ขณะที่อวี้เหวินหันกายกลับไป ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในห้วงสายตาของเขา ราวกับบุปผาต้องลมที่ร่วงหล่นลงบนผืนดิน
'ผู้ใดกัน! เหตุใดจึงมานอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่กลางป่าลึกเช่นนี้?' เขาครุ่นคิดในใจ พลางย่างเท้าเข้าไปหาร่างนั้นด้วยความระมัดระวัง ราวกับเกรงว่าเสียงฝีเท้าจะรบกวนการพักผ่อนอันแสนเงียบสงบของร่างนั้น ร่างนั้นคืุ์บอบบางที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติ จากนั้นมันค่อยๆ ปรากฏรูปร่างชัดเจนขึ้นในม่านสายตาของอวี้เหวิน
'ช่างงดงามเหลือเกิน...เป็สตรีงั้นหรือ?' อวี้เหวินจ้องมองไปยังร่างนั้นอย่างตะลึงงัน ราวกับต้องมนต์สะกด ผิวพรรณขาวผ่องดุจหิมะแรกต้องแสงจันทร์ ใบหน้างดงามหมดจดราวกับเทพธิดาที่ร่วงหล่นจากสรวง์ลงมายังโลกมนุษย์ เส้นผมสีแดงเพลิงยาวสลวยราวกับสายไหม ทว่า...บนชุดผ้าเนื้อดีที่นางสวมใส่นั้น ปรากฏร่องรอยแห่งการฉีกขาดและคราบโลหิตแห้งกรัง บ่งบอกถึงการเผชิญเคราะห์ร้ายมามิใช่น้อย
'ดูท่าทางนางคงจะได้รับาเ็สาหัสยิ่ง ข้าควรยื่นมือเข้าช่วยเหลือตามวิสัยบุรุษหรือไม่?' ความลังเลฉายชัดในดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวของเขา
"ตุบ!" เสียงฝ่ามือหนาหนักกระทบลงบนศีรษะตนเองเบาๆ "เ้ามันคนใจหินไปแล้วหรืออวี้เหวิน! เห็นสตรีที่กำลังจะสิ้นชีวาอยู่ตรงหน้า กลับมิคิดที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเยี่ยงบุรุษผู้มีคุณธรรม เ้ายังคงความเป็คนอยู่หรือไม่!" เขาตำหนิตนเองในใจอย่างรุนแรง รู้สึกละอายแก่ใจที่เคยมีความคิดลังเลแม้เพียงชั่วครู่
เขาค่อยๆ ย่อกายลงอย่างนอบน้อม ประคองร่างบอบบางนั้นขึ้นมาด้วยความทะนุถนอม ราวกับกลัวว่าลมหายใจของตนจะพัดพานางให้บอบช้ำ "ฟึ่บ!" อวี้เหวินอุ้มร่างนั้นแนบอก ััได้ถึงความเบาหวิวราวขนนก ทว่าในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่มิได้เบาบางดังที่เห็น 'ตัวเล็กเพียงเท่านี้ ทว่าน้ำหนักกลับมิได้เบาบางดังที่เห็น' หยาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นตามไรผมของเขา บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าที่เริ่มก่อตัว
ยามนี้เป็เวลาโพล้เพล้ แสงสุริยันได้ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ทิ้งไว้เพียงความมืดมิดที่เริ่มปกคลุมไปทั่วผืนป่า อวี้เหวินเดินลัดเลาะไปตามทางในป่าอย่างทุลักทุเล หลงทิศหลงทางไปหลายครา ท่ามกลางความมืดมิดและเงาตะคุ่มของหมู่แมกไม้ กว่าจะสามารถออกจากขุนเขาอันกว้างใหญ่นี้ได้ก็กินเวลาไปนานโข เวลานี้ ความมืดมิดได้ปกคลุมไปทั่วทุกสารทิศ พระจันทร์เสี้ยวสีเงินยวงและดวงดารานับร้อยนับพันถูกแขวนประดับอยู่บนท้องนภาสีดำสนิท ส่องแสงนวลตาลงมา ราวกับตะเกียงน้อยใหญ่ที่ส่องนำทางให้แก่คนทั้งสอง นี่เป็สัญญาณบ่งบอกว่ายามรัตติกาลอันเงียบสงัดได้มาเยือนแล้ว
ท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่ว หนึ่งบุรุษอุ้มร่างสตรีบอบบาง เริ่มปรากฏขึ้นช้าๆ อวี้เหวินก้าวเดินอย่างเนิบนาบ มิได้เร่งรีบ "ฟึด...ฟัด..." เสียงลมหายใจของเขาจะเริ่มหอบกระชั้นถี่รัว บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าที่เริ่มถาโถมเข้ามา มิเพียงแต่วันนี้เขาต้องออกล่าสัตว์เพื่อนำกลับไปเป็อาหาร ยังต้องแบกรับร่างจิ๋วนี้กลับมาด้วย ระยะทางที่ยาวไกลและสภาพถนนที่ขรุขระมิได้ราบเรียบ ยิ่งสร้างความยากลำบากให้แก่เขาเป็ทวีคูณ ราวกับมีภาระหนักอึ้งเพิ่มขึ้นบนบ่า
แต่ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนล้าเพียงใด จิตใจของอวี้เหวินกลับยังคงแน่วแน่ดุจขุนเขา เขาขบกรามแน่น กัดฟันฝืนทน พาร่างไร้เรี่ยวแรงของตนเองและสตรีในอ้อมแขน มุ่งหน้าไปยังบ้านที่อยู่ไกลออกไปให้จงได้ นี่แสดงให้เห็นถึงพลังใจอันแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าและความเมตตาที่ซ่อนลึกอยู่ในจิตใจของเขาได้อย่างชัดเจน ราวกับแสงดาวที่ส่องนำทางในความมืดมิด
"ตึกๆๆ" เสียงย่ำเท้าที่หนักแน่นแต่แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้าดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรีกาล อวี้เหวินใกล้จะถึงเรือนพักอันเป็ที่รักของตนแล้ว แสงจันทร์สาดส่องนวลตาลงมายังหลังคาเรือนไม้ที่คุ้นเคย ราวกับโอบอุ้มด้วยความอ่อนโยน พลันสายตาคมกริบของเขาก็เหลือบไปเห็นแสงไฟสีส้มนวลสว่างลอดออกมาจากบานหน้าต่างไม้ที่คุ้นเคย แสงนั้นอบอุ่นและเป็ดั่งสัญญาณแห่งความหวัง
ปรากฏร่างสูงโปร่งของผู้หนึ่งยืนรอคอยอยู่หน้าประตูเรือน ท่ามกลางความมืดมิด ร่างนั้นดูโดดเด่นราวกับประทีปที่ส่องนำทาง อวี้เหวินเห็นภาพนั้นในใจก็พลันรู้สึกตื้นตันจนมิอาจเอื้อนเอ่ยเป็คำพูดได้ หยาดน้ำตาใสคลอหน่วยที่เบ้าตาอย่างมิอาจหักห้าม นี่คือความยินดีที่มิอาจประเมินค่าได้ แม้จะเหนื่อยอ่อนจากการผจญภัยภายนอกมาเพียงใด ทว่าเมื่อย่างกรายกลับมายังร่มเงาแห่งเรือนอันเป็ที่พักพิง ก็ยังมีผู้เป็ที่รักเฝ้ารออยู่ด้วยความห่วงใย
"เหตุใดจึงกลับมาช้านัก! เหวินเออร์ ยามนี้ราตรีล่วงเข้าสู่ห้วงลึกแล้ว" เสียงทุ้มนุ่มแต่แฝงไว้ด้วยความกังวลระคนห่วงใยดังขึ้นในโสตประสาทของอวี้เหวิน
"ท่านพ่อ...ท่านดูนี่" อวี้เหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า พลางค่อยๆ ชูร่างบอบบางที่อยู่ในอ้อมแขนให้ผู้เป็บิดาได้ยล
"นั่นผู้ใดกัน! เกิดเื่ราวอันใดขึ้นกันแน่?" อวี้หลานเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกและฉงนใจ เมื่อเห็นร่างของสตรีในอ้อมแขนของบุตรชาย แสงตะเกียงในมือสั่นไหวเล็กน้อย
"ข้าเหนื่อยอ่อนเกินจะกล่าว ท่านพ่อ...เราเข้าไปในเรือนกันก่อนดีกว่า ข้าจะเล่าเื่ราวทั้งหมดให้ท่านฟังอย่างละเอียด" อวี้เหวินตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
หลังจากอวี้เหวินจัดการภารกิจส่วนตัวจนเสร็จสิ้น สองพ่อลูกจึงนั่งลง ณ โต๊ะอาหารไม้เนื้อดีภายในเรือน แสงตะเกียงเปลวไหวส่องสว่างใบหน้าของทั้งสอง แสงนั้นอบอุ่นและสร้างบรรยากาศแห่งความสงบ อวี้เหวินจึงเริ่มเล่าเื่ราวทั้งหมดที่ตนได้ประสบพบเจอในวันนี้ให้บิดาฟังอย่างละเอียด ั้แ่การพบพานชายชราที่พยายามหลอกลวงขายขนเสืออัคคี การไล่ตามกระบือป่ารูปร่างอ้วนพีที่เต็มไปด้วยความลึกลับ ไปจนถึงการพบเจอกับสตรีร่างเล็กผู้นี้นอนหมดสติอยู่ในป่าลึก
"เ้ากล่าวว่า...เ้าพบนางในอาณาเขตอสูรเยี่ยงนั้นจริงหรือ!" อวี้หลานอุทานเสียงสูง ดวงตาเบิกกว้างจนแทบถลน จ้องมองไปยังร่างเล็กบอบบางที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
"ขอรับ ท่านพ่อ" อวี้เหวินตอบเสียงหนักแน่น ทว่าในห้วงความคิดกลับพลุ่งพล่านด้วยโทสะเมื่อหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา 'หากมิใช่เพราะเ้ากระบือทึ่มตัวนั้นบังอาจขวางทาง...' ความโกรธก็แล่นริ้วเข้าสู่จิตใจอีกครา
"อันตรายยิ่งนัก! อันตรายเหลือเกิน! นับว่าพระเ้ายังทรงเมตตาที่เ้ามิได้รับาเ็ ทั้งยังนำพาสตรีผู้นี้กลับมาถึงเรือน หากนางมิใช่มนุษย์ หากนางคืออสูรร้ายที่แปลงกายมา พวกเราคงมิมีโอกาสได้ยืนอยู่ตรงนี้เเล้ว!" อวี้หลานถอนหายใจยาว ใบหน้ายังคงซีดเผือดราวกับคนหมดสิ้นเรี่ยวแรง
"สัตว์อสูร...ท่านพ่อ สัตว์อสูรสามารถแปลงกายเป็มนุษย์ได้ด้วยหรือขอรับ?" อวี้เหวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลงสงสัย ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังร่างเล็กอย่างพิจารณา
"ย่อมได้ หากอสูรตนใดสั่งสมพลังบ่มเพาะจนถึงขั้นสูง ก็ย่อมสามารถแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็มนุษย์ได้ หากแม่นางน้อยผู้นี้เป็อสูรจริง พลังอำนาจของนางคงยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการ" อวี้หลานตอบพลางลูบเคราอย่างครุ่นคิด ดวงตาฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
"เมื่อได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือแล้ว ย่อมต้องประคับประคองให้ถึงที่สุด มิใช่หรือท่านพ่อ? นี่คือคำสอนที่ท่านเคยสั่งสอนข้าเมื่อครั้งยังเยาว์วัย ท่านโปรดวางใจ สัญชาตญาณในใจข้าล้วนร่ำร้องว่านางมิได้มีพิษภัยต่อพวกเราอย่างแน่นอน แม้นางจะเป็อสูรร้ายที่แปลงกายมา นางก็มิได้มีเจตนาที่จะทำร้ายพวกเรา" อวี้เหวินกล่าวอ้อนวอนบิดาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง ดวงตาฉายแวววิงวอนอย่างเปิดเผย
"เ้าช่างไร้เดียงสานัก...เฮ้อ ด้านที่ดื้อรั้นและเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของเ้านี่ ช่างถอดแบบมาจากมารดาเ้ามิมีผิดเพี้ยน เอาเถิด ข้าหวังเพียงว่าจะเป็เช่นที่เ้ากล่าวมา" อวี้หลานถอนหายใจอีกครา ดวงตาคู่คมทอดมองไปยังบุตรชายด้วยความเอ็นดูระคนความห่วงใย
"ขอบคุณท่านพ่อขอรับ!" อวี้เหวินคลี่ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็ประกายดุจดวงดาราในยามค่ำคืน แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดที่พลั้งเอ่ยออกไป ราวกับมีกระแสเสียงลึกลับบางอย่างมากระซิบสั่งการในห้วงสำนึก เขาจึงหันไปทอดสายตามองไปยังร่างเล็กที่ยังคงหลับใหลอย่างสงบอยู่บนเตียงไม้แกะสลักลายวิจิตร
กาลเวลาผันผ่านไปดุจสายลมที่พัดโชยมากระทบผิวกาย กว่าสิบคืนวันนับแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น บัดนี้ล่วงเลยเข้าสู่เดือนที่สองแล้ว ทว่าร่างเล็กบอบบางของสตรีน้อยผู้นั้นยังคงหลับใหลมิได้สติ หาได้ลืมตาตื่นขึ้นมาััแสงอรุณยามเช้าไม่
แต่ท่ามกลางความเงียบสงัดภายในห้อง กลับบังเกิดข่าวดีอันน่าปิติยินดีราวกับสายฝนชโลมใจ หลังจากความเพียรพยายามอย่างหนักหน่วงตลอดเกือบหนึ่งเดือนเต็ม อวี้เหวินก็สามารถก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลังอย่างเต็มภาคภูมิ เขาทะลวงผ่านขีดจำกัดของตนเอง ก้าวสู่ระดับก่อตั้งรากฐานขั้นต้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ภายในระยะเวลาอันสั้น
ซึ่งแม้แต่อัจฉริยะผู้ได้รับการขนานนามว่าเก่งกาจที่สุดแห่งแคว้นตงชิงยังต้องใช้เวลานานถึงสองเดือนเต็มจึงจะบรรลุถึงขั้นนี้ได้ และกระทั่งคุณชายน้อยแห่งตระกูลเฉิน ผู้ได้รับการยกย่องจากเหล่าอัจฉริยะว่าเป็อัจฉริยะเหนือผู้ใด ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนครึ่งกว่าจะสามารถทะลวงสู่ระดับก่อตั้งรากฐานได้สำเร็จ
ความสำเร็จอันน่าทึ่งนี้ สร้างความปลาบปลื้มยินดีให้แก่บิดาของอวี้เหวินเป็อย่างยิ่ง ใบหน้าของอวี้หลานปรากฏรอยยิ้มกว้าง ดวงตาคู่คมเปล่งประกายแห่งความภาคภูมิใจอย่างมิอาจซ่อนเร้น นี่คือเครื่องพิสูจน์ถึงพร์อันล้ำเลิศ เกินกว่าผู้ใดจะเทียบเคียงได้ อวี้เหวินมิได้เป็เพียงอัจฉริยะ แต่เขาคืออัจฉริยะที่โดดเด่นเหนือผู้ใดในหมู่ผู้มีพร์!
"ด้วยความก้าวหน้าในการบ่มเพาะพลังของเ้าที่รวดเร็วเช่นนี้ ก่อนที่พ่อจะนำเ้าไปคารวะท่านเ้าเมือง บางทีเ้าอาจทะลวงสู่ระดับก่อตั้งรากฐานขั้นกลางได้เสียด้วยซ้ำ" อวี้หลานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ มองบุตรชายด้วยสายตาชื่นชม
"ท่านพ่อโปรดวางใจ ข้าจะมุ่งมั่นทำให้สำเร็จดังที่ท่านหวังอย่างแน่นอน" อวี้เหวินตอบกลับด้วยแววตาแน่วแน่และเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
ห้าวันต่อมา...
ยามรุ่งอรุณ แสงตะวันสีทองสาดส่องลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เข้ามาในห้องพักอันคับแคบและเรียบง่าย ร่างหนึ่งที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงไม้เก่าคร่ำคร่าค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้า แสงแรกของวันกระทบกับดวงตาคู่นั้นที่ค่อยๆ เผยให้เห็นความงดงามราวกับดวงดาราต้องแสงอรุณ
"แกร๊ก..." เสียงประตูไม้ถูกเปิดออกเบาๆ พร้อมกับการปรากฏร่างสูงโปร่งของผู้หนึ่งที่ก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทางงัวเงีย ดวงตาปรือเล็กน้อยบ่งบอกถึงความง่วงงุน ผู้นั้นมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็อวี้เหวินนั่นเอง
ทันทีที่สายตาของร่างบนเตียงจับจ้องไปยังอวี้เหวิน ราวกับมีกระแสความเย็นเยียบแผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้อง อุณหภูมิรอบกายพลันลดต่ำลงจนอวี้เหวินรู้สึกขนลุกชัน ร่างกายของเขาเริ่มสั่นสะท้านเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้
"ข้าหิว..." เสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบสงัด
เมื่อได้ยินเสียงนั้น อวี้เหวินถึงกับสะดุ้งโหยง ถอยหลังกรูดราวกับเผชิญหน้ากับภูตผีปีศาจ มือข้างหนึ่งยกขึ้นชี้ไปยังร่างบนเตียงด้วยอาการตกตะลึง
"เจ้... เ้า! เ้าฟื้นแล้วหรือนี่!" เขาเอ่ยเสียงสั่นเครือ ติดขัด
ร่างบนเตียงขมวดคิ้วเล็กน้อย แสดงสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะขยับกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงอย่างเกียจคร้าน
"ข้ามิใช่ภูตผี ข้ายังมีลมหายใจอยู่เต็มอก มีสิ่งใดให้ข้าประทังความหิวได้บ้างหรือไม่?" นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
อวี้เหวินยืนตะลึงงันราวกับถูกสาปให้กลายเป็หินอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรวบรวมสติกลับคืนมาได้ "อ... เอ่อ มีๆ ข้าจะไปนำมาให้เดี๋ยวนี้" เขาพูดพลางรีบหมุนตัวเดินออกจากห้องไปด้วยความงุนงงสงสัย
ผ่านไปชั่วครู่ อวี้เหวินก็กลับมาพร้อมกับถาดไม้ในมือ บนถาดมีอาหารที่จัดวางไว้อย่างเรียบร้อย เขาเดินเข้าไปวางถาดอาหารลงตรงหน้ามนุษย์ร่างเล็กผู้นั้นอย่างนอบน้อม
"เชิญท่านตามสบาย นี่คืออาหารที่ข้าหามาได้จากเชิงเขา ซึ่งเป็ที่ ที่ข้าได้พบเจอท่าน" อวี้เหวินกล่าวด้วยความเกรงใจ
นางมองไปยังอาหารที่วางเรียงรายอยู่ในถาดด้วยสายตาเ็า พลางแสดงสีหน้าเหยียดหยามราวกับเห็นสิ่งสกปรก "ขยะทั้งนั้น! เ้ากล้านำขยะเหล่านี้มาให้ข้ากินได้อย่างไรกัน?"
"เพ่ย! ขยะอันใดกันเล่า! นี่คืออาหารชั้นเลิศที่ข้าอุตส่าห์ล่ามาด้วยความยากลำบาก เ้ามิรู้หรือว่าข้าต้องเสียหยาดเหงื่อแรงกายไปเท่าใดกว่าจะได้มา!" อวี้เหวินขมวดคิ้ว ใบหน้าแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
"นี่หรืออาหารชั้นเลิศของเ้า? มองอย่างไรก็เห็นแต่ของต่ำทราม เ้าไม่มีสิ่งที่ดีกว่านี้อีกแล้วหรือ?" นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
"ไม่มีอีกแล้ว! หากท่านไม่้า งั้นข้าจะนำกลับไปเก็บเดี๋ยวนี้" อวี้เหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นเล็กน้อย พลางยื่นมือไปหยิบถาดอาหารกลับคืน
เมืุ่์ร่างเล็กเห็นดังนั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืนทน ดวงตาจ้องเขม็งไปยังอาหารในถาดราวกับถูกสะกด "ช่างเถิด เห็นแก่ที่เ้ามีน้ำใจหาอาหารมาให้ข้า ข้าก็ไม่อยากให้เ้าต้องเสียน้ำใจ ข้าจะกินมันเอง" ว่าแล้วก็รีบดึงถาดอาหารกลับมา
นางมองไปยังอาหารในถาดที่ถูกจัดใส่ถ้วยไว้อย่างประณีต หยิบตะเกียบไม้ขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะคีบชิ้นเนื้อชิ้นหนึ่งขึ้นมา แล้วค่อยๆ นำเข้าปากอย่างระมัดระวัง
อวี้เหวินสังเกตเห็นสีหน้าขยะแขยงและท่าทางราวกับฝืนทนของนาง ยิ่งเป็การจุดประกายความไม่พอใจในใจของเขาให้ลุกโชนขึ้น ราวกับเปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำ
"งับ..." เสียงเนื้อถูกเคี้ยวในปากดังแว่วมาเบาๆ ทว่าทันใดนั้นเอง รสชาติอันโอชะราวกับกระแสธาราแห่งความสุขก็ไหลบ่าไปทั่วทั้งลิ้นและกระพุ้งแก้มของมนุษย์ร่างเล็กผู้นั้น เนื้อนุ่มละมุนลิ้นแทบจะละลายหายไปในพริบตา ปลุกเร้าให้นางต้องรีบตักชิ้นเนื้อเข้าปากซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้เบื่อ จนกระทั่งอาหารทุกอย่างในถาดเกลี้ยงเกลาไม่มีเหลือแม้แต่เศษผัก
เมื่อความอิ่มเอมแผ่ซ่านไปทั่วร่าง นางก็พลันรู้สึกตัวและเกิดความขวยเขินขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาเหลือบมองไปยังอวี้เหวินอย่างประหม่า ราวกับไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังฉีกยิ้มเยาะมาให้
"มี... มีอีกหรือไม่?" มนุษย์ร่างเล็กเอ่ยถามด้วยเสียงกระซิบกระซาบ ราวกับเกรงว่าผู้ใดจะได้ยินถ้อยคำของตน
"เ้ามิกลัวว่าอาหารที่เ้าเพิ่งกินเข้าไปจะเป็เพียงขยะหรือ?" อวี้เหวินเลิกคิ้วถามด้วยรอยยิ้มเ้าเล่ห์
"เ้า!!" มนุษย์ร่างเล็กราวกับถูกปิดปาก คำพูดมากมายจุกอยู่ที่ลำคอจนมิอาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้ ใบหน้าเริ่มแดงก่ำด้วยความขุ่นเคือง
"เอาเถิดๆ ข้าจะไปนำมาให้เ้าอีก" อวี้เหวินหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี เขากระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ก่อนจะถือถาดเปล่าเดินออกจากห้องไปอย่างร่าเริง
เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นของอวี้เหวิน มนุษย์ร่างเล็กถึงกับกัดฟันแน่น เสียงบดเคี้ยวฟันดัง "กรอด!"
หลังจากที่ควบคุมอารมณ์ขุ่นเคืองได้ เขาก็เริ่มครุ่นคิดถึงสถานการณ์ของตนเอง 'แม้ว่าตอนนี้ข้าจะสามารถขยับเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องแคล่วขึ้นมาก ทว่าอาการาเ็ภายในยังคงอยู่ แถมฐานพลังบ่มเพาะยังลดต่ำลงจนเหลือเพียงแค่ขั้นก่อกำเนิดเท่านั้น' ดวงตาของเขาฉายแววทั้งความแค้นเคืองและความเสียใจอย่างปิดไม่มิด
'ช่างน่าโมโหสิ้นดี! หากข้าผู้นี้มิได้มีกายภายในอันเป็เอกลักษณ์พิเศษของเผ่าทมิฬ คงมิอาจรอดชีวิตมาได้ถึงเพียงนี้ ถึงจะมีค่ายกลมิติเคลื่อนย้ายก็ตาม เหลียนตงเยว่ เจินเหยียน ซ่งเหว่ยหนาน พวกเ้าจะต้องชดใช้อย่างสาสม! รอให้ข้ากลับไปยังดินแดนของตน ข้าจะสังหารพวกเ้าด้วยมือของข้าเอง!' เขากำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ สายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังราวกับเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชน
จากนั้น อวี้เหวินก็นำอาหารอีกสำรับกลับมา ซ่งเหยียนเฟยซัดอาหารเ่าั้ราวกับพายุโหมกระหน่ำ เมื่อท้องอิ่มแปล้ ทั้งสองจึงเริ่มเปิดปากสนทนากัน
"เ้ามีนามว่ากระไร มาจากที่ใดกัน? เหตุใดถึงไปนอนสลบไสลอยู่ในป่าอสูรนั่น?" อวี้เหวินเร่งเร้าถาม ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น
"ข้า... ซ่งเหยียนเฟย! ส่วนคำถามอื่นของเ้า ข้ามิใคร่จะตอบ!" ซ่งเหยียนเฟยตอกกลับเสียงแข็งกร้าว แววตาวาวโรจน์ดุดัน "แล้วเ้าล่ะ เ้าหนุ่มน้อย มีนามว่าอะไร?"
อวี้เหวินขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าฉายแววขุ่นเคือง "ข้ามีนามว่า อวี้เหวิน! เหตุใดนามของเ้าจึงฟังดูห้าวหาญเยี่ยงบุรุษนัก?
"แล้วผู้ใดบอกเ้าว่าข้าเป็สตรีกัน!" ซ่งเหยียนเฟยเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย กลอกั์ตาอย่างไม่ยี่หระ
"เจ้... เ้ามิใช่สตรีหรอกหรือ?! เหตุใดรูปโฉมถึงได้งดงามปานนี้!" อวี้เหวินอุทานเสียงหลง ดวงตาเบิกกว้างราวกับเห็นสิ่งอัศจรรย์ มองสำรวจร่างตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
"งดงามอันใดกัน! ร่างกายข้าสูงสง่ากำยำเยี่ยงนี้ จะเป็สตรีไปได้อย่างไรกัน!" ซ่งเหยียนเฟยตวาดลั่นด้วยความเดือดดาล พลางยกมือขึ้นทุบไปที่กล้ามเนื้อแขนของตนอย่างแรง
อวี้เหวิน "... (จุกจนพูดไม่ออก)"
"เหตุใดเ้าจึงตัวเล็กกระจ้อยร่อยเยี่ยงนี้? หรือว่าเ้าเป็สัตว์อสูรที่แปลงกายมาหลอกลวงกัน?" อวี้เหวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลงสงสัย
"หึ! เ้าบังอาจนำข้าไปเปรียบเทียบกับพวกชั้นต่ำทรามเช่นนั้นได้อย่างไร?! นายน้อยผู้นี้ แม้แต่หงส์์ยังเคยถูกข้าจับถอนขนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน! แล้วจะนับประสาอะไรกับพวกสวะสัตว์อสูรเ่าั้!" ซ่งเหยียนเฟยแค่นเสียงเ็า ดวงตาฉายแววหยิ่งผยองดูถูกเหยียดหยามอย่างร้ายกาจ
อวี้เหวินถึงกับอ้าปากค้าง 'คนผู้นี้... เพียงแค่เปล่งวาจา ก็สามารถดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย! ที่บ้านคงเลี้ยงดูตามใจจนเสียผู้เสียคน หรือว่าสมองของเขามีสิ่งใดผิดปกติกันแน่!' อวี้เหวินได้แต่เก็บความขุ่นเคืองและความสงสัยไว้ในอก
"ที่นี่คือเเคว้นใดกัน? มีนามเรียกว่าอะไร?" ซ่งเหยียนเฟยเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"เมืองที่เราอาศัยอยู่มีนามว่า เทียนฟู ตั้งอยู่ทางใต้ของแคว้นตงชิง ท่านมิได้มาจากแคว้นตงชิงหรอกหรือ?" อวี้เหวินถามกลับด้วยความแปลกใจ 'หากเขาเป็คนของแคว้นตงชิง เหตุใดจึงเอ่ยถามถึงชื่อแคว้นเล่า? หรือว่าเขามาจากดินแดนอื่นกันแน่?' อวี้เหวินครุ่นคิดในใจ
ซ่งเหยียนเฟยเมื่อได้ยินคำตอบก็หลับตาลง ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง โดยมิได้ใส่ใจต่อคำถามของอวี้เหวินแม้แต่น้อย 'ตงชิง... ตงชิง... ข้ากลับไม่มีความทรงจำหรือความรู้ใดๆ เกี่ยวกับแคว้นแห่งนี้เลย การจะหาทางกลับไปยังตระกูลคงต้องใช้เวลาอีกนาน ระหว่างที่ฟื้นฟูพลัง ก็ถือโอกาสสืบหาข้อมูลไปด้วยก็แล้วกัน'
เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง "นี่ เ้าหนู..." เขายังไม่ทันกล่าวจบประโยค สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่งที่ห้อยอยู่บนคอของอวี้เหวิน สิ่งนั้นกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัว "ตึกตัก... ตึกตัก..." ราวกับมีเสียงกระซิบก้องกังวานอยู่ในห้วงความคิด เรียกหาให้เขาเข้าไปใกล้มัน
อวี้เหวินสังเกตเห็นสายตาของซ่งเหยียนเฟยที่จ้องมองมายังบริเวณลำคอของตน จึงก้มหน้าลงมองตาม บริเวณลำคอของอวี้เหวินมีสร้อยคอเส้นหนึ่งห้อยอยู่ ที่ปลายสร้อยคอมีหินรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีดำมืดสนิทเม็ดหนึ่ง หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จะพบว่ามีอักษรโบราณสลักเสลาอยู่บนผิวหน้าตัดของมัน ทว่าด้วยกาลเวลาที่ผันผ่านและกัดกร่อนมานานนับไม่ถ้วน ตัวอักษรจึงดูเลือนรางจางหายไป แต่หากผู้ใดมีความพยายามสักหน่อย ก็มิใช่เื่ยากที่จะล่วงรู้ว่าคำที่สลักอยู่บนหินก้อนนั้นคือคำว่า "ทมิฬ"
ซ่งเหยียนเฟยราวกับถูกมนต์สะกด จิตใจตกอยู่ในภวังค์แห่งความลึกลับ ก่อนจะสะบัดศีรษะเล็กน้อยเพื่อเรียกสติกลับคืนมา 'สิ่งนี้มันคืออะไรกัน? ราวกับมีบางสิ่งในนั้นกำลังร่ำร้องเรียกหาข้า' เขาครุ่นคิดด้วยความสับสน
"เ้าหนู... ขอข้าดูสิ่งนั้นหน่อยได้หรือไม่?" เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแ่เบา พร้อมกับชี้ไปยังหินสีดำเม็ดนั้นที่ห้อยอยู่บนคอของอวี้เหวิน
"มีสิ่งใดหรือ? นี่คือของสำคัญที่ท่านแม่ข้ามอบให้ไว้เป็ที่ระลึก" อวี้เหวินเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ ดวงตาจับจ้องไปยังใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างพิจารณา พลางปลดสร้อยคอออกจากลำคออย่างทะนุถนอม แล้วยื่นส่งให้กับซ่งเหยียนเฟยด้วยความระมัดระวัง
ครั้นปลายนิ้วของซ่งเหยียนเฟยัักับหินสีดำสนิทก้อนนั้น พลันบังเกิดกระแสพลังอันไพศาลราวกับพายุคลั่งโหมกระหน่ำเข้าปะทะร่างของเขาอย่างรุนแรง "ตึง!" ร่างเล็กจิ๋วของซ่งเหยียนเฟยทรุดฮวบลงสู่พื้นห้องในทันที สติสัมปชัญญะเลือนหายไปในชั่วพริบตา ทว่ามือข้างขวายังคงกำหินดำก้อนนั้นไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะโดนโขมยไป
"เ้า! นี่มันเกิดเื่อันใดขึ้นอีกแล้ว!" อวี้เหวินอุทานเสียงหลง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก รีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นเหตุการณ์อันน่าประหลาดประหลาด
เขาเดินเข้าไปหาร่างที่นอนแน่นิ่งของซ่งเหยียนเฟย พร้อมกับเขย่าร่างนั้นเบาๆ "สลบไปอีกแล้วหรือนี่?" พลันสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นมือของซ่งเหยียนเฟยที่กำหินสีดำไว้แน่นราวกับฝังรากลึก
'หรือว่าเหตุการณ์นี้จะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้?' เขาพยายามดึงหินก้อนนั้นออกมาจากมือของอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าจะออกแรงมากเพียงใด ราวกับหินก้อนนั้นถูกเชื่อมติดกับฝ่ามือ ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย
"ช่างเถิด รอให้เขาฟื้นคืนสติเสียก่อน ค่อยสอบถามถึงเื่ราวก็แล้วกัน" อวี้เหวินส่ายศีรษะอย่างจนใจ
หากมีผู้ทรงพลังในระดับที่สามารถหยั่งรู้ถึงพลังงานแห่งฟ้าดินสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ คงจะสังเกตเห็นกระแสพลังสีดำมืดสายหนึ่ง ราวกับหมึกที่ค่อยๆ ซึมซาบลงในผืนผ้า กำลังไหลเวียนเข้าสู่ร่างของซ่งเหยียนเฟยอย่างเชื่องช้า ทว่าหนักแน่นและต่อเนื่อง...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้