เฟิ่งเฉี่ยนพลันถามขึ้นว่า “ข้านั่งอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว?”
ชิงเหอกูกูตอบ “หนึ่งชั่วยามครึ่งแล้วเพคะ”
“หนึ่งชั่วยามครึ่ง...” เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะเยาะตัวเอง “ข้าถึงกับไม่มีอะไรทำ รออยู่ที่นี่เฉยๆ ถึงหนึ่งชั่วยามครึ่ง”
นางพลันรู้สึกว่าเหลือเชื่อ!
หากเปลี่ยนเป็เมื่อก่อน นางไม่มีทางเสียเวลานานเพียงนี้เพื่อไปทำเื่ไร้ความหมายเื่หนึ่ง
มิใช่อยู่ระหว่างทางไปสังหารคน ก็อยู่ระหว่างทางไปหาของอร่อยๆ กิน
แต่นางในตอนนี้ถึงกับมีความอดทนมานั่งรอคนๆ หนึ่ง นี่มันไม่เหมือนนางเลย
“ข้าออกไปเดินยืดเส้นยืดสายสักหน่อย!” นางลุกขึ้นเดินออกไปนอกตำหนักบรรทม
เพิ่งจะเดินออกประตูมา ก็มีนางกำนัลคนหนึ่งวิ่งเข้ามา นางหลบหลีกอย่างว่องไวจึงทำให้รอดพ้นจากอุบัติเหตุเล็กๆ
นางกำนัลเห็นนางจึงคุกเข่าลงทันที “บ่าวสมควรตายเพคะ!”
เฟิ่งเฉี่ยนยกมือขึ้นให้นางลุกขึ้น “รีบร้อนเช่นนี้ เกิดเื่อะไรขึ้น?”
นางกำนัลมีสีหน้าเผือดขาวทันควัน นางอึกๆ อักๆ “เหนียง เหนียงเหนียง... ฝ่า ฝ่าาเขา...”
ได้ยิน “ฝ่าา” สองคำนี้ เฟิ่งเฉี่ยนมีสีหน้าเด็ดขาดทันที นางรีบถาม “ฝ่าาเขาไปไหน? อยู่ระหว่างทางมาตำหนักเว่ยยางหรือไม่?”
นางกำนัลส่ายหน้าอย่างลำบากใจ ไม่กล้าเงยหน้าสบตาเฟิ่งเฉี่ยน
เฟิ่งเฉี่ยนรับรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางถามเสียงเข้ม “ตกลงฝ่าาไปที่ใดกันแน่?”
นางกำนัลยังคงก้มหน้างุด อึกๆ อักๆ “ฝ่า ฝ่าาเขา...”
ชิงเหอกูกูที่อยู่ด้านข้างร้อนใจแล้ว นางตวาดเสียงดังอย่างทนไม่ไหว “เหนียงเหนียงถามเ้า เ้ายังไม่รีบตอบอีก?”
นางกำนัลคุกเข่าลงกับพื้นดังตุบอีกครั้ง นางพูดตะกุกตะกัก “เหนียงเหนียง เมื่อสักครู่บ่าวไปถามที่ห้องทรงพระอักษรเพคะ ฝ่าาไม่อยู่ห้องทรงพระอักษร บ่าวถามจ้าวกงกงแล้วจึงรู้ว่า...จึงรู้ว่าคืนนี้ฝ่าาไปเสวยพระกระยาหารค่ำที่หลานเฟยเหนียงเหนียงเพคะ!”
หัวใจของเฟิ่งเฉี่ยนหล่นวูบ หากตามความประสงค์ของไทเฮา คืนนี้้าให้องค์หญิงหลานซินถวายตัวมิใช่หรือ?
ไม่! อาจเป็เพียงแค่การกินอาหารเย็นเท่านั้น?
แต่ทั้งๆ ที่เขารับปากแล้ว คืนนี้จะมากินอาหารค่ำเป็เพื่อนนางนี่นา เหตุใดจึงเปลี่ยนใจกะทันหัน?
หากเขามีเื่ด่วน เขาควรจะมาบอกนางล่วงหน้าสักคำ?
หรือเขาไม่รู้ว่านางรอเขาอยู่ที่นี่ตลอดเวลา?
จิตใจของนางรู้สึกย่ำแย่อย่างที่สุด!
“เหนียงเหนียง ท่านอย่าได้คิดอะไรเหลวไหลเพคะ! ฝ่าา ฝ่าาอาจจะมีเหตุผลอื่น...” ชิงเหอกูกูพยายามปลอบโยนนาง
เฟิ่งเฉี่ยนส่ายหน้าด้วยความรู้สึกฝาดเฝื่อน “ในเมื่อเขาไม่มาแล้ว พวกเราก็กินกันเองเถิด! พวกเ้าทุกคนนั่งลง กินข้าวเป็เพื่อนข้า!”
นางกำนัลทั้งหมดมองหน้ากันไปมา
ข้าวมือนี้กินได้อย่างอึดอัดใจที่สุด ไม่มีใครกล้าส่งเสียง กระทั่งเคี้ยวอาหารก็ไม่กล้าเสียงดัง ด้วยเกรงว่าจะรบกวนความคิดของฮองเฮา
เฟิ่งเฉี่ยนไม่รู้เช่นกันว่าข้าวมือกินเสร็จได้อย่างไร รู้สึกเพียงแต่ว่าคนทั้งคนราวกับอยู่ในความฝัน เคว้งคว้างโดดเดี่ยว
ถวายตัวใช่หรือไม่? หรือแค่กินอาหารค่ำเท่านั้น?
ปัญหานี้ดังขึ้นในหัวสมองของนางตลอดเวลา ทรมานนางตลอดเวลา!
ในที่สุด นางก็นั่งไม่ติด นางวางชามและตะเกียบลงเมื่อลุกขึ้น “ข้าไปวังบูรพาสักเที่ยว พวกเ้าไม่ต้องตามมา!”
ปากนางบอกว่าไปวังบูรพา แต่เท้าทั้งสองข้างกลับมุ่งหน้าไปตำหนักยีหลันอย่างควบคุมไม่ได้!
ขณะที่เกือบจะไปถึงตำหนักยีหลันนั้น มองเห็นแต่ไกลว่าจ้าวกงกงและคนอื่นๆ ยืนเฝ้าอยู่นอกประตู ขบวนยิ่งใหญ่อลังการ และมีเสียงดนตรีบรรเลงดังมาจากด้านในตำหนักยีหลันเป็พักๆ หัวใจของเฟิ่งเฉี่ยนหล่นวูบดำดิ่งไม่หยุด
ที่แท้เป็ความจริง เขามาตำหนักยีหลันจริงๆ!
หัวใจร้อนรน กระวนกระวาย!
สลดหดหู่ ว่างโหวง!
แต่เมื่อนางใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน เขาเป็ฮ่องเต้ เขาไปกินข้าวในตำหนักของพระชายาของเขา เป็เื่ปกติยิ่งกว่าปกติ! ก็เหมือนการกินข้าวมื้อหนึ่ง ไม่มีความจำเป็ต้องบอกกล่าวอะไรนาง!
แต่เพราะเหตุใดในสายตาของนางแล้ว กลับเป็เื่ยากที่จะยอมรับได้นะ?
นางพลันคิดกระจ่างแจ้ง ที่แท้นางคิดว่าตนเองสำคัญเกินไป สำคัญจนกระทั่งทั้งวังหลวงต้องมีนางเพียงคนเดียว!
การมีอยู่ของคนอื่นๆ ล้วนทำให้นางไม่สบายใจทั้งสิ้น!
ดังนั้น หากจะบอกว่าแปลก หากจะบอกว่าเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ไม่ใช่พวกเขา แต่เป็นางต่างหากเล่า!
ระหว่างที่จิตใจเหม่อลอย จ้าวกงกงเห็นนางเข้าจึงเดินเข้ามาทักทาย “เหนียงเหนียง พระองค์ไฉนจึงมาอยู่ที่นี่ มาพบฝ่าาหรือพ่ะย่ะค่ะ? ฝ่าาเสวยพระกระยาหารค่ำกับหลานเฟยเหนียงเหนียง ้าให้บ่าวเข้าไปรายงานหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เฟิ่งเฉี่ยนตอบโดยไม่ต้องคิด “ไม่ต้อง!”
จากนั้นนางรีบจ้ำเท้าจากมา
นางไม่อยากยอมรับ แต่ตอนนี้นางเดินอย่างรีบเร่งขาแทบจะพันกัน และถึงขั้นน่าอเนจอนาถ!
จากตำหนักยีหลันมายังวังบูรพา เฟิ่งเฉี่ยนราวกับไร้ิญญา
กระทั่งได้ยินเสียงท่องตำราดังมาจากวังบูรพา เฟิ่งเฉี่ยนจึงได้สติ
“สายธารคดเคี้ยว ต้นไผ่เขียวชอุ่ม บุรุษเพียบพร้อม คุณธรรมความรู้ จริยะธรรมโอบอ้อม เป็ที่สรรเสริญ บุรุษเพียบพร้อม ผู้คนจดจำ...”
เสียงของเด็กน้อย ทว่ากลับท่องบทกวีมีความหมายลึกซึ้ง เฟิ่งเฉี่ยนถึงกับหัวเราะเบาๆ นี่เป็่เวลาที่นางรู้สึกเป็สุขในค่ำคืนนี้!
ดีจริง!
นางยังมีบุตรชาย!
นางเดินเข้าไปในวังบูรพากระทั่งถึงห้องหนังสือ เห็นร่างเล็กๆ ของบุตรชายนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวสูง ศีรษะเล็กๆ นั้นโยกไปโยกมาขณะท่องตำรา น่ารักที่สุด
“เย่เอ๋อร์ กำลังท่องอะไรอยู่?”
เห็นนางมา เ้าเด็กน้อยะโลงมาจากเก้าอี้แล้ววิ่งเข้ามาหานางทันที!
“เสด็จแม่ ท่านมาได้อย่างไร? เย่เอ๋อร์กำลังท่องบทกวีบทหนึ่ง บทกวีนี้ชื่อ 《ฉีอวี้[1]》เป็การบ้านที่มู่ไท่ฟู่ทิ้งไว้พ่ะย่ะค่ะ!”
“มู่ไท่ฟู่?” เฟิ่งเฉี่ยนประหลาดใจเล็กน้อย “เขากลับมาทำงานเร็วเช่นนี้หรือ?”
ก่อนหน้านี้ได้ยินมู่ชิงเซียวพูดให้ฟังว่าเซวียนหยวนเช่อเชิญมู่ไท่ฟู่มาเป็อาจารย์ของไท่จื่อน้อย แต่จนใจที่เขาต้องพิษจึงนอนป่วยอยู่บนเตียงตลอดมาทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย ตอนนี้พิษในร่างกายของมู่ไท่ฟู่ถูกถอนออกไปแล้ว เขาจึงรีบกลับเข้ามารับตำแหน่ง ช่างมีความรับผิดชอบในหน้าที่!
“มู่ไท่ฟู่เพิ่งมาวันนี้พ่ะย่ะค่ะ มาถึงก็ให้การบ้านมากมาย ต่อไปเย่เอ๋อร์จะยุ่งมากๆ ไม่มีเวลาไปเล่นเป็เพื่อนเสด็จแม่อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เ้าเด็กน้อยถึงกับทอดถอนใจ ทั้งๆ ที่เป็ตัวเขามาติดพัน นางเล่นเป็เพื่อนเขา แต่กลับพูดเป็ว่าเขามาเล่นเป็เพื่อนนาง เ้าเด็กน้อยช่างเ้าเล่ห์นัก!
เขาเปลี่ยนน้ำเสียงกะทันหัน เมื่อพูดว่า “แต่มู่ไท่ฟู่ได้บอกเช่นกันว่า ทนความลำบากได้ ต่อไปจึงจะเป็คนเหนือคน ต่อไปเย่เอ่อร์ต้องเป็คนเหนือคน ดังนั้นจำเป็ต้องได้รับความลำบากมากกว่าคนอื่นพ่ะย่ะค่ะ!”
เห็นท่าทางเป็จริงเป็จังราวกับเป็ผู้ใหญ่ของเขา พูดคำพูดที่ผู้ใหญ่ควรพูด เฟิ่งเฉี่ยนได้แต่รู้สึกปวดใจ!
แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางแน่ใจได้ มีมู่ไท่ฟู่อยู่ ต่อไปนางไม่จำเป็ต้องเป็ห่วงบุตรชายอีกแล้ว
ต่อให้นางไปจากที่นี่แล้ว...เขาก็ไม่เป็ไรกระมัง?
นางลูบศีรษะเล็กๆ ของไท่จื่อน้อยเมื่อพูดว่า “เย่เอ๋อร์ ถ้าหากวันหนึ่งเสด็จแม่ต้องไปจากวังหลวง เ้ารับปากเสด็จแม่ได้หรือไม่ว่าจะเชื่อฟังเสด็จพ่อและมู่ไท่ฟู่ ไม่ร้องไห้ไม่งอแง?”
ไท่จื่อน้อยตกตะลึง มองนางด้วยดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา “เสด็จแม่ ท่านจะไปไหน? ท่านไม่้าเย่เอ๋อร์แล้วหรือ?”
[1] ฉีอวี้ เป็บทกวี ที่สรรเสริญชื่นชมสุภาพบุรุษ เป็บทกวีก่อนยุคราชวงศ์ฉิน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้