มู่อวิ๋นจิ่นยกมือขึ้นประสานท้ายทอย ส่วนขาชันขึ้นทั้งสองข้าง ในหัวเวลานี้มีเพียงความสงสัยในตัวท่านอาจารย์คงซื่อ
ท่านอาจารย์คงซื่อจากไปแล้วจริงเหรอ?
เหตุใดนางถึงยังรู้สึกเหมือนเขายังคอยวนเวียนไม่ได้ไปไหน แต่ถ้าเขายังมีชวิตอยู่ ต้องเป็คนที่น่าสนใจมากๆ คนหนึ่ง
พอคิดได้เช่นนั้น มู่อวิ๋นจิ่นพลันเกิดความรู้สึกเสียดายขึ้นมา
หลังจากที่นอนเล่นเป้นเวลานานสองนาน เสียงของจื่อเซียงได้ดังเข้ามาในห้อง “คุณหนูถึงเวลารับประทานอาหารแล้วเ้าค่ะ”
“อืม ข้ารู้แล้ว”
หลังจากพูดจบ มู่อวิ๋นจิ่นขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง สวมรองเท้าแล้วเดินไปหน้าห้อง
เมื่อเดินออกจากประตูแล้ว หางตาของนางบังเอิญสบตากับฉู่ลี่พอดี นางจึงรีบก้มหน้าก้มตา มิกล้าสบตาโดยตรง
หลังจากไม่สบตาแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นกลับนึกขึ้นมาได้กะทันหันว่าการกระทำของนางช่างแปลกพิลึก นางมิได้ทำความผิดมา ทำไมต้องมาหลบหน้าหลบตาด้วย?
คิดได้ดังนั้น มู่อวิ๋นจิ่นกลับเบะปากออกอย่างเหนื่อยหน่าย
……
ภายในห้องทานอาหาร พอมู่อวิ๋นจิ่นนั่งลงที่โต๊ะ สายตาของนางจับจ้องไปที่จานขนมเปี๊ยะปิ้งอย่างแย้มยิ้ม
ฉู่ลี่เอาแต่นั่งไม่ขยับตัว จนกระทั่งเห็นสายตาของนางแล้ว พลันเอ่ยปากขึ้นมา “ทานข้าว”
พอมู่อวิ๋นจิ่นหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วก็ต้องจำใจวางมันลง เมื่อพักใหญ่ๆ ก่อนกลับจากสวนดอกเหมย ทั้งคู่ได้ทานอาหารจนอิ่มหนำสำราญ บัดนี้ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว คงทานไม่ลงแล้วสิ
ในเมื่อฉู่ลี่ไม่จับตะเกียบลงมือทานข้าว มู่อวิ๋นจิ่นจึงตอบเสียงเรียบ “ข้ายังไม่อยากทาน เมื่อครู่ทานอาหารที่สวนดอกเหมย ตอนนี้จึงยังไม่หิวโหย”
“อ่อ อย่างนั้นก็ไม่ต้องทานแล้วกัน”
สิ้นเสียงฉู่ลี่ลุกเดินเข้ามาข้างมู่อวิ๋นจิ่น จ้องตาเป็มัน “เปิ่นหวงจื่อจะไปวัดสุ่ยอวิ๋น เ้าจะไปด้วยไหม?”
มู่อวิ๋นจิ่นส่ายหน้า “ข้าไม่ไป”
นางรู้แล้วว่าการไม่อยากเดินตามหลังฉู่ลี่อีกแล้ว
ครั้งก่อนที่ไปเมืองธารรัตติกร น่าเบื่อจะตายชัก ไม่สู้อยู่ที่จวนอยากจะอะไรก็ทำได้ตามอำเภอใจ
ฉู่ลี่ได้ฟังที่มู่อวิ๋นจิ่นตอบกลับ สีหน้ากลับนิ่งขรึมสาวเท้าออกจากห้องอาหารทันที
เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะยังมิได้แตะต้องแม้แต่จานเดียว แม่นมเสิ่นจึงเดินเข้าไปดูอย่างถอดใจ “พระชายาจะทะเลาะโกรธเคืองกับองค์ชายไปทำไมเ้าคะ?”
“......” มู่อวิ๋นจิ่นงุนงงจนต้องขมวดคิ้วขึ้น “ทำไมข้าต้องทะเลาะโกรธเคืองกับเขาด้วย?”
“เช่นนั้นก็น่าแปลก ไม่รู้ว่าองค์ชายเป็อะไรไป เมื่อครู่ตอนเดินออกไป เห็นชัดว่าโกรธเคืองไม่น้อย เห้อ! น่าเสียดายอาหารที่เรียงรายเต็มโต๊ะเหลือเกิน” แม่นมเสิ่นส่ายหน้าอย่างจนปัญญา และลงมือเก็บอาหาร
พอมู่อวิ๋นจิ่นได้ฟังที่แม่นมเสิ่นเล่า นางได้ถอนหายใจเช่นกัน สงสัยข้อมูลของท่านอาจารย์คงซื่อที่เปิดเผยไม่มากทำให้ฉู่ลี่ไม่พอใจกระมัง
อย่างไรเสีย หากมิอาจทำลายค่ายกลก็ช่วยหรงเฟยออกมาไม่ได้
ทว่ามู่อวิ๋นจิ่นกลับเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้ว หรงเฟยผู้นี้ไปกระทำความผิดใดมา ฝ่าาจึงต้องสั่งให้ท่านอาจารย์คงซื่อสร้างค่ายกลนี้ขึ้นมา
ครั้งก่อนที่พบหรงเฟย มู่อวิ๋นจิ่นลืมถามไปสนิทเลย
ทว่าหรงเฟยได้วิชาตำหนักหวงอวี่ เหตุใดถึงยอมถูกขังอยู่ในนั้นอย่างจำยอม
“พระชายา องค์ชายเดินออกไปแล้ว ทำไมไม่ตามองค์ชายออกไปละเ้าคะ? เมื่อครู่องค์ชายตั้งใจถามพระชายาโดยเฉพาะ แสดงว่าอยากให้พระชายาไปด้วยกันเ้าค่ะ”
แม่นมเสิ่นพร่ำบ่นไปด้วย มือก็หยิบขนมเปี๊ยะปิ้งห่อกระดาษไปด้วย ราวกับมิยอมให้มู่อวิ๋นจิ่นปฏิเสธได้
ยังไม่ทันที่มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้าเห็นด้วย แม่นมเสิ่นรีบยัดขนมเปี๊ยะปิ้งใส่อ้อมแขนมู่อวิ๋นจิ่น “รีบไปเถอะพระชายา ประเดี๋ยวเดินทางไปแล้วหิวค่อยทานนะเ้าค่ะ”
จากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นดึงพระชายาออกนอกห้องอาหาร พอดีกับที่ฉู่ลี่และติงเซี่ยนกำลังจะเดินออกประตูไป แม่นมเสิ่นจึงรีบเอ่ยอย่างรีบร้อน “องค์ชาย พระชายาอยากไปด้วยเ้าค่ะ แม้แต่ของว่างก็เตรียมเรียบร้อยแล้วเ้าค่ะ”
แม่นมเสิ่นพูดจบแล้วก็ผลักมู่อวิ๋นจิ่นไปทางฉู่ลี่
ทว่าด้วยแรงที่แม่นมเสิ่นผลัก มู่อวิ๋นจิ่นไถลซบไปทางฉู่ลี่
เดิมทีฉู่ลี่เลือกหลบก็ยังได้ แต่เขากลับยืนนิ่งรอรับมู่อวิ๋นจิ่นเข้าอ้อมกอดเยือกเย็น มือของมู่อวิ๋นจิ่นััอกกำยำที่เย็นะเืจนหนาวสั่นสะเทิ้ม
“ยังไม่รีบออกไปยืนให้ดีๆ อีก” ฉู่ลี่ขมวดคิ้ว
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินถึงได้สติกลับมา รีบดึงแขนกลับจากอกกำยำมายืนตรง จากนั้นหันขวับไปมองอย่างโกรธๆ “แม่นม ครั้งหน้าอย่าผลักข้าแบบนี้อีก!”
“เ้าค่ะๆๆๆ บ่าวรับทราบแล้วเ้าค่ะ” แม่นมอมยิ้ม
“ไปกันเถอะ” ฉู่ลี่เหล่มองมู่อวิ๋นจิ่น
ในเมื่อมู่อวิ๋นจิ่นขึ้นหลังเสือแล้ว จะย้อนกลับก็ไม่ทันเสียแล้ว
พอแม่นมเสิ่นเห็นท่านทั้งสองคนเดินไล่กันไปติดๆ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่จื่อเซียงกลับขมวดคิ้วด้วยความงงงวย “แม่นม ดูเหมือนองค์ชายไม่เต็มใจไปกับคุณหนู เหตุใดแม่นมต้องผลักพระชายาไปทางองค์ชายด้วย?”
“เ้าทึ่มเอ้ย เคยเห็นคนไม่สนใจ แล้วยังถามว่าจะไปหรือไม่ไปด้วยกันไหมเล่า?” แม่นมเสิ่นค้อนไปหนึ่งที
จื่อเซียงฟังแล้วเหมือนยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่เห็นท่าทางของนายท่านทั้งสองเมื่อครู่ จึงแสดงความกังวลขึ้นมา “ความสัมพนธ์ระหว่างคุณหนูกับองค์ชายเกรงว่าไม่ใช่เื่ง่าย!”
“ง่ายไม่ง่าย ไม่ใช่เื่บ่าวอย่างเราตัดสินได้ เอาล่ะ ข้าจะรีบไปเก็บอาหารต่อแล้ว”
“ได้ แม่นม”
……
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่เดินขึ้นรถม้า นางก็นั่งพิงพนักเหล่ตาเอ่ยถามขึ้น “ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ไปวัดสุ่ยอวิ๋นทำอะไร?”
ฉู่ลี่หลับตาลงอย่างเชื่องช้า ทำเสมือนไม่ได้ยินที่นางถาม
มู่อวิ๋นจิ่นจึงสะบัดหน้าไปอีกทาง ไม่อยากถามคนหลับให้เปลืองต่อไป
จนกระทั่งรถม้าหยุดจอดลง เสียงของติงเซี่ยนกลับดังขึ้น ฉู่ลี่ค่อยๆ ลืมตาที่ลุกวาวอย่างเชื่องช้า
พอนายท่านทั้งสองเดินลงมาแล้ว ติงเซี่ยนถือโคมไฟใหญ่ส่องสว่างนำทาง
หลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่ง ฉู่ลี่หยุดฝีเท้าลง หันไปเอ่ยเสียงเรียบกับติงเซี่ยน “เ้ารอข้าอยู่ที่นี่”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” ติงเซี่ยนพยักหน้ารับทราบ จากนั้นฉีกยิ้มแล้วส่งโคมไฟให้มู่อวิ๋นจิ่นอย่างเกรงใจ “พระชายา รบกวนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ติงเซี่ยนรีบวิ่งกลับเฝ้ารถม้าอย่างรวดเร็วปานสายลม
มู่อวิ๋นจิ่นก้มหน้าถือโคมไฟนำทาง ปากขมุบขมิบอยากเอ่ยถามฉู่ลี่ถึงหยกประจำตัว แต่เหมือนเขาจะรู้สิ่งที่นางคิดถาม จึงเปรยขึ้นเองว่า “ไม่ได้เอามาด้วย”
ไม่เอาติดตัวมาอีกแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นมองค้อนกลับอย่างจนปัญญา แต่หยกประจำตัวชิ้นนั้นได้ขายให้กับฉู่ลี่ไปแล้ว ส่วนเื่นำติดตัวมาด้วยไหม เป็การตัดสินใจของฉู่ลี่ที่นางมิอาจยุ่งย่ามได้
สิ่งที่ทำได้ในเวลานี้คือก้มหน้าก้มตาถือโคมไฟนำทางข้างกายฉู่ลี่
ตลอดทางที่เดินไปนั้น มู่อวิ๋นจิ่นเกิดความรู้สึกผิดปกติขึ้นมา จึงก้มมองโคมไฟแล้วพูดขึ้นมา “ทำไมต้องให้ข้าช่วยถือโคมไฟด้วย? ถ้าเ้ามองไม่เห็นก็ต้องเป็คนถือเองถึงจะถูกต้อง!”
เมื่อกล่าวจบลง มู่อวิ๋นจิ่นยื่นโคมไฟในมือส่งให้ฉู่ลี่
เขาหยุดก้าวลงทันที มองมาที่มู่อวิ๋นจิ่นด้วยแววตาแน่นิ่ง “เ้าอยู่ในจวนของข้ากินอยู่ไม่ได้ควักเงินแม้แต่ตำลึงเดียว ข้ายังปราณีไม่ถามถึงดอกเบี้ยเลย?”
ห๊ะ! อยู่จวนของเขา ใช้ของเขาจะให้เถียงกลับเต้มปากได้เช่นไร
มู่อวิ๋นจิ่นยอมถือโคมไฟกลับมา เบือนปากอย่างไม่สบอารมณ์ “ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดสิ่งใดแล้วกัน!”
หลังจากนั้นฉู่ลี่และมู่อวิ๋นจิ่นเดินมาจนถึงห้องกระทำวิชาของท่านอาจารย์ไฮว๋หยวน ดูเหมือนท่านอาจารย์ทราบล่วงหน้าว่าทั้งสองคนมาหา ไฟในห้องกระทำวิชาจึงยังสว่างไสวอยู่
“อาตมาขอเจริญพรองค์ชายหก เจริญพรพระชายา” ท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนกล่าว
“ไม่ต้องมากพิธีหรอกท่านอาจารย์” ฉู่ลี่ตอบกลับ
ท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนยิ้มเล็กน้อย “วันนี้อาตมามีหมากหนึ่งกระดานที่ยังแก้ไม่ได้ บังเอิญองค์ชายหกมาได้เวลาพอดิบพอดี เช่นนั้นไปช่วยอาตมาแก้หน่อยได้ไหม?”
“ด้วยความยินดียิ่ง” ฉู่ลี่เดินเข้าไปในห้องกระทำวิชาแล้วนั่งหน้ากระดานหมาก
ท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ได้ยื่นหมากขาวหมากดำให้ฉู่ลี่เลือก
มู่อวิ๋นจิ่นที่เดินตามมามองหาเก้าอี้นั่งมอง แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยศึกษาการเล่นหมากกระดานมาก่อน พอนั่งดูท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนกับฉู่ลี่เล่นหมากอย่างใจจดใจจ่อ นางจึงเริ่มหาวด้วยความง่วงขึ้นมา
“ตานี้องค์ชายหกชนะ”
“อาตมาละอายนัก ฝีมือเล่นหมากกระดาน แพ้อยู่ร่ำไป”
“องค์ชายชนะอีกแล้ว……”
ทั้งสองเล่นหมากกระดานเบื้องหน้าโดยไม่มีทีท่าจะยุติลงโดยง่าย
มู่อวิ๋นจิ่นมองดูอย่างถอดใจ ค่ำคืนนี้ฉู่ลี่คงตั้งใจเล่นหมากกับท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนสินะ
ด้วยความเบื่อหน่ายและคร้านจะนั่งดูแล้ว นางจึงลุกขึ้นและบิดี้เี “ขอตัวออกไปสูดอากาศข้างนอกครู่หนึ่ง”
สิ้นเสียง มู่อวิ๋นจิ่นก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก
ฉู่ลี่เงยหน้าขึ้นมองไปมู่อวิ๋นจิ่นก้าวข้ามธรณีประตูออกไป
ห้องกระทำวิชาของท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนตกแต่งอย่างวิจิตร พอนางเดินออกมาข้างนอกไม่ไกล ได้เห็นระเบียงที่ทอดยาว มีโคมไฟดวงเล็กแขวนประดับอยู่ตลอดทาง ทำให้รอบข้างที่เงียบสงัด ดูอบอุ่นขึ้นมาไม่น้อย
มู่อวิ๋นจิ่นเดินจับขอบระเบียงก้าวย่างไปตามทาง ด้วยห้องกระทำวิชาอยู่้า ส่งผลให้เห็นแสงจันทร์ส่องกระทบต้นไม้โบราณพันปีที่อยู่ห่างไปไม่ไกลได้แจ่มชัด
ในเวลานี้สายลมอ่อนๆ พัดโชยมาแ่เบา จนป้ายอธิษฐานแดงที่แขวนรอบต้นไม้โบราณพันปี พริ้วไหวลู่ไปตามสายลม
พอมู่อวิ๋นจิ่นมองภาพนั้นจิตใจของนางกลับเต้นแรงขึ้นอย่างบอกไม่ถูก เท้าของนางเหมือนโดนสั่งให้เดินเข้าไปหาอย่างควบคุมมิได้
มู่อวิ๋นจิ่นเดินไปหยุดยืนมองต้นไม้โบราณพันปีอยู่ด้านนอกประตูที่ลงกุญแจเอาไว้ เมื่อนางมองซ้ายมองขวาไม่เห็นมีใครสักคน จึงใช้วิชาตัวเบาะโข้ามประตูเข้าไปด้านใน
พอข้ามไปด้านในได้แล้ว ภายในล้วนประดับด้วยโคมไฟที่ถูกจุดส่องสว่าง มู่อวิ๋นจิ่นขยับเดินเข้าไปใกล้ต้นไม้โบราณพันปีทีละเล็กทีละน้อย
กระทั่งเดินมาด้านหลังต้นไม้โบราณพันปี จู่ๆ มู่อวิ๋นจิ่นกลับเศร้าสร้อยขึ้นมาภายในใจอย่างบอกไม่ถูก พร้อมกับยื่นมือหมายเข้าไปััช้าๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้