม้แต่ผนังโดยรอบก็เกิดรูขนาดใหญ่ รอยแตกกระจายทั่วผนัง ความเสี่ยงที่จะถล่มได้ทุกเมื่อ
เขาต้องเสียเงินค่าซ่อมห้องใหม่เท่าไร?
เ้าของโรงแรมวัยกลางคนรู้สึกเ็ป แต่ที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ ภายในห้องกลับไม่มีคนแม้แต่คนเดียว มีเพียงร่องรอยการถูกเปลวเพลิงเผาไหม้แต่ก็ยังไม่แน่ชัดนัก
แล้วเ้าผู้ชายสี่คนที่ดูชั่วร้ายล่ะ?
เ้าของโรงแรมหัวล้านไม่คิดเลยว่า พวกเขาจะถูกชายหนุ่มเสื้อเชิ้ตดำสังหาร ทั้งยังทำลายหลักฐานทิ้งอีก
…………
เย่เฟิงออกจากโรงแรม ส่วนจ้าวอี้เปยลอยอยู่กลางอากาศตามหลังเขามาติดๆ ตอนนี้ชายหนุ่มสามารถพูดได้ว่าเมื่อครู่ตนสังหารซือถูฉางเตาด้วยตัวเอง แต่ก็ใช้ความสามารถของเย่เฟิงในการทำลายซากศพเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมา เย่เฟิงต้องทำลายหลักฐานพวกนี้จนไร้ร่องรอย
ขณะนี้จ้าวอี้เปยยังคงรู้สึกตื่นเต้น การได้สังหารศัตรูด้วยน้ำมือของตัวเองเป็เื่ที่มีความสุขที่สุดในชีวิตจริงๆ เขาแทบจะรอไม่ไหวแล้ว อยากกลับเมืองเยี่ยนจิงเพื่อบอกเตาปาเื่นี้ แต่น่าเสียดายที่เย่เฟิงยังจัดการธุระที่ทะเลทรายไม่เรียบร้อย จึงไม่อาจกลับไปกลางคันได้
ไม่นานนักหลิงเฉินก็ลอยมาจากอีกทาง ทั้งยังปรากฏร่างเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่และลอยไปมาไม่หยุด ไม่ช้าก็ลอยไปอีกทาง จนห่างไกลไปเรื่อยๆ ในไม่ช้ากลุ่มคนสวมชุดคลุมสีเทานับสิบคนก็วิ่งไล่ตามทิศทางที่หลิงเฉินปรากฏตัวผลุบๆ โผล่ๆ
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
“ตามมันไปเร็ว!”
“ใครรู้บ้างว่ามันคือตัวอะไรกันแน่?”
…………
กลุ่มคนแสดงความรู้สึกต่อหลิงเฉินที่ปรากฏตัวลอยไปลอยมา น่าเสียดายที่ไม่ว่าพวกเขาจะไล่ตามอย่างไรก็ไม่อาจจับหลิงเฉินได้ หลิงเฉินกลับมาติดตามเย่เฟิงหลังจากชักจูงพวกเขาไป
กลุ่มชายชุดคลุมสีเทานี้ดูก็รู้ว่าเป็คนของวิหารดาบ์ ในนั้นมีชายชราสองคนที่มีระดับพลังกว่าแปดสิบปี เป็ไปได้ว่าพวกเขาอาจสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่โรงแรมจึงรีบกลับมา ระหว่างทางบังเอิญเจอหลิงเฉิน จึงถูกเล่ห์เหลี่ยมของหลิงเฉินพาไปอีกเส้นทางแทน
เย่เฟิงหยิบหมวกฟางออกมาจากแหวนมิติและสวมมันบนศีรษะ จากนั้นฟังข่าวที่จ้าวอี้เปยเพิ่งได้รับพร้อมเดินไปทางทิศใต้ของเมือง
เมื่อครู่จ้าวอี้เปยไม่ได้ผลีผลามแสดงตัวต่อหน้าซือถูฉางเตา แต่แอบฟังบทสนทนาของพวกมันก่อน จึงรู้ว่าตำหนักไท่จี๋ค้นพบซากโบราณสถานในทะเลทรายทางใต้ในเมืองเล็กๆ โดยมีระยะทางกว่ายี่สิบกิโลเมตร
ข้อมูลมีค่าที่ได้รับมานั้นทำให้เย่เฟิงมีเป้าหมายชัดเจน อาจเพราะการมีอยู่ของบางสิ่งปิดบังการค้นหาซากโบราณสถาน เข็มทิศดวงดาวของเย่เฟิงจึงหาที่ตั้งเฉพาะของจุดวาร์ปไม่พบ รู้เพียงตำแหน่งวงกว้างว่ามันอยู่ใกล้กับเมืองเล็กๆ ในทะเลทรายแห่งนี้
ไม่นานนักหลิงเฉินก็พากลุ่มของวิหารดาบ์ออกไปอีกทาง ก่อนจะลอยกลับไปหาเย่เฟิงอย่างสบายใจ
เมื่อมองจากระยะไกลมันเหมือนกับว่าเย่เฟิงเดินทางออกจากเมืองเล็กๆ คนเดียวเพื่อมุ่งหน้าไปทะเลทรายทางตอนใต้โดยลำพัง แต่ความจริงแล้วยังมีิญญาสองตนล่องลอยอยู่้าเพื่อคอยระวังภัย
ระยะจิตหยั่งรู้ของเย่เฟิงเพิ่มขึ้นเป็สองร้อยเมตรจึงตื่นตัวกับทุกทิศทางอยู่ตลอดเวลา รวมถึงใต้ทะเลทรายด้วย หากเกิดสิ่งผิดปกติก็จะถูกเขาตรวจพบทันที
จากการสนทนาของซือถูฉางเตาและคนอื่นๆ เย่เฟิงจึงรู้ว่าตำหนักไท่จี๋ สำนักหมัดเทวา วิหารดาบ์ และตระกูลถังในเวลานี้ ส่งคนไปยังทะเลทรายจนเป็อุปสรรคต่อเย่เฟิง
“ราชันหั่วยวินเยาซ่อนตัวอยู่ในซากโบราณสถานนั่น พวกนี้บุกเข้าไปโดยไม่รู้ว่าต้องไปเจอความตาย หากปะทะกับราชันหั่วยวินเยาล่ะก็ต้องถูกเผาจนตายในนั้นแน่...”
เย่เฟิงคิดในใจก่อนส่ายหัวอย่างรวดเร็ว แม้คนพวกนี้จะถูกเผาจนตายก็เป็เื่ของคนอื่น มันเกี่ยวอะไรกับเย่เฟิง?
ตำหนักไท่จี๋ สำหนักหมัดเทวา วิหารดาบ์ ทั้งสามสำนักนี้ไม่ใช่มิตรของเย่เฟิง สำหรับตระกูลถังก็ดูเหมือนว่าแม่ของเย่เฟิง ถังชิงหลิงแห่งตระกูลถังออกจากตระกูลไปแล้ว เขาจึงไม่จำเป็ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอีกฝ่าย ดีที่สุดคือตายไปให้หมดซะ บนโลกนี้ก็จะได้เงียบสงบ เย่เฟิงอดเกิดความคิดชั่วร้ายไม่ได้
ระยะทางกว่ายี่สิบกิโลเมตร หากอยู่บนพื้นราบธรรมดา เย่เฟิงใช้ย่างก้าวไร้เงาเพียงสิบนาทีกว่าก็ถึงที่หมายแล้ว แต่ตอนนี้เขาอยู่ในทะเลทรายที่กว้างสุดลูกหูลูกตา หากเขาใช้ย่างก้าวไร้เงา คนอื่นจะสังเกตเห็นได้ง่าย จึงทำได้เพียงซ่อนตัวและมุ่งไปข้างหน้าเท่านั้น!
หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง ในที่สุดหนึ่งคนสองิญญาก็มาถึงที่หมาย ผืนทรายสีเหลืองไร้ที่สิ้นสุดค่อยๆ ปรากฏเต็นท์เรียงรายเต็มไปหมดและสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิตง่ายๆ ผู้ฝึกวรยุทธ์มากมายเดินขวักไขว่ รวมถึงผู้คนจากสามสำนักใหญ่ข้างต้นด้วย
ตำหนักไท่จี๋ สำหนักหมัดเทวา ตระกูลหลง ทั้งหมดตั้งค่ายอยู่ในทะเลทรายอันสุดลูกหูลูกตานี้ อยู่ตรงหน้าทางเข้าซากโบราณสถานรอรับผลประโยชน์บางอย่างเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้สำนักตัวเอง
สำหรับวิหารดาบ์ เนื่องจากมาถึงช้า คนกลุ่มหนึ่งจึงยังพักอยู่ที่ทะเลทรายในเมืองเล็กๆ ราวกับตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง น่าเสียดายที่ต้องเจอกับเย่เฟิง ยังไม่ทันได้ไปทะเลทรายก็สูญเสียศิษย์ระดับยอดฝีมือสี่คน กล่าวได้ว่ายังไม่ทันเคลื่อนทัพออกศึกก็ต้องมาตายเสียก่อน...
“ทางเข้าซากโบราณสถานอยู่ตรงหน้าแล้ว”
เย่เฟิงซ่อนตัวและเข้าใกล้ค่ายของสำนักใหญ่ทั้งสามอย่างระมัดระวัง เดิมทีสถานที่นี้เป็เพียงผืนทะเลทรายที่ไร้สิ่งมีชีวิต แต่ตอนนี้กลายเป็ที่รวมตัวของสำนักใหญ่ทั้งสาม และมีคนเป็ร้อยอยู่ในค่าย จะเห็นได้ว่าผู้คนจากสำนักใหญ่ทั้งสามอาศัยอยู่อย่างกลมกลืนกัน แต่เื้ัทั้งสามสำนักต่างก็เป็ศัตรูกัน
ไม่ช้าเย่เฟิงก็เข้าใกล้เต็นท์หลังหนึ่ง และได้ยินชายชราสองคนในเต็นท์คุยกันเสียงเบา
“มีเปลวไฟพุ่งขึ้นฟ้าเมื่อไม่กี่วันก่อนตกลงมาที่ทางเข้าซากโบราณสถานนี้ แต่วันนี้กลับไม่พบอะไรเลยงั้นหรือ?”
“ไม่มีข่าวอะไรเลย สำนักคุณว่าไงบ้าง?”
“ฉันได้ข่าวมา คนจากตำหนักไท่จี๋เจาะเข้าไปทางเดินขนาดใหญ่ด้านซ้ายของซากโบราณสถาน ดูเหมือนว่าพบอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา...”
“มันคืออะไรกัน?”
“มันคือกำแพงเปลวเพลิง!”
…………
เย่เฟิงที่ซ่อนตัวอยู่นอกเต็นท์เมื่อได้ยินทั้งสองคนพูดถึงเื่นี้ก็อดประหลาดใจไม่ได้ กำแพงเปลวเพลิงในซากโบราณสถาน?
ด้านหลังกำแพงนั้นต้องเป็ที่หลบซ่อนของราชันหั่วยวินเยาแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าผู้ฝึกวรยุทธ์เหล่านี้จะหาวิธีเข้าไปในกำแพงเปลวเพลิงได้หรือไม่? หากเป็เช่นนั้น สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ต้องเป็หายนะแน่นอน!