เฉิงอวี้เห็นมู่จื่อหลิงเฉือนเนื้อโคนขาของตนเองออก ก่อนวางมันปกคลุมไปบนใบหน้าของตน
ชั่วขณะนั้นกลิ่นคาวเืคละคลุ้งเต็มโพรงจมูกเฉิงอวี้
ของเหลวสีแดงอุ่นค่อยๆ ไหลซึมไปทั่วดวงหน้าของนาง
ไหลเข้าดวงตาเบิกกว้าง จมูกที่กำลังหอบหายใจและปากที่อ้ากว้างจากการกรีดร้องของนาง...
สายธารอบอุ่น ทำให้เกิดคลื่นแห่งความกลัวขึ้นในใจของเฉิงอวี้โดยไม่อาจยับยั้งได้
ยิ่งไปกว่านั้น ความสยองขวัญเสียดแทงกระดูกนี้ยังคงเพิ่มขึ้นทุกขณะ...
เฉิงอวี้กลัวจนขลาดเขลาคิดอะไรไม่ออก!
แต่ มู่จื่อหลิงผู้ซึ่งไม่เคยสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของเฉิงอวี้ กำลังใช้มีดกรีดไปทางซ้ายทีขวาที จากนั้นจึงวางบนหน้าของนางอีกครั้ง
นางเลือกส่วนที่มีเนื้อมากที่สุด ค่อยๆ หั่นอย่างชำนาญ ราวกับว่านางทำเช่นนี้บ่อยครั้ง
เฉิงอวี้กรีดร้องด้วยความเ็ปครั้งแล้วครั้งเล่า เ็ปแทบตาย เหงื่อเย็นหลั่งไหลทั่วตัว น้ำตาน้ำมูกผสมเืสีแดงสดไหลออกมาในปริมาณมาก
“ไม่ พอแล้ว หยุด หยุดนะ ข้าบอกให้หยุด!” เฉิงอวี้ร้องลั่นด้วยความเ็ป
เฉิงอวี้ร้องะโ ส่ายหัวอย่างแรง เศษเนื้อที่ปิดหน้าแกว่งไปแกว่งมาตามการส่ายหัวของนาง ไหลเลื่อนลงมาจากแก้ม
ยามมองแวบแรก ใบหน้าของนางดุร้ายยิ่ง รูม่านตาแดงฉานโชกไปด้วยเืจ้องมองมู่จื่อหลิงด้วยความสยดสยองสุดขีด
การสืบสวนครั้งก่อนของพวกนางมีบางอย่างผิดพลาดหรือไม่? มันเป็ความผิดพลาดครั้งใหญ่ ั้แ่แรกเริ่มก็ไม่มีส่วนใดถูกต้องอยู่ก่อนแล้ว
มู่จื่อหลิงผู้นี้ เป็ขยะเสียที่ไหนกัน? ไหนว่านางไร้ประโยชน์อย่างไรเล่า?
นี่มันคนบ้าอย่างแท้จริง! ทั้งบ้าระห่ำและโเี้!
เฉิงอวี้ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ สิ่งที่มีมากกว่านั้นคือความไม่เข้าใจ
แม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ ในยามที่นางนึกว่าตนกำลังได้เปรียบ นางมีความคิดที่จะทรมานมู่จื่อหลิงอย่างช้าๆ จนตายเช่นกัน แต่นางไม่เคยคิดที่จะทำสิ่งที่เลวร้ายเช่นนี้ แม้ว่านางจะเป็ผู้ฝึกวรยุทธ์ นางก็ไม่เคยทำสิ่งที่โหดร้ายเหล่านี้
แต่หญิงที่อยู่ตรงนี้ผู้นี้เล่า
ไม่เพียงหญิงผู้นี้จะทำเท่านั้น แต่ยังทำได้อย่างง่ายดาย การเคลื่อนไหวก็มีความเชี่ยวชาญมาก
สิ่งนี้เรียกว่าการเฉือนเนื้อเสียที่ไหน? มันเหมือนกับการถือเคียวแหลมคมตัดหญ้าทีละนิดเสียมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่มู่จื่อหลิงเฉือนเนื้อนาง ใบหน้าของมู่จื่อหลิงกลับมีรอยยิ้มอ่อนโยนอยู่เสมอ ทำให้ความกลัวของเฉิงอวี้ยิ่งแย่ลง
คนบ้า!
ไม่ นางเป็ปีศาจ! ปีศาจร้ายกาจอันน่าสะพรึงกลัว!
มู่จื่อหลิงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มมีความอ่อนโยนไม่เป็พิษเป็ภัย “เหตุใดเ้าถึงได้เป็คนใจร้อนถึงเพียง ในความเป็จริงแล้ว เ้าไม่ควรรีบร้อน ยังมีเวลาอีกมาก ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่ากระดูกของเ้าแข็งแกร่งเพียงใด”
ขณะพูด นางโบกมีดในมือช้าๆ ราวกับจะบอกว่านี่เป็เพียงการเริ่มต้น สิ่งที่นางอยากทำยังไม่จบสิ้น
เฉิงอวี้ระงับความเ็ป ร้องะโสุดเสียง “เป็นายหญิงรอง นายหญิงรองส่งเรามาสังหารเ้า หากเ้ามีความสามารถก็ไปหานางสิ! หานางให้พบ...”
ดูเหมือนจะยังไร้สมองเช่นเดิม
พูดก็เหมือนไม่พูด!
“โอ้! ขอข้าดูหน่อย...” มู่จื่อหลิงชำเลืองมองต้นขาที่มีเืไหลไม่หยุด ก่อนพูดอย่างใจเย็น “ยังไม่เห็นกระดูกแข็งๆ ของเ้าเลย เ้าบอกให้หยุดก็ยอมหยุดได้อย่างไร? ไม่ ไม่ได้ ดูเหมือนข้าต้องหั่นต่อ ทำงานให้หนักขึ้น!”
ใจเฉิงอวี้สั่นสะท้าน นางกัดริมฝีปากอย่างแรง พูดอย่างร้อนรน “เยวี่ยหลิงหลง...นายของเราคือเยวี่ยหลิงหลง นางเป็นายหญิงรองแห่งตำหนักหลงเยวี่ย นางสั่งให้เรามาสังหารเ้า ในเมื่อเ้ามีความสามารถเช่นนี้ เ้าก็ไปแก้แค้นนางสิ ทรมานข้าอยู่ที่นี่จะมีประโยชน์อันใด”
ดวงตามู่จื่อหลิงหรี่ลงอย่างชั่วร้าย “วันนั้นในป่าสายหมอก...”
“ใช่ เป็นาง หญิงสาวผู้งดงามดุจเทพเซียนที่เ้าพบในป่าสายหมอกวันนั้นคือนายหญิงรองของพวกเรา” เฉิงอวี้หยิบสิ่งที่มู่จื่อหลิงยังพูดไม่จบขึ้นมาบอกกล่าวโดยไม่ทันคิด
ประกายแสงเย็นวาบในดวงตามู่จื่อหลิง
เป็หญิงผู้นั้น!
นางเดาไม่ผิดจริงๆ!
ที่เดาได้แม่นยำ เป็เพราะนางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า หญิงชุดส้มที่อยู่ตรงหน้านางคือหนึ่งในสาวใช้ที่หามเกี้ยวในวันนั้น ต้องขอบคุณความทรงจำที่ดีของนาง นางจึงจำได้แม้กระทั่งคนตัวเล็ก [1]
ทันใดนั้นในใจมู่จื่อหลิงก็ปรากฏภาพหญิงงามล่มเมือง [2] ผู้มีรูปร่างทรงเสน่ห์งดงามโดดเด่น
เยวี่ยหลิงหลง ชื่อนี้สมกับนางจริงๆ!
เกิดมาสวยน่าทึ่ง ใสกระจ่างราวแสงจันทร์ งามราวเทพธิดา ให้ความรู้สึกงามวิจิตรทั้งสูงส่งและบริสุทธิ์
มู่จื่อหลิงเยาะเย้ยในใจ
น่าเสียดายที่ท่ามกลางความสูงส่งและบริสุทธิ์นี้ ภายใต้รูปลักษณ์ทรงเสน่ห์ที่ไม่มีใครเทียบได้ กลับมีหัวใจดั่งอสรพิษและแมงป่อง [3]
ความใสราวน้ำแข็งกระจ่างดั่งหยก [4] ความงามบริสุทธิ์เหนือคนทั่วไปย่อมไม่เป็ไปเช่นนั้น เพราะนั่นเป็เื่ไร้สาระ!
ให้ตายเถอะ! เคยพบกันเพียงครั้งเดียว หญิงใจอำมหิตผู้นี้กลับอาฆาตหมายเอาชีวิต...มู่จื่อหลิงกำหมัดแน่น แววตาของนางฉายแววโกรธเกรี้ยว
เมื่อเห็นว่ามู่จื่อหลิงนิ่งเงียบไปนาน ราวกับกำลังตกอยู่ในความสับสน เฉิงอวี้จึงรู้ว่ามู่จื่อหลิงจำได้
เพียงแค่มู่จื่อหลิงนึกถึงนายหญิงรอง ย่อมเกิดความรู้สึกต่ำต้อย อายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี [5] ในใจของเฉิงอวี้มั่นใจเป็อย่างมาก
นางเอียงศีรษะอย่างภาคภูมิใจ “ไม่ว่าจะเป็รูปลักษณ์ของนายหญิงรอง หรือตัวตนและสถานะของนาง ล้วนเป็สิ่งที่เ้ามู่จื่อหลิงไม่อาจมีได้ในชีวิตนี้ นายหญิงรองของเรากับฉีหวางเฟยเป็คู่ที่เกิดมาเหมาะสมกัน”
มู่จื่อหลิงหัวเราะเบาๆ เหลือบมองนาง ดวงตาที่มองมาราวกับมองคนงี่เง่า
นางให้ความร่วมมือกับคำพูดของเฉิงอวี้ ถามอย่างรู้เท่าทัน “จะบอกว่า เยวี่ยหลิงหลงกับฉีอ๋องเป็คู่แท้กัน และนาง้าสังหารข้าเพราะข้าคือฉีหวางเฟย?”
“ใช่!” เฉิงอวี้ยอมรับตามตรง ทั้งยังเย้ยหยันต่อ “แต่ไม่ได้มีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้น”
“โอ้? เช่นนั้นเป็เพราะเหตุใด?” จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็เริ่มสนใจ นางลดมีดในมือ ถอดถุงมือ ยืนขึ้น ตั้งใจฟัง
เฉิงอวี้พูดอย่างไม่เต็มใจ “หากเ้าเป็เพียงเศษขยะที่ไร้ค่า ฉีอ๋องจะรังเกียจเ้าก็ไม่ใช่เื่แปลก แต่เมื่อครั้งที่นายหญิงรองระดมกำลังไปสังหารเ้า วันนั้นในป่าสายหมอกเ้าขี่ม้าเปินเหลยร่วมกับฉีอ๋อง พระองค์ทั้งกอดและจูบเ้า”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เฉิงอวี้กลืนน้ำลายหนึ่งอึก แล้วพูดว่า “พึงทราบเถิดว่าในใต้หล้านี้ นอกจากนายหญิงรองของเราแล้ว ฉีอ๋องไม่ยอมให้หญิงใดเข้าใกล้ได้อีก แต่กลับมีเ้า...ดังนั้นเ้า ต้องตาย!”
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้!” มู่จื่อหลิงพยักหน้าราวกับได้รับการสั่งสอน นางยิ้มแล้วถามอย่างสบายๆ “ดูเหมือนว่าฉีอ๋องกับนายหญิงรองของเ้าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน?”
การปรากฏตัวของเยวี่ยหลิงหลงในวันนั้นเป็หนามในใจของนางมาจนถึงยามนี้ เป็หนามที่ยังไม่ถูกดึงออก
หนามนี้เริ่มแรกก็ปวดแสบปวดร้อน หลังๆ มานี่เหมือนจะซึมลึก ไม่รู้สึกเ็ป แต่เมื่อถูกัั กลับเกิดความปวดร้าว
ความสัมพันธ์ระหว่างหลงเซี่ยวอวี่กับเยวี่ยหลิงหลงเป็เช่นไร?
เฉิงอวี้ไม่ตอบคำถามของมู่จื่อหลิงทันที นางหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างคนมีชัย “ย่อมเป็เช่นนั้น นายหญิงรองกับฉีอ๋องรู้จักกันมานานหลายปีแล้ว มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น มีความรู้สึกดีๆ ให้กัน คนอย่างเ้าไม่ควรเข้ามาก้าวก่ายเลย...”
ก่อนที่เฉิงอวี้จะพูดจบ เสียงหัวเราะของมู่จื่อหลิงก็ขัดนาง
“เ้าหัวเราะอะไร?” เฉิงอวี้รู้สึกงุนงงกับเสียงหัวเราะของมู่จื่อหลิง
หัวเราะเ้าที่ไร้สมอง...
มู่จื่อหลิงยังคงเม้มริมฝีปาก ส่ายหัวอย่างอดไม่ได้
ไม่รู้ว่าเยวี่ยหลิงหลงล้างสมองคนคนนี้อย่างไร ความตายกำลังใกล้เข้ามา สมองนางยังสามารถนึกภาคภูมิใจได้อีก น่าทึ่งจริงๆ
เมื่อเห็นมู่จื่อหลิงเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร เฉิงอวี้จึงพูดอย่างมั่นใจว่า “สิ่งที่ข้าพูดเป็ความจริง ใต้หล้านี้มีเพียงนายหญิงรองเท่านั้นที่คู่ควรกับฉีอ๋อง เ้าไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะสวมรองเท้าให้นาง”
มู่จื่อหลิงถอนหายใจอย่างหดหู่
สมองของคนผู้นี้มีเพียงความโง่เขลา
หากมู่จื่อหลิงเป็เพียงหญิงธรรมดาที่หลงใหลหลงเซี่ยวอวี่จนแทบบ้า บางทีหลังจากฟังคำพูดของเฉิงอวี้ นางอาจรู้สึกราวกำลังจะตาย แต่มู่จื่อหลิงไม่ใช่
ว่ากันว่าความรักทำให้คนตาบอด [6] แต่การตาบอดนั้นจำกัดแค่ยามอยู่ต่อหน้าคนรักเท่านั้น
ดังนั้นยามนี้ความมีเหตุผลและการคิดไตร่ตรองของมู่จื่อหลิงจึงไม่ได้ลดลงเลย
แต่มู่จื่อหลิงรู้สึกว่าสิ่งที่หญิงผู้นี้พูดยังคงมีประโยชน์
อย่างน้อย หลังจากนางพูดพล่ามเื่ไร้สาระมามากมาย ก็เข้าประเด็นจริงๆ เสียที
เป็ความจริงที่ว่าั้แ่ได้รู้จักหลงเซี่ยวอวี่ เยวี่ยหลิงหลงผู้นั้น เป็ผู้หญิงคนเดียวที่สามารถเข้าใกล้เขาได้
แน่นอนว่าไม่นับรวมวิธีการของนาง
ไม่ใช่เพียงเพราะว่ายามนี้นางเป็ฉีหวางเฟย จึงเป็เื่ธรรมดาที่จะสนิทสนมกับฉีอ๋อง แต่ยังเป็เพราะนางมู่จื่อหลิงรังเกียจที่จะถูกเปรียบเทียบกับผู้หญิงประเภทนั้น
หากเทียบกันจริง นางจะรู้สึกว่านางต่ำต้อยกว่า
ดังนั้น มู่จื่อหลิงจึงมั่นใจได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเยวี่ยหลิงหลงกับหลงเซี่ยวอวี่จะต้องมีความซับซ้อนกว่าที่คิด
ส่วนมีความซับซ้อนอะไรนั้น
ณ ที่นี้ นางรู้เพียงสิ่งที่เห็นด้วยตาตนเอง และสิ่งที่ได้ยินจากหลงเซี่ยวอวี่...
ดังนั้นในยามนี้มู่จื่อหลิงจึงรู้สึกว่าไม่จำเป็ต้องพูดถึงเื่นี้กับสาวใช้ตัวน้อยผู้หยิ่งยโสอีกแล้ว
“เมื่อครู่เ้าบอกว่าเยวี่ยหลิงหลงส่งคนมาฆ่าข้าใช่ไหม?” มู่จื่อหลิงกอดอก น้ำเสียงเฉยชา แต่กลับมีร่องรอยเย้ยหยัน “บอกข้า ครั้งนี้นางส่งคนมาสังหารข้ากี่คน เป็ ‘ผู้ฝึกวรยุทธ์’ กี่คน?”
เยวี่ยหลิงหลงใส่ใจนางยิ่งนัก ทั้งยังมีความพยายามสูงยิ่ง
คาดว่าการเดินทางที่ตรากตรำเช่นนี้ จะทำให้นางถึงแก่ชีวิตได้ในไม่ช้า
เมื่อเป็เช่นนี้ อันตรายที่นางต้องเผชิญยังเป็เพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ครั้งนี้โชคดีที่นางชนะได้ด้วยไหวพริบ แต่อันตรายที่ตามมายังไม่ทราบแน่ชัด
แต่สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดในยามนี้ก็คือม้าเมฆาได้รับาเ็จนไม่อาจขี่ได้ ฟ้ามืดแล้ว การเดินทางเป็เื่ยากลำบาก
สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือนางต้องเดินในเส้นทางยาวไกลและเป็เื่อันตรายที่จะต้องเดินเท้า
นี่เป็ฝนตกทั้งคืนทั้งที่บ้านหลังคารั่ว [7] จริงๆ เคราะห์ร้ายยิ่งนัก!
เมื่อนึกถึงเื่นี้ มู่จื่อหลิงยกมือขึ้นกุมหน้าผากอย่างหงุดหงิด
ใครจะคิดว่าเมื่อเผชิญกับคำถามของมู่จื่อหลิงในครั้งนี้ เฉิงอวี้ผู้เด็ดเดี่ยวภาคภูมิใจเมื่อครู่กลับปิดปากลงทันที ไม่พูดอะไรสักคำ
“ดี ดีมาก” มู่จื่อหลิงยิ้ม แต่กลับไม่ใช่รอยยิ้ม
์ทราบดี อารมณ์ในยามนี้ของมู่จื่อหลิงหงุดหงิดเพียงใด
เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนผู้นี้ที่ทำให้ม้าเมฆาาเ็ เป็เหตุให้นางต้องเดินกลับท่ามกลางความมืด...ไม่เช่นนั้นในยามนี้นางคงกลับไปนอนแล้ว
ดังนั้นความโกรธในใจของนางจึงโหมกระหน่ำ
หญิงผู้นี้ยังยืนกรานหาเื่ล่วงเกินนางอีก ดีมาก! ดีจริงๆ!
มู่จื่อหลิงสวมถุงมือสะอาดอีกครั้ง หยิบมีดผ่าตัดที่ถูกทิ้งไว้ขึ้นมา......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] คนตัวเล็ก (小喽啰) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า ผู้ติดตาม สมุน ลูกน้อง โดยส่วนมากนิยมใช้เรียกพรรคพวกของคนไม่ดี
[2] หญิงงามล่มเมือง (倾国倾城) เป็คำเรียกหญิงงามที่สวยมากจนเป็ชนวนให้บ้านเมืองล่มสลาย
[3] หัวใจดั่งอสรพิษและแมงป่อง (心如蛇蝎) เป็สำนวน มีความหมายว่า หัวใจที่ชั่วร้าย หรือคนที่โเี้ดุร้าย
[4] ใสราวน้ำแข็งกระจ่างดั่งหยก (冰清玉洁) เป็สำนวน มีความหมายว่า หญิงสาวที่งามบริสุทธิ์ ทั้งกายและใจ หรือใครบางคนที่บริสุทธิ์และสูงส่ง
[5] อายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี (无地自容) เป็สำนวน มีความหมายว่า ละอายใจเป็อย่างยิ่ง หรืออายถึงขีดสุด
[6] ความรักทำให้คนตาบอด (爱情会使人盲目) เป็วลี มีความหมายว่า พฤติกรรมต่างๆ ของคู่รักที่หลงอีกฝ่ายจนมองไม่เห็นสิ่งใด จนก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่สมควรบางอย่าง
[7] หลังคารั่ว ฝนกลับตกทั้งคืน (屋漏偏逢连夜雨) เป็สำนวน มีความหมายว่า ความทุกข์ยากซ้ำซ้อนที่ต้องเผชิญ