ยามค่ำคืน แสงดาวพร่างพรายเต็มท้องฟ้า เงาไม้ต้องกับสายลมยามราตรี เสียงจิ้งหรีดและแมลงกลางคืนดังประสานกันราวกับบรรเลงบทเพลงแห่งความสงัดภายในเรือนรับรองที่หรูหราสง่างามที่สุดของตระกูลฉิน แม้จะเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสะดวกสบาย แต่ร่างของชายชราผู้หนึ่งกลับไม่อาจข่มตาหลับได้ ไป๋อี้เซิน ผู้เป็หมอเทวดา ลุกขึ้นจากเตียงอย่างเชื่องช้า ฝีเท้าแ่เบาแต่มั่นคง
เขาผลักบานประตูไม้เปิดออก เสียงบานพับดังเอี๊ยดแ่เบา แสงจันทร์ส่องลงมาทาบเงาร่างของเขาให้ทอดยาวไป ตามลานหินหน้าจวน
“นายท่าน”เสียงทักดังขึ้นจากเงามืด บรรดาคนคุ้มกันที่แม่ทัพจัดวางไว้รีบโค้งศีรษะด้วยความเคารพในทันที ไป๋อี้เซินเหลือบมองเพียงน้อย ก่อนยกมือโบกเบา ๆ น้ำเสียงของเขาราบเรียบ อ่อนโยนแต่เด็ดขาด“ข้าเพียงแค่อยากออกมาเดินสูดอากาศ ไม่จำเป็ต้องตาม”
ผู้คุ้มกันมองหน้ากันไปมา สีหน้าและแววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความลำบากใจ คำสั่งของแม่ทัพฉินนั้นชัดเจนยิ่งให้ปกป้องหมอเทวดาผู้นี้อย่างเข้มงวดที่สุด หากเขามีอันใดผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ศีรษะพวกเขาย่อมมิอาจรักษาไว้ได้
แต่เมื่อเห็นแววตาสงบนิ่งของชายชราผู้นี้ พวกเขาก็รู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ขัดขืน
“ขอรับ” เสียงตอบรับดังขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่พวกเขาจะถอยออกไปเพียงเล็กน้อย ปล่อยให้ร่างสูงชราเดินลับหายไปในเงามืดแห่งรัตติกาล
เพียงไม่นานหลังจากที่ก้าวออกจากห้องรับรอง ร่างของไป๋อี้เซิน ก็มาหยุดยืนอยู่หน้าเรือนเล็กอันเงียบสงบของตระกูลฉิน สถานที่ที่ไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญมากนัก เวรยามสองสามคนที่ยืนคุมเชิงอยู่หน้าประตูยังคงเฝ้าตามหน้าที่ หากแต่กระแสลมปราณแ่เบาที่ชายชราสะบัดออกไปกลับแทรกซึมเข้าในร่างพวกเขาโดยไม่ทันรู้ตัวเพียงชั่วลมหายใจ เวรยามเ่าั้ก็ทรุดลงไปกับพื้น เปลือกตาปิดสนิท ราวกับกำลังหลับฝันหวานอย่างสงบสุข ทั้งที่ยังอยู่ในหน้าที่ ไป๋อี้เซินก้าวมาหยุดที่หน้าประตูไม้เก่า ๆ สายตาเรียบนิ่ง แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความสงสัย เขาเอ่ยวาจาเบา ๆ ราวกับเสียงลมกระซิบ“สาวน้อย…เ้าพอจะออกมาพูดคุยกับข้าได้หรือไม่?”
ถ้อยคำนั้นแ่เบาเพียงพอที่จะไม่รบกวนผู้ใด แต่ก็มั่นใจว่าคนด้านในย่อมได้ยินชัดเจนตามเจตนา ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับเกินคาด เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น เสียงหวานใสตอบกลับมาจากด้านในทันควัน แฝงด้วยความเ็าและชาญฉลาดเกินวัย“ท่านไม่รู้หรือ…ว่าการมาเยือนเรือนของสาวน้อยในยามวิกาลเช่นนี้ มันไม่ดีเอาเสียเลย?”
ไป๋อี้เซินสะดุ้งเฮือก แม้ร่างกายมิได้ขยับ แต่หัวใจกลับสั่นสะท้าน เขาสบถในใจอย่างเหลือเชื่อ“นี่…นางััได้ทันทีที่ข้าเอ่ยวาจา ที่แท้เด็กสาวผู้นี้มีความสามารถถึงเพียงนี้หรือ?”
ชายชราผู้ผ่านโลกมาเกินกว่าครึ่งศตวรรษ เคยพบเจอผู้มีพร์นับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยพบเด็กหญิงวัยเพียงสิบปีผู้หนึ่ง ที่จะสามารถตอบโต้เขาได้ฉับพลันเช่นนี้ น้ำเสียงนั้นไม่ใช่แค่คำปราม แต่คือการบอกให้เขารู้นางมิใช่ผู้ที่จะดูแคลนได้โดยง่าย ความสงสัยวนเวียนในใจไม่หยุดหย่อน และไม่นานเสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังขึ้นจากด้านใน ประตูเรือนถูกเลื่อนเปิดออกช้า ๆ ร่างเล็กของ ฉินเซียนหรู ปรากฏกายท่ามกลางแสงจันทร์ที่ทอดส่องลงมา
กลิ่นหอมอันละมุนที่คล้ายโอสถชั้นดีพลันลอยมาตามลม ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งชัดเจนจนแทบกลืนกลายไปกับลมหายใจ ไป๋อี้เซินขมวดคิ้ว ดวงตาเต็มไปด้วยแววไม่อยากจะเชื่อ เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาตรง ๆ“ข้าได้กลิ่นหอมของโอสถจากกายเ้า… เ้าหลอมมันขึ้นมาด้วยตัวเองหรือ?”
เด็กสาวเลิกคิ้วเล็กน้อย ั์ตาของนางวาววับพลางยกหนังสือทักษะเล่มหนึ่งส่งให้ตรงหน้าไป๋อี้เซิน
“ข้ากำลังฝึกหลอมโอสถ” เสียงใสเอื้อนเอ่ยอย่างสงบ
ไป๋อี้เซินยื่นมือมารับ เมื่อสายตาชราของเขากวาดผ่านตัวอักษรบนหน้าหนังสือ ใบหน้าที่เคยสงบนิ่งกลับสั่นสะท้าน หนังสือเล่มนี้…เป็เพียง ตำราทักษะหลอมโอสถขั้นต้น ที่แม้แต่เด็กฝึกใหม่ยังสามารถหยิบยืมได้ง่าย ๆ ทว่ากลิ่นโอสถที่หอมละมุนติดตัวนางนั้น กลับเป็โอสถที่มี ความบริสุทธิ์เต็มสิบส่วน
มือชราของเขาเผลอกำแน่นเล็กน้อย หัวใจสั่นไหวด้วยความตื่นตะลึง “โอสถที่ข้าเองยังยากจะรักษาความบริสุทธิ์ได้เต็มส่วน แต่นางกลับทำสำเร็จจากตำราขั้นต้น… นี่มิใช่เื่ธรรมดาอีกแล้ว” ดวงตาของไป๋อี้เซินจ้องมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง คราวนี้ไม่ใช่เพียงเพราะความสงสัย หากแต่เป็ความรู้สึกยกย่องที่แท้จริง เขามองออกทันทีไม่ว่าจะพร์ทางปราณหรือระดับสติปัญญา เด็กสาวผู้นี้ล้วนก้าวล้ำเหนือคนทั้งแผ่นดินไปแล้ว
“ในที่สุด… ข้าก็พบศิษย์สืบทอดที่คู่ควรแล้ว”
เพียงสะบัดปลายนิ้ว แหวนมิติของเขาก็เปล่งแสงวูบ หนังสือทักษะนับสิบเล่มปรากฏขึ้นตรงหน้า แต่ละเล่มล้วนเป็ตำราหลอมโอสถและคัมภีร์แพทย์ที่สะสมจากประสบการณ์ทั้งชีวิต เนื้อหาของมันไม่เพียงหายาก หากแต่ล้ำค่าเกินกว่าทรัพย์สินใด ๆ จะทดแทนได้
ฉินเซียนหรูเบิกตากว้าง ั์ตาพราวระยับด้วยความปลาบปลื้ม นางรู้ดีชายชราผู้นี้คือผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็หมอเทวดา ผู้ที่แม้จักรพรรดิยังให้เกียรติ หากในชาติก่อนนางเพียงได้ยินชื่อเสียง แต่ชาตินี้นางกลับได้โอกาสก้าวขึ้นมาเป็ศิษย์ด้วยตนเองเด็กสาวก้าวออกไปข้างหน้า คุกเข่าลงแนบสนิทกับพื้น ดวงตาเต็มไปด้วยความเคารพ“ขอบพระคุณท่านอาจารย์” เสียงของนางใสกังวาน นอบน้อมจากใจจริง
ไป๋อี้เซินทอดสายตามองด้วยความพอใจ แววตาอ่อนโยนแฝงความจริงจัง“ฉินเซียนหรู… เ้าเป็เด็กที่ฉลาดและไม่ธรรมดายิ่งนัก” เขาเว้นจังหวะ ก่อนเอ่ยถ้อยคำที่หนักแน่นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ“แต่เ้าจงจำไว้ให้ดี ความสัมพันธ์ระหว่างเรา ต้องเป็ความลับขั้นสูงสุด หากมีผู้ใดล่วงรู้ เ้าจะนำภัยมหันต์มาสู่ตัวเองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง”
ตำราที่กองอยู่เบื้องหน้าส่องแสงแ่เบาราวกับบอกชะตา เด็กสาวเงยหน้าขึ้น ดวงตาสั่นไหวด้วยทั้งความตื่นเต้นและความมุ่งมั่น นางเข้าใจดีว่าเส้นทางที่กำลังจะก้าวเดินนี้ เต็มไปด้วยอันตราย แต่ก็เป็เส้นทางเดียวที่จะทำให้นางมีอิสระและพลังเพียงพอจะปกป้องตนเอง
ยามราตรีคลี่คลุมทั่วทั้งเรือนเล็ก แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างโปร่งบางเข้ามาอาบร่างทั้งสองคนชายชรากล่าวถ่ายทอดประสบการณ์ที่สั่งสมมาชั่วชีวิต ทั้งวิชาหลอมโอสถ การแพทย์ลึกล้ำ ไปจนถึงหลักการสำคัญในการดำรงตน เด็กสาวนั่งนิ่งฟังทุกถ้อยคำด้วยดวงตาเป็ประกาย ราวกับไม่อยากให้แม้แต่เศษเสี้ยวความรู้หล่นหายไปจากหูของตน
บางครั้งไป๋อี้เซินก็หัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นแววตาเข้าใจทันทีของนาง ทั้งที่เื่ที่เอ่ยออกมาล้วนเป็สิ่งที่แม้แต่ผู้ใหญ่ผู้ช่ำชองยังต้องใช้เวลาหลายสิบปีจึงจะซึมซับ แต่เด็กสาววัยเพียงสิบปีกลับสามารถจับใจความได้อย่างลึกซึ้ง
“ช่างน่าเหลือเชื่อ…” เขาพึมพำกับตัวเองหลายครั้ง ในขณะที่เซียนหรูเพียงยิ้มบางอย่างสงบ ราวกับทุกสิ่งที่ได้รับฟังคือของขวัญล้ำค่าที่์ประทานมา
เวลาผ่านไปรวดเร็วเกินกว่าจะรู้สึกได้ จากจันทราสว่างกลางฟ้า จนกระทั่งแสงแรกแห่งอรุณเริ่มแทรกผ่านขอบฟ้า เสียงนกยามเช้าเริ่มขับขานแทนที่เสียงจิ้งหรีดในราตรี ทั้งสองยังคงนั่งสนทนากันอยู่เช่นนั้น ศิษย์น้อยผู้เปี่ยมพร์ และอาจารย์ชราผู้แบกรับภาระแห่งวิชาทั้งชีวิต ราวกับกงล้อแห่งโชคชะตาได้เริ่มหมุนใหม่ในยามค่ำคืนอันยาวนานนี้เอง
