พอเห็นไม้กวาดฟาดมาตรงหน้า กู้หลินหลางแทบคลั่ง! เขาเป็ถึงบัณฑิตผู้ทรงเกียรติ เป็อาจารย์ที่ชาวบ้านนับหน้าถือตา ไม่เคยมีใครกล้าทำกับเขาเช่นนี้! แน่นอนว่าเื่ที่ถูกจางเจิ้นอัน 'สั่งสอน' เมื่อวาน เขาเลือกที่จะลืมไปแล้ว
เขาพยายามยื่นมือออกไปปัดป้อง แต่โชคร้าย แขนซ้ายยังไร้เรี่ยวแรง มีเพียงมือขวาข้างเดียวที่ต้องทั้งพยายามดึงผ้าคลุมหน้าให้เข้าที่ ทั้งป้องกันตัวเอง สุดท้ายจึงไม่อาจต้านทานได้ ต้องหันหลังให้เพื่อบังใบหน้า อันซิ่วเอ๋อร์จึงได้ทีฟาดไม้กวาดลงบนแผ่นหลังเขาอย่างแรงไปหลายที
"นี่! ท่านอาจารย์กู้ ท่านตั้งใจมาให้ข้าตีเล่นหรืออย่างไร? ข้าฟาดไปขนาดนี้แล้วยังไม่ไปอีก?"
อันซิ่วเอ๋อร์ตีจนเหนื่อยหอบ ต้องใช้ไม้กวาดค้ำพื้น พลางหอบหายใจไปพลางตำหนิ "ดูท่าหนังหน้าท่านจะหนาเกินทนจริงๆ หรือคิดว่าเื่เลวๆ ที่ท่านทำกับข้าเมื่อวานนี้ จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ง่ายๆ?"
"เมื่อวานข้าเพียงแต่ถูกผีเข้าสิงชั่ววูบเท่านั้น ฮูหยินจางโปรดอย่าได้กล่าวถึงมันอีกเลย วันนี้ข้ามาเพื่อขอพบจางเจิ้นอัน" กู้หลินหลางถอยหลังไปสองก้าว กล่าวอย่างระมัดระวัง
"ท่านจะพบเขาทำไม?" อันซิ่วเอ๋อร์ยืนกอดอกขวางประตูไว้ ชี้ไม้กวาดไปที่เขา "ถ้าข้าเรียกเขาออกมา ท่านคงไม่ได้โดนแค่ไม้กวาดแน่!"
"ข้ามีเื่ด่วนต้องพบเขาจริงๆ"
กู้หลินหลางร้อนใจ แต่อันซิ่วเอ๋อร์ก็ยังยืนขวางไม่ยอมให้เข้า เขาพยายามจะเบียดตัวเข้าไป อันซิ่วเอ๋อร์จึงพลิกด้านไม้กวาด ใช้ด้ามแข็งๆ หวดลงไปที่ตัวเขาเต็มแรง
"บ้านข้าไม่ต้อนรับท่าน! ไสหัวไป!"
ชาวบ้านบางคนที่กำลังเดินกลับบ้านผ่านมา ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงอดไม่ได้ที่จะชะเง้อมองมาทางนี้ กู้หลินหลางยิ่งร้อนรน เขากลัวคนจะมามุงดู จึงเปลี่ยนน้ำเสียงเป็ประนีประนอม
"ขออภัย ซิ่วเอ๋อร์ เมื่อวานข้าผิดไปแล้ว ข้าถูกผีสิงไปชั่วขณะจริงๆ ข้าขอโทษเ้า วันนี้ตอนเช้าข้าก็ไปหาหรงเหอ ต่อหน้าเพื่อนนักเรียนทุกคน ข้าก็ได้ขอโทษเขาแล้ว ได้โปรด...ให้อภัยข้าเถิด ได้หรือไม่?"
อันซิ่วเอ๋อร์พอได้ยินน้ำเสียงอ้อนวอนของเขา ก็เหลือบมองอย่างพิจารณา หลังจากโดนฟาดไปหลายที ตอนนี้เขาก็ดูทุลักทุเล ผมเผ้ายุ่งเหยิง แถมยังสวมผ้าคลุมหน้าปิดบังใบหน้าอีก นางมองอย่างไรก็รู้สึกประหลาด จึงพูดว่า "ข้ายอมรับคำขอโทษของท่าน ไปเสียเถอะ"
กู้หลินหลางเห็นนางน้ำเสียงอ่อนลง ก็รีบอ้อนวอนต่อ "ซิ่วเอ๋อร์ ข้ามีเื่ต้องพบจางเจิ้นอันจริงๆ เ้าให้ข้าเข้าไปเถอะนะ?"
"ท่านถอยไปยืนห่างๆ ก่อน" อันซิ่วเอ๋อร์โบกมือไล่ เมื่อกู้หลินหลางยอมถอยหลังไปหลายก้าว นางจึงกล่าวว่า "เขาไม่อยู่บ้าน ถ้าท่านมีธุระด่วนจริงๆ ก็รออยู่หน้าประตูนี่แหละ"
"แล้วเขาจะกลับมาเมื่อไหร่?" กู้หลินหลางร้อนใจ อดไม่ได้ที่จะก้าวเข้ามาใกล้อีก
อันซิ่วเอ๋อร์รีบยกไม้กวาดขึ้นชี้หน้าเขา ทำท่าเตรียมพร้อมป้องกันเต็มที่
ขณะนั้น มีชาวบ้านแบกจอบเดินผ่านมาพอดี เห็นอันซิ่วเอ๋อร์ถือไม้กวาดยืนคุมเชิงชายแปลกหน้าอยู่ จึงเอ่ยถาม "อ้าว ซิ่วเอ๋อร์ มีเื่อะไรกันรึ? ให้ข้าช่วยไหม?"
"ไม่มีอะไรเ้าค่ะท่านอา ขอบคุณท่านมาก พอดีมีขอทานมาวุ่นวาย ข้ากำลังไล่เขาไปอยู่เ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์หันไปตอบชาวบ้านผู้นั้น
"อ้อ แค่ขอทานรึ นึกว่าเื่อะไร ถ้าอย่างนั้นให้ข้าช่วยไล่ไหม?" ชาวบ้านคนนั้นเหลือบมองกู้หลินหลางแวบหนึ่ง ทำท่าจะเดินเข้ามาช่วย
"ไม่เป็ไรเ้าค่ะท่านอา ท่านรีบกลับไปกินข้าวเถอะ ป่านนี้ป้าคงทำกับข้าวรอแล้ว" อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มตอบ
"เออๆ งั้นก็ได้ มีอะไรก็ะโเรียกแล้วกัน แต่มีไอ้หนุ่มจางอยู่ เื่แค่นี้เ้าคงจัดการได้สบายอยู่แล้ว" ชาวบ้านพูดจบก็แบกจอบเดินจากไป
พอชาวบ้านคนนั้นเดินลับไปแล้ว กู้หลินหลางก็กัดฟันกรอด จ้องอันซิ่วเอ๋อร์เขม็ง
"เ้า! กล้าดียังไงมาว่าข้าเป็ขอทาน!"
พอเห็นท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงแต่ทำอะไรไม่ได้ของกู้หลินหลาง อันซิ่วเอ๋อร์กลับรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างประหลาด นางเลิกคิ้วมองเขา
"แล้วจะให้ข้าบอกว่า ท่านคือท่านอาจารย์กู้ผู้สง่างามประจำหมู่บ้าน กำลังถูกข้าเอาไม้กวาดไล่ตีอยู่หรืออย่างไร?"
"เ้า! เกลียดชังข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?"
กู้หลินหลางแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง รู้สึกว่าคำโบราณที่ว่าสตรีร้ายกาจนั้นไม่ผิดเพี้ยนเลย ซิ่วเอ๋อร์ผู้น่ารักใสซื่อในวันวาน เพียงแต่งงานไปไม่กี่เดือน กลับกลายเป็คนใจร้ายใจดำเช่นนี้! รู้ทั้งรู้ว่าเขาให้ความสำคัญกับหน้าตาชื่อเสียง นางกลับจงใจทำลายมัน!
"คนเราควรรู้จักประมาณตน" อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวเสียงเ็า
"ถ้าข้าเป็ท่าน ข้าคงมุดหัวอยู่ที่ไหนสักแห่งแล้ว จะยังมีหน้ามาเดินเพ่นพ่านให้คนเขาเห็นอีกหรือ!"
"เ้าคิดว่าข้าอยากมานักหรือไง!"
พอถูกเย้ยหยันถึงขนาดนี้ กู้หลินหลางก็โกรธจนเืขึ้นหน้า ถ้ารู้ว่านางเป็คนน่ารังเกียจเช่นนี้ เขาคงไม่ชายตามองนางั้แ่แรกแล้ว!
"ท่านไม่อยากมา ก็ไม่มีใครเชิญท่านมา ข้ายังรังเกียจอยู่เลยว่าท่านจะมาทำให้หน้าบ้านข้าสกปรก!" อันซิ่วเอ๋อร์ค้อนใส่ "แต่ก็ยังดีที่ท่านยังพอมีสำนึกอยู่บ้าง รู้ว่าใบหน้าอัปลักษณ์น่าชัง ยังรู้จักหาผ้ามาคลุมไว้!"
"เ้า!" กู้หลินหลางโกรธจนตัวสั่น ชี้หน้าอันซิ่วเอ๋อร์ แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
ขณะที่ทั้งสองกำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่นั่นเอง จางเจิ้นอันก็เดินกลับมาจากทางไกล เขาดูเหมือนจะไม่เห็นกู้หลินหลางเลยแม้แต่น้อย เดินตรงมาหาอันซิ่วเอ๋อร์ทันที
พออันซิ่วเอ๋อร์เห็นเขา ริมฝีปากก็พลันโค้งขึ้นเป็รอยยิ้มหวาน ตั้งใจจะเดินเข้าไปหา แต่พอนึกขึ้นได้ว่ากู้หลินหลางยังอยู่ นางจึงยืนอยู่ที่เดิม ยิ้มกว้างจนใบหน้าสดใสราวกับดอกสาลี่แรกแย้ม
"ซิ่วเอ๋อร์..."
พอจางเจิ้นอันเห็นรอยยิ้มนั้น น้ำเสียงของเขาก็อ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองทำเหมือนกู้หลินหลางที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เป็อากาศธาตุ เตรียมจะจูงมือกันเข้าบ้าน
กู้หลินหลางทนไม่ไหว ร้องเรียกขึ้น "จางเจิ้นอัน!"
"อ้อ"
จางเจิ้นอันจึงหันกลับมา พอเห็นว่าเป็กู้หลินหลาง เขาก็เดินเข้าไปใกล้สองก้าว ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ ขณะที่กู้หลินหลางยังไม่ทันตั้งตัว มือใหญ่ก็คว้าจับแขนซ้ายของเขาแล้วบิดอย่างรวดเร็วและแม่นยำ!
ได้ยินเพียงเสียง "กร๊อบ" ดังขึ้นเบาๆ จางเจิ้นอันก็ไม่แม้แต่จะเหลือบมอง เพียงหันหลังเดินเข้าบ้านไปทันที กู้หลินหลางกำลังจะอ้าปากร้อง แต่หลังจากความเจ็บแปลบเมื่อครู่ เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าแขนซ้ายกลับมาขยับได้แล้ว! พอกลับมาได้สติ เงาของจางเจิ้นอันก็หายลับเข้าประตูไปแล้ว
"เมินเฉยต่อข้าถึงเพียงนี้เชียว!"
กู้หลินหลางสบถออกมาอย่างหัวเสีย แต่เสียงก็เบาจนแทบไม่ได้ยิน เมื่อเื่มาถึงขั้นนี้ เขาก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว พอกลับถึงที่พัก เขาก็สั่งให้เด็กรับใช้เก็บข้าวของทันที บ่ายวันนั้นเอง เขาก็จากหมู่บ้านชิงสุ่ยไปอย่างเงียบๆ
หลังจากเขาไป อันซิ่วเอ๋อร์ก็รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบสดใสขึ้นมาทันที เพียงแต่ยังอดเป็ห่วงอันหรงเหอและนักเรียนคนอื่นๆ ไม่ได้ เพราะกู้หลินหลางจากไปอย่างกะทันหัน ทำให้่เวลาหนึ่ง สำนักศึกษาจึงขาดครูผู้สอน ผู้ใหญ่บ้านถึงกับร้อนใจวิ่งวุ่นหาคนมาแทน
อันหรงเหอรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ลึกๆ แล้วเขาก็ยังคงชอบกู้หลินหลางอยู่ไม่น้อย เพราะอาจารย์กู้ยังหนุ่มแน่น รูปงาม และมักจะแสดงท่าทีใจดีอยู่เสมอ ที่ผ่านมาก็ปฏิบัติต่อเขาค่อนข้างดี
แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็เด็ก ความเศร้าเสียใจมีเพียงเล็กน้อย ไม่นานก็ถูกเื่อื่นชะล้างไปจนหมด พวกเขาเริ่มตั้งตารออาจารย์คนใหม่ที่จะมาแทน
ถึงแม้ว่าอาจารย์คนใหม่จะยังไม่มา แต่เด็กๆ ที่จ่ายค่าเล่าเรียนแล้วก็ยังคงต้องมาที่สำนักศึกษาตามปกติ เพียงแต่ไร้ซึ่งผู้ควบคุมดูแล ทุกวันห้องเรียนจึงเต็มไปด้วยเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวไม่ต่างจากตลาดสด
ผู้ใหญ่บ้านร้อนใจ เหล่าผู้ปกครองก็ร้อนใจยิ่งกว่า พ่อแม่จากหมู่บ้านใกล้เคียงหลายคนต่างพากันมาหาผู้ใหญ่บ้าน ทั้งหมดล้วนเป็ชาวบ้านธรรมดา หาเงินมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน ส่งเสียให้ลูกหลานได้เรียนหนังสือไม่ใช่เื่ง่ายเลย กว่าลูกๆ จะได้เรียนก็ลำบาก คนที่อยู่ใกล้ก็ยังดีไป คนที่อยู่ไกลต้องเดินทางวันละหลายสิบลี้
ปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปก็คงไม่ดี ผู้ใหญ่บ้านจึงฝากคนไปติดต่อทาบทามหาอาจารย์ใหม่ แต่่นี้จะไปหามาจากไหน? อาจารย์ที่อายุมากหน่อยก็มีคนจองตัวไปหมดแล้ว ต่างก็มีสำนักศึกษาประจำของตนเอง ่นี้ยังเป็การสอบคัดเลือกในฤดูใบไม้ผลิ บัณฑิตหนุ่มๆ หลายคนต่างก็เก็บตัวอ่านหนังสือเตรียมสอบกันถ้วนหน้า ทุกหนแห่งจึงขาดแคลนอาจารย์
ผู้ใหญ่บ้านคิดจะให้หยุดเรียนไปสักพัก เพื่อจะได้มีเวลาหาอาจารย์ใหม่จริงๆ จังๆ แต่เหล่าผู้ปกครองกลับไม่ยอม จ่ายเงินไปแล้ว นอกจาก่เทศกาลเก็บเกี่ยวหรือปีใหม่ที่หยุดตามประเพณี พวกเขาก็ไม่อยากให้ลูกหลานเสียเวลาเรียนไปแม้แต่วันเดียว
ค่าเล่าเรียนปีละหนึ่งตำลึงเงิน หักลบ่เวลาที่ไม่ได้มาเรียนแล้ว เฉลี่ยวันละประมาณห้าเหวิน หากผู้ใหญ่บ้านไม่คืนเงิน พวกเขาก็จะให้ลูกหลานมาสำนักศึกษาทุกวัน ไม่อย่างนั้นถ้าหยุดไปแล้ว ใครจะรู้ว่าต้องหยุดไปอีกนานแค่ไหน
เื่คืนเงินนั้นเป็ไปไม่ได้แน่นอน นอกจากค่าจ้างอาจารย์แล้ว แต่ละปีหมู่บ้านยังมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมสะพาน สร้างถนน บูชาเทพเ้า และอื่นๆ อีกจิปาถะ เงินที่มีอยู่ก็แทบไม่พอใช้ แต่ละปีชาวบ้านยังต้องเรี่ยไรเงินเพิ่มอีกไม่น้อย เงินที่ได้มาแล้ว มีหรือจะยอมคืนกลับไปง่ายๆ
เมื่อเป็เช่นนี้ ผู้ใหญ่บ้านก็จนปัญญา ได้แต่ปล่อยให้เด็กๆ เอะอะโวยวายกันไป แต่ในใจก็ร้อนรนหาทางออกไม่ได้ ได้แต่ก่นด่ากู้หลินหลางที่จากไปกะทันหัน ทำให้เขาหาคนมาแทนไม่ทัน สุดท้ายจึงต้องไปขอให้คนแก่ที่ว่างงานในหมู่บ้าน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปช่วยดูแลที่สำนักศึกษาบ้าง อย่างน้อยก็พอไม่ให้เด็กๆ ทำอะไรเสียหาย
แต่คนแก่เ่าั้ก็ทนได้แค่วันสองวัน เด็กพวกนี้ซนและเสียงดังเกินไป นานวันเข้าพวกเขาก็ทนไม่ไหว พากันไปร้องทุกข์กับผู้ใหญ่บ้าน ไม่กระตือรือร้นจะไปช่วยดูแลเหมือนตอนแรกอีกแล้ว
ไม่นานนัก สำนักศึกษาก็กลับสู่สภาพไร้ผู้ดูแลอีกครั้ง ถึงแม้จะเคยเรียนหนังสือมาบ้าง แต่เด็กๆ ก็ไม่ได้ไปก่อเื่ลักเล็กขโมยน้อยในหมู่บ้าน เพียงแต่ระเบียบวินัยหย่อนยานลงเรื่อยๆ ยังไม่ทันถึงเวลาเลิกเรียน ก็พากันหนีออกจากห้องเรียน ไปวิ่งเล่นซนกันทั่วทุ่ง
พอเหล่าผู้ปกครองรู้เื่เข้า ก็ไม่กล้าโวยวายอะไรมาก ได้แต่ไปดึงชายเสื้อผู้ใหญ่บ้าน น้ำตาคลอเบ้า พร่ำบ่นว่าตนเองลำบากแค่ไหนกว่าจะส่งลูกมาเรียนได้ พูดจนผู้ใหญ่บ้านปวดหัวไปหมด ได้แต่รับปากว่าจะรีบหาอาจารย์ใหม่มาให้เร็วที่สุด
อันซิ่วเอ๋อร์พอได้ยินเื่นี้เข้า ก็รู้สึกกังวลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรนัก อย่างไรเสีย ถึงไม่มีเื่นี้ กู้หลินหลางก็คงต้องไปอยู่ดี เพราะเขาเคยบอกนางว่าจะไปมานานแล้ว การจากไปครั้งนี้จึงอยู่ในความคาดหมาย เพียงแต่ไม่ได้บอกล่วงหน้า ทำให้ผู้ใหญ่บ้านตั้งตัวไม่ทันเท่านั้นเอง
อีกอย่างหนึ่ง อันหรงเหอหลานชายนาง ก็รังเกียจที่สำนักศึกษาเสียงดังเกินไป ทุกวันนี้เขาไปสำนักศึกษาแค่พอเป็พิธีตอนเช้า แล้วก็มาอยู่ที่บ้านนางแทน อันซิ่วเอ๋อร์พอจะอ่านออกเขียนได้อยู่บ้าง ทุกวันนางจึงช่วยสอนหนังสือให้เขา เหลียงซื่อกับพ่อเฒ่าอันรู้เื่นี้เข้า ตอนแรกก็โกรธมากที่หลานชายหนีเรียน แต่พอมีอันซิ่วเอ๋อร์คอยออกรับแทน สุดท้ายก็เลยปล่อยเลยตามเลย ถึงขั้นยอมให้หลานชายมากินข้าวกลางวันที่บ้านอันซิ่วเอ๋อร์ด้วย
โชคดีที่จางเจิ้นอันเป็คนใจกว้าง เื่ที่อันหรงเหอมากินข้าวที่บ้านทุกวัน เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมยังดีใจเสียอีกที่อันซิ่วเอ๋อร์มีเพื่อนคุยตอนที่เขาไม่อยู่ นานวันเข้า อันหรงเหอก็สังเกตเห็นว่าถึงแม้ท่านอาเขยจะพูดน้อย แต่ก็ใจดีกับเขามาก เขาจึงยิ่งชอบมาที่บ้านของอันซิ่วเอ๋อร์มากขึ้นเรื่อยๆ
