หลัวเลี่ยเดินขึ้นไปบนสะพานเหนือเมฆ
เมื่อหลัวเลี่ยขึ้นไปบนสะพานแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามวลอากาศที่อยู่รอบๆ ตัวเกิดการปั่นป่วน จากนั้นจู่ๆ เขาก็หายไปจากสะพานเหนือเมฆ และบริเวณที่เขาเคยยืนอยู่ก็ค่อยๆ ปรากฏภาพมวลน้ำขนาดใหญ่ครอบคลุมร่างของเขาไว้
เมื่อผู้รับผิดชอบบททดสอบเห็นภาพนี้ เขาก็ยิ้มออกมาพร้อมกับเดินมาทางซูเล่ยและโค้งคำนับ “นายน้อยซู พวกเราได้ทำตามคำสั่งของท่านแล้ว สิ่งที่ปรากฏขึ้นคือเจตจำนงแห่งธาราชนิดที่รุนแรงที่สุดขอรับ”
“เจตจำนงแห่งธารา? หลัวเลี่ยฝึกฝนเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินด้านนทีนะ เื่นี้จะไม่มีปัญหาแน่หรือ” ซูเล่ยถาม
“ไม่ขอรับ ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน” ผู้รับผิดชอบยืนยัน “หากเขาไม่ได้มีพลังในเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินด้านนทีระดับทองขึ้นไป ย่อมทำอะไรการทดสอบที่เป็เจตจำนงแห่งธาราไม่ได้แน่นอนขอรับ”
ซูเล่ยพยักหน้าและพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี อย่าคาดหวังถึงพลังในระดับทองเลย เขาคงมีพลังไม่ถึงระดับสำริดด้วยซ้ำ อย่างมากก็คงจะอยู่แค่ระดับโลหะเท่านั้น หากเป็เช่นนี้แม้ว่าเขาจะไม่ตาย แต่ก็คงไม่มีทางผ่านบททดสอบนี้ไปได้”
ผู้รับผิดชอบพูดอย่างมั่นใจ “ข้าน้อยคิดว่าเขาไม่มีทางผ่านบททดสอบนี้ไปได้อย่างแน่นอนขอรับ หากผู้ที่ได้รับบททดสอบเจตจำนงแห่งธารานี้มิใช่อัจฉริยะที่มีพร์สูงส่งแล้วย่อมไม่มีใครผ่านไปได้แน่ แม้แต่นายน้อยซู ข้าก็คิดว่าท่านจะไม่ผ่านบททดสอบนี้เช่นกันขอรับ”
“อะไรนะ เ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาดูถูกข้า” ซูเล่ยพูดด้วยความโกรธ
“ไม่ใช่ขอรับๆ ข้าน้อยหมายความว่า หลัวเลี่ยต้องไม่ผ่านบททดสอบนี้อย่างแน่นอนขอรับ” ผู้รับผิดชอบรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
ซูเล่ยตะคอก “เขาจะผ่านบททดสอบไม่ได้เด็ดขาด และจะดีที่สุดหากเขาตายอยู่ข้างในนั้นได้!”
ขณะเดียวกันคลื่นน้ำภายในมิติของเจตจำนงแห่งธาราก็กำลังหมุนวนอย่างรุนแรง
ทันทีที่หลัวเลี่ยก้าวเข้ามาภายในมิติของเจตจำนงแห่งธารา เขาก็รู้สึกว่าใต้เท้าของเขาว่างเปล่า และเขากำลังจะตกลงไปในกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว
จิตใจของหลัวเลี่ยหวั่นไหวเล็กน้อย ทันใดนั้นเกิดเปลวไฟลุกโชนบนแผ่นหลังของเขา
วิชาปีก์เลี่ยหยาง!
นี่คือวิชาที่เกี่ยวกับการเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ที่ข่งเซวียนเพิ่งคิดค้นขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ และวิชานี้มีคนในตระกูลข่งเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ฝึกฝนได้สำเร็จ ซึ่งตำราของวิชานี้เป็สิ่งที่ข่งไท่โต้วใช้เดิมพันกับหลัวเลี่ย จนสุดท้ายพวกเขากลายมาเป็พี่น้องกัน
หลัวเลี่ยเองก็เพิ่งใช้วิชานี้อย่างจริงจังเป็ครั้งแรกเช่นกัน
เปลวเพลิงที่เกิดจากปีก์เลี่ยหยางนั้นลุกโชนอย่างรุนแรง
เปลวเพลิงนี้ลุกโชนขึ้นสูงถึงสามจั้ง แม้ว่าเปลวเพลิงนี้จะไม่ใช่พลังที่พิเศษมาก แต่ก็มีต้นกำเนิดมาจากพลังแก่นแท้ของธรรมชาติ ดังนั้นมันจึงมีอานุภาพรุนแรงมาก
เปลวเพลิงที่ลุกโหมกระหน่ำนี้ทำให้บรรยากาศรอบกายหลัวเลี่ยร้อนขึ้น ทำให้น้ำที่อยู่รอบๆ ตัวเขาระเหย จนเกิดเป็ช่องว่างในอากาศ
“ขอเพียงข้าอยู่ในนี้แค่ครึ่งชั่วยามก็จะผ่านบททดสอบ”
“เื่มันง่ายเช่นนี้เลยหรือ?”
หลัวเลี่ยรู้ว่าซูเล่ยต้องหาทางเล่นงานเขาแน่ ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังตัวมากขึ้น
เมื่อมองกระแสน้ำที่หมุนวนอยู่รอบตัว หลัวเลี่ยก็เห็นว่ามันไหลเชี่ยวกราก เขาคิดว่าหากบินออกไปโดยไม่วางแผนทิศทางให้ดีคงไม่สามารถออกจากมิตินี้ได้สำเร็จ และอาจถูกกระแสน้ำพัดเข้าไปลึกยิ่งขึ้นก็เป็ได้ ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนว่ายิ่งลงไปลึกเท่าไรกระแสน้ำนี้ก็ยิ่งไหลเชี่ยวเท่านั้น หากเขาอยู่ในนี้นานๆ คงไม่อาจทนความเชี่ยวที่ให้ความรู้สึกเหมือนมีดาบมาฟันตามผิวกายอย่างต่อเนื่องได้แน่
หลัวเลี่ยมองไปรอบๆ กาย กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากนี้ไม่มีจุดสิ้นสุด ไม่ว่าเขาจะมองไปทางไหนก็เห็นเพียงน้ำเท่านั้น
ขณะที่เขากำลังมองทุกอย่างและคิดวางแผนอยู่นั้น พลันมีเสียงคำรามดังขึ้น
จู่ๆ กระแสน้ำก็พุ่งออกมาจากมวลน้ำที่อยู่ตรงหน้าหลัวเลี่ย กระแสน้ำที่พุ่งขึ้นมาและมีความสูงถึงสามจั้งนี้ได้กลายเป็ัวารีที่ดุร้าย มันพุ่งเข้าหาหลัวเลี่ยอย่างรวดเร็ว
“ไม่ง่ายจริงๆ ด้วย”
ปีก์เลี่ยหยางบนแผ่นหลังหลัวเลี่ยกระพืออย่างรวดเร็วและรุนแรง
พรึ่บๆ...
การกระพือนี้ทำให้มีลูกไฟออกมาจากปีก์เลี่ยหยางพุ่งตรงไปทางัวารี
ปังๆ...
ัวารีที่ปรากฏกายขึ้นเมื่อถูกลูกไฟของหลัวเลี่ยพุ่งเข้าใส่ ร่างของมันก็สลายกลายเป็น้ำและไหลกลับไปที่มวลน้ำเดิมทันที
หลังจากัวารีถูกหลัวเลี่ยทำให้สลายไปแล้ว ก็เหมือนกับเขาได้ไปกระตุ้นกลไกบางอย่างขึ้น ทำให้มีสายน้ำหลายสิบสายพุ่งขึ้นรวมตัวกันกลายเป็ัวารีขนาดใหญ่กว่าเดิม และมันก็พุ่งมาทางเขาอีกครั้ง
จิตใจของหลัวเลี่ยสั่นไหวเล็กน้อย ปีก์เลี่ยหยางบนหลังเขากระพืออย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้เขาพุ่งทะยานขึ้นไปสวนทางกับกระแสน้ำที่รั้งเขาไว้
หลัวเลี่ยเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนกระแสน้ำมิอาจโจมตีเขาได้ทัน
เมื่อสายน้ำสองสายตรงหน้าหลัวเลี่ยรวมตัวกลายเป็ัวารีอีกครั้ง และพุ่งตรงมาทางเขา หลัวเลี่ยเอียงตัวหลบเล็กน้อย ก่อนบังคับปีก์เลี่ยหยางให้พาตัวเองบินขึ้นไปอีก
ฉึก! ฉึก!
ปีก์เลี่ยหยางนอกจากจะโดดเด่นในเื่ความเร็วแล้ว ตัวปีกยังคมกริบราวกับใบมีด มันช่วยพาหลัวเลี่ยตัดผ่านกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวออกมาได้ นอกจากนี้เปลวเพลิงที่ลุกไหม้อยู่บนปีกก็ทำให้มวลน้ำที่อยู่รอบๆ ตัวเขาระเหยกลายเป็ไออีกด้วย
หลัวเลี่ยบินขึ้นไปภายในมวลน้ำนี้อย่างรวดเร็วด้วยความยากลำบาก
เขา้าเห็นว่าบททดสอบที่ชื่อว่าเจตจำนงแห่งธาราของสะพานเหนือเมฆนั้นมีความพิเศษอย่างไร
เมื่อหลัวเลี่ยบินด้วยความเร็วสูงสุด ปีก์เลี่ยหยางก็เริ่มแสดงความพิเศษของมันออกมา ตรงหน้าเขามีสายน้ำมากมายพยายามพุ่งเข้าโจมตีหลายครั้ง แต่เขาก็บินผ่านสายน้ำเ่าั้มาได้
ขณะที่หลัวเลี่ยบินอยู่ เปลวเพลิงบนปีก์เลี่ยหยางลุกโชนบนหลังของเขาจนทำให้กระแสน้ำที่จะพุ่งเข้าโจมตีเขาระเหยหายไป
หลัวเลี่ยบินอยู่อย่างนี้เป็เวลาเกือบหนึ่งเค่อ[1] เขาคาดว่าด้วยความเร็วของปีก์เลี่ยหยาง หากเป็สถานการณ์ปกติเขาน่าจะบินมาได้ไกลเป็ระยะทางเกือบสี่สิบลี้[2]แล้ว แต่หลัวเลี่ยกลับพบว่าตอนนี้เขาเหมือนกับยังวนอยู่ที่เดิม
ด้วยความสงสัย เขาจึงปล่อยลูกไฟออกมา เขาไม่ได้ตั้งใจให้ลูกไฟที่ปล่อยมาเหล่านี้พุ่งโจมตีกระแสน้ำ แต่เขาปล่อยให้มันบินไปสำรวจเส้นทาง
หลังจากปล่อยลูกไฟออกไปเขาก็พบว่าไม่ว่าลูกไฟจะพุ่งไปเร็วแค่ไหนมันก็เหมือนจะวนกลับมาที่เดิมเสมอ
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ที่หลัวเลี่ยคิดว่าตัวเองกำลังบินอยู่นั้น แท้จริงแล้วเขายังคงวนอยู่ที่จุดเดิมเสมอ
สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้หลัวเลี่ยรู้สึกได้ถึงอันตรายของบททดสอบนี้แล้ว
“ปัญหาติดอยู่ที่ตรงไหนกัน”
หลัวเลี่ยมองไปรอบๆ กายอีกครั้ง และในที่สุดเขาก็มองเห็นแสงสว่างท่ามกลางมวลน้ำนี้
“ด้วยมวลน้ำที่กว้างใหญ่เช่นนี้ เจตจำนงที่แท้จริงแห่งธาราอาจอยู่กลางมวลน้ำหรือข้างล่างมวลน้ำนี้ก็เป็ได้”
หลัวเลี่ยรีบบินพุ่งตรงไปที่กลางมวลน้ำ
การเคลื่อนตัวในน้ำเป็ไปด้วยความยากลำบาก ยิ่งหลัวเลี่ยพาตัวเองเข้าไปลึกเท่าไร เขาก็ยิ่งปะทะเข้ากับกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นหากเป็คนทั่วไปพวกเขาคงจะเลือกบินออกไปจากจุดศูนย์กลาง และยืนหยัดอดทนให้ได้ถึงครึ่งชั่วยาม[3]เท่านั้น
แต่หลัวเลี่ยกลับทำตรงกันข้าม
เขา้าที่จะระบายความโกรธในใจของเขาอยู่แล้ว ดังนั้นอันตรายครั้งนี้เขาจะปะทะกับมันเอง
หลัวเลี่ยโคจรพลังวรยุทธ์ในร่างกายเพื่อเพิ่มพลังให้ปีก์เลี่ยหยาง และเพื่อเตรียมพร้อมหากเกิดเื่รุนแรงกว่านี้ เขาจะได้ใช้พลังจากเคล็ดวิชามหาหลุนิได้ทันท่วงที หลัวเลี่ยมั่นใจว่าการที่เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาั์ต้องทำให้ร่างกายของเขามีพลังมากอย่างแน่นอน
หลัวเลี่ยบินเข้าใกล้จุดศูนย์กลางของมวลน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่หลัวเลี่ยบินเข้าไปในมวลน้ำ ทันใดนั้นกระแสน้ำที่อยู่รอบๆ ตัวเขาก็หมุนวนก่อตัวเป็ัวารีขนาดใหญ่ที่ดูพร้อมจะพุ่งเข้ามาโจมตีหลัวเลี่ยทันที
“เ้าสลายไปก่อนเถิด!”
หลัวเลี่ยรวบรวมพลังส่งหมัดออกไปหนึ่งครั้ง
เคล็ดวิชามหาหลุนิ!
ตูม!
ัวารีตัวใหญ่ถูกหลัวเลี่ยทุบจนสลายกลายเป็หยดน้ำก่อนที่มันจะเข้ามาถึงตัวเขาได้
ัวารีที่สลายไปกลายเป็หยดน้ำได้กลับเข้าไปรวมตัวในมวลน้ำอีกครั้ง และทำให้มวลน้ำนั้นวนหมุนช้าลง ขณะเดียวกันหลัวเลี่ยก็กระพือปีก์เลี่ยหยางให้เร็วขึ้น จนทำให้เขาดำลึกลงไปในมวลน้ำได้มากยิ่งขึ้น
เขาบินมาไกลจากจุดเดิมเป็ระยะทางเกือบหนึ่งลี้
แม้ว่าการอยู่ในน้ำจะทำให้การหายใจเป็ไปด้วยความยากลำบาก แต่หลัวเลี่ยกกลับไม่มีปัญหาในเื่นี้ เพราะเขาฝึกฝนเคล็ดวิชาั์
และผลของการฝึกฝนเคล็ดวิชาั์ก็ทำให้หลัวเลี่ยทานทนต่อน้ำ ที่ไม่ว่าจะมีอุณหภูมิต่ำหรือสูงก็ไม่ส่งผลกระทบต่อหลัวเลี่ยเลยสักนิด
แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าเื่ทั้งหมดนี้ คือดูเหมือนว่าโดยปกติแล้วมวลน้ำนี้จะอยู่ในสภาวะสมดุล แต่เมื่อมีหลัวเลี่ยบินแหวกเข้ามา กลายเป็ว่าเขาเป็คนทำลายสภาวะสมดุลนี้ ทำให้มวลน้ำเหล่านี้กลายเป็เหมือนปรมาจารย์ที่มีพลังวรยุทธ์จำนวนมากกว่าร้อยท่านกำลังพุ่งเข้าโจมตีหลัวเลี่ยอย่างต่อเนื่อง และพลังโจมตีที่พุ่งเข้ามามากมายเช่นนี้ก็ทำให้หลัวเลี่ยหมดเรี่ยวแรงที่จะต้านทานอีกต่อไป
[1] 1 เค่อ ประมาณ 15 นาที
[2] 1 ลี้ ประมาณ 500 เมตร
[3] 1 ชั่วยาม ประมาณ 2 ชั่วโมง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้