"หมู่บ้านแห่งนี้ปลอมขึ้นมา ทุกคนล้วนมีปัญหา เ้าบอกว่าข้ากังวลมากไปรึ? หรงจ้าน เ้าคิดจะทำสิ่งใดกันแน่"
ฉีจือโจวจดจ้องหรงจ้านปานจะมองคนผู้นี้ให้ทะลุปรุโปร่ง แม้จะเป็ชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว แต่กลับมีความลึกลับซับซ้อน คาดคะเนได้ยากยิ่ง แต่ไรมาเขาไม่กล้าบอกว่าตนเองรู้จักหรงจ้านดีพอ
เมื่อวางใจให้หรงจ้านเดินทางมาพร้อมกัน เขาย่อมจะเตรียมการทุกอย่างไว้พรั่งพร้อม
ถึงแม้จะเป็บุตรชายของอาจารย์ฉี แต่ฉีจือโจวกลับไม่เหมือนบิดาสักนิด นี่จึงเป็เหตุผลที่อาจารย์ฉีชมชอบคนเช่นซูซานหลาง กล่าวในบางมุม บุตรเขยเช่นซูซานหลางกลับคล้ายคลึงอาจารย์ฉีที่สุด
นั่นก็คือหมกมุ่นแต่ศึกษาวิชาความรู้ อย่างอื่นล้วนไม่สนใจ
ส่วนบุตรในไส้อย่างฉีจือโจวกลับไม่ได้ส่วนนี้มาเลย
เขาเป็คนคลุมเครือคาดเดายาก ใจเหี้ยมอำมหิต
"ท่านอ๋องอวี้ หมู่บ้านเช่นนี้ท่านคงไม่ถึงกับสร้างมันขึ้นมาชั่วคราวกระมัง"
หรงจ้านไม่หวั่นไหว เอ่ยเสียงเบา "อาจารย์ นี่คือหนึ่งในไพ่ตายของข้า ข้าเปิดไพ่ตายของตนเองให้ท่านดู ท่านว่าเพราะเหตุใด?"
ฉีจือโจวไม่ตอบ
"ข้าเพียงอยากแสดงให้ท่านเห็นความจริงใจของข้า ข้าผู้นี้ทำสิ่งใดล้วนมีแต่ความจริงใจเสมอ อาจารย์ อย่างไรเสียก็เป็การแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ ท่านช่วยเหลือข้า ข้าย่อมช่วยเหลือท่านได้ ข้าเพียงอยากดูข้อมูลภายในของหอน้ำชาเจ็ดสมบัติเท่านั้น"
หรงจ้านแสดงความบริสุทธิ์ใจ
"ครานี้เ้าขันอาสาพาพวกเรามาที่นี่โดยเฉพาะ ก็เพื่อสิ่งนี้? เพื่อแสดงความจริงใจของเ้า?" รอยยิ้มมุมปากของฉีจือโจวแฝงแววเหยียดหยัน
หรงจ้านยิ้ม "จุดนี้ท่านคิดมากไปแล้ว ข้าเพียงอยากหาสถานที่ที่ปลอดภัยให้แม่หนูน้อยเล่นสนุกเท่านั้นเอง ยิงะุนัดเดียวได้นกสองตัว”
ฉีจือโจวเงียบไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า "เื่หอน้ำชาเจ็ดสมบัติข้ารู้ว่าเ้าคิดเช่นไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากให้เ้ารู้ หอน้ำชาเจ็ดสมบัติหาใช่ของข้าเพียงคนเดียว ข้ามิอาจตัดสินใจโดยพละการได้ และในนั้นก็ไม่มีข้อมูลใดๆ ที่ท่าน้า"
คำพูดของเขาแฝงไปด้วยความนัยบางอย่าง ขณะเดียวกันก็เป็การบอกข้อมูลบางอย่าง หรงจ้านจ้องตาฉีจือโจว ไม่กล่าวอันใดอยู่นาน
"พวกท่านสองคนไม่นอนกลางวันกันหรือ" เฉียวเยว่ขยี้ตาเดินออกมาจากห้อง เพราะเพิ่งตื่นจากนอนกลางวันน้ำเสียงของนางจึงอ่อนหวานแฝงแววออดอ้อนฉอเลาะ
"ไม่มีปัญหา พวกเรานอนไม่หลับ ก็เลยมานั่งคุยกัน เฉียวเยว่จะมานั่งคุยด้วยกันหรือไม่?" ฉีจือโจวตอบทันควัน
เฉียวเยว่ผงกศีรษะ ยิ้มหน้าระรื่น "ข้าเอาขนมมาด้วย ข้าจะไปหยิบออกมา พวกท่านดื่มชาเช่นนี้แขนขาจะอ่อนแรงได้ง่าย"
"เ้ามานั่ง ให้อวิ๋นเอ๋อร์ไปหยิบมาก็ได้" ฉีจือโจวเอ่ย
เฉียวเยว่นั่งลงอย่างเชื่อฟัง นางวางมือทั้งสองบนหัวเข่า ท่าทางน่ารักอย่างยิ่ง "พี่จ้าน ท่านพบสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไร ดูไม่เลวเลย"
หรงจ้านทอยิ้มน้อยๆ ไล้นิ้วมือไปบนขอบถ้วยของตนเอง หลังจากขบคิดครู่ใหญ่ ก็เอ่ยว่า "ข้าย่อมทำได้ทุกอย่าง ข้าเก่งกล้าสามารถมาโดยตลอดอยู่แล้วมิใช่หรือ"
เฉียวเยว่หัวเราะพรืดออกมา แค่นเสียงสำทับ "คนขี้คุย"
"เื่ของความสามารถแต่ไรมาล้วนมิต้องโอ้อวด ไม่เชื่อถามอาจารย์ดู เขาก็รู้" หรงจ้านกล่าวอย่างจริงจัง
"ข้าไม่รู้" ฉีจือโจวตอบเสียงเรียบ
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก ใช้ผ้าเช็ดหน้าป้องใบหน้าของตนเอง "ชายหนุ่มขี้โม้ผู้น่าสงสารถูกตบต่อหน้าธารกำนัล"
หรงจ้านมองนางอย่างพินิจ เพราะนอนกลางวันใบหน้าของนางจึงแดงระเรื่อ น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย ทั้งนุ่มนวลและอ่อนโยน ไม่เหมือนนางยามปรกติแม้แต่น้อย แต่คล้ายคลึงกับตอนป่วยมากกว่า ทั้งน่ารัก อ่อนหวานแช่มช้อย เฉกเช่นคุณหนูผู้เอาแต่ใจ
"แค่กๆ แค่กๆๆ"
อยู่ดีๆ ฉีจือโจวก็ไอออกมา เฉียวเยว่ถามอย่างงุนงง "ท่านลุง ท่านเป็อันใดหรือ?"
สีหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย "ไม่สบายใช่หรือไม่?"
"ไม่ได้เป็อะไร" ฉีจือโจวตอบกลับไปช้าๆ
นี่เป็ครั้งแรกที่เขาใช้สายตาเตือนหรงจ้าน หรงจ้านเก้อเขินเล็กน้อย ก่อนก้มหน้าดื่มชารวดเดียวหมดถ้วย
เฉียวเยว่หันไปเห็นหรงจ้านดื่มชารีบร้อนเกินไป น้ำชาไหลย้อยจากมุมปากลงมาที่ลำคอ หยดลงบนคอเสื้อ
เฉียวเยว่ตั้งท่ารังเกียจ "ไยท่านน้ำลายไหล"
หรงจ้าน "..."
เฉียวเยว่เห็นบรรยากาศดูประหลาดชอบกล จึงหยั่งเชิงถาม "พวกท่านเป็อะไรกัน คงมิได้คุยเื่สำคัญบางอย่างที่ข้าไม่รู้หรอกกระมัง?"
"เปล่า" ทั้งสองตอบพร้อมเพรียงกันอย่างน่าประหลาด
เฉียวเยว่มองคนนี้ที คนนั้นที ยิ่งรู้สึกสับสน "เช่นนั้นพวกท่านเป็อะไรกันเล่า"
ทันใดนั้นหรงจ้านก็ลุกขึ้น "เ้าอยากไปเดินเล่นรอบหมู่บ้านหรือไม่?"
เฉียวเยว่พยักหน้า "เอาสิ"
นางลุกขึ้น "ท่านลุง ไปด้วยกันนะเ้าคะ"
ฉีจือโจวเฝ้าดูเงียบๆ เขาหันไปมองหรงจ้าน หึๆ เวลานี้เขาย่อมจะไปกับพวกเขาแน่นอน อย่าว่าแต่อย่างอื่น เขาจำเป็ต้องจับตามองหรงจ้านให้ดี เห็นอยู่ว่าเ้าหนุ่มบัดซบผู้นี้หมายตาเฉียวเยว่ของพวกเขาอยู่
มิเช่นนั้นแล้วจะมองตาค้างเยี่ยงนั้นได้อย่างไร
เขาถลึงตาใส่หรงจ้าน
"เ้าจะเอาเสื้อคลุมกันลมไปด้วยหรือไม่"
เฉียวเยว่พยักหน้า "เอาเ้าค่ะ เอาเ้าค่ะ"
พอนางหันหลังเข้าไปในห้อง ฉีจือโจวก็กล่าวเตือน "เ้าอยู่ให้ห่างเฉียวเยว่ของเราหน่อย หากคิดมิดีมิร้ายกับนางแม้แต่น้อย ข้าจะสังหารเ้าเสีย"
หรงจ้านเลิกคิ้ว หัวเราะเสียงเยาะ "อาจารย์พูดเช่นนี้ช่างน่าขันนัก ข้าจะคิดมิดีมิร้ายอันใดได้ ท่านอย่าคิดมากไป แต่ไหนแต่ไรมาข้าล้วนทะนุถนอมเฉียวเยว่ดังไข่มุกในอุ้งมือ"
ไข่มุกในอุ้งมือ? พูดตามตรง คำบรรยายนี้ทำให้ฉีจือโจวรู้สึกแปลกใจ เขามองหรงจ้านอย่างพินิจ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเขามีปัญหา พูดราวกับเฉียวเยว่เป็บุตรสาวของตนเองเยี่ยงนั้น ผู้อื่นไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย ยังเห็นเป็ดังไข่มุกในอุ้งมือ หากเขาโง่ขนาดนี้ ก็ควรไปพบหมอหลวงดีกว่ากระมัง?
แน่นอนว่าฉีจือโจวมิได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น เขาไม่สนใจจะถือสาหาความกับคนผิดปรกติ
เมื่อเฉียวเยว่ออกมาจากห้อง ทุกคนก็กลับมาเป็ปรกติ นางมองพวกเขาสองคนอย่างเคลือบแคลง "พวกท่านไม่เป็อันใดจริงหรือ?"
ดูเหมือนว่ามีบางอย่างแปลกๆ
"ไม่มีอะไร"
เฉียวเยว่ไม่รู้สาเหตุ แต่ก็ยังตามพวกเขาสองคนไปเดินเล่น
บัดนี้เป็ฤดูสารท ไม่มี่เวลาไหนจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว เฉียวเยว่มองไปรอบด้าน ก่อนเอ่ยว่า "ที่นี่อุดมสมบูรณ์มากจริงๆ"
เสื้อคลุมของเฉียวเยว่มีไหมพรมทรงกลมปุกปุยน่ารัก หรงจ้านจ้องมองอยู่นานก็พูดว่า "เ้าไม่คิดจะเปลี่ยนเสื้อคลุมหน่อยหรือ?"
"ไยต้องเปลี่ยน?" เฉียวเยว่งุนงง
หรงจ้านเริ่มคันปลายนิ้วมือ แล้วเอ่ยอย่างคับข้อง "ไม่มีอะไร"
เขาคงไม่ถึงกับบอกว่าอยากจะดึงทิ้งหรอกกระมัง
หรงจ้านกระแอมกระไอเบาๆ "พรุ่งนี้พวกเราค่อยมาที่นี่ดีหรือไม่?"
เขาคิดจะหลบเลี่ยงฉีจือโจวที่เฝ้าจับตามองเขาตลอดเวลา
เฉียวเยว่กำลังจะตอบ แต่พอเงยหน้าขึ้น เห็นหรงจ้านมิได้มองนาง แต่มองท่านลุงของตนเอง ริมฝีปากน้อยๆ ก็ยื่นออกมา พูดตัดพ้อ "ท่านนี่ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย คุยกับข้าก็ต้องมองข้าสิ"
"ข้าตาเข" หรงจ้านเลิกคิ้ว
เฉียวเยว่หัวเราะพรืดออกมา ก่อนจะถอนหายใจเอ่ยว่า "ท่านจะเอาอย่างนี้ให้ได้เลยหรือ"
แต่กลับพึงพอใจ "ที่นี่ก็ดี ว่าแต่ปูจับกันอย่างไร ข้าไม่เคยจับมาก่อนเลยนะ"
แท้จริงแล้วทุกคนคิดแต่พานางมาจับปู แต่ไม่ได้คิดจะให้นางไปจับด้วยตนเองจริงๆ
"หรือเ้าคิดว่าข้าเคยจับ?" หรงจ้านถามเสียงเรียบ
เฉียวเยว่มานึกดู ก็จริง หากถามว่ากินเป็หรือไม่ คนผู้นี้รู้จักกินเป็ที่สุด แต่เขาจับไม่เป็แน่นอน สถานะสูงส่งเช่นเขา ไหนเลยจะต้องมาทำงานหยาบเช่นนี้ นึกถึงตรงนี้ นางเองก็เริ่มสับสน
"พี่จ้านเก่งกล้าสามารถ บุรุษทั่วไปทำของอร่อยเยี่ยงนั้นไม่ได้แน่ๆ" นางยิ้มสอพลอ พูดเสียงดังฟังชัด
พอได้คำชมจากเฉียวเยว่ มุมปากของหรงจ้านก็โค้งขึ้นเล็กน้อย แต่มิได้เอ่ยอะไรมาก เพียงแต่น้ำเสียงอ่อนลงหลายส่วน "เช่นนั้นตอนเย็นข้าจะทำขนมเปี๊ยะไส้ผักให้เ้าดีหรือไม่?" เขาหยุดเว้นจังหวะ แล้วพูดต่อ "แต่ที่นี่ต้นอ่อนพืชมีน้อย อาจจะหยาบไปสักหน่อย ไม่รู้ว่าเ้าจะกินได้หรือเปล่า"
เฉียวเยว่พยักหน้า "ไม่ว่าท่านทำสิ่งใด ข้าล้วนชอบทุกอย่าง"
บางคราฉีจือโจวก็คิดว่าเด็กคนนี้แท้จริงแล้วเหมือนใคร นางประจบสอพลอเก่งเป็ที่หนึ่ง ดูสิ แม้แต่หรงจ้านยังถูกพะเนาพะนอเสียจนแทบอยากประคองนางไว้ในกลางฝ่ามือ
แต่เมื่อพินิจอย่างถี่ถ้วน ที่นี่ไม่มีใครอื่น แท้จริงแล้วเฉียวเยว่ยังรู้จักขอบเขตความเหมาะสมกับผู้อื่น แต่กับหรงจ้านกลับไม่มีแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่กันแน่
แม้ว่าบรรยากาศทางนี้จะดีมาก ทุกคนต่างมาเพื่อผ่อนคลาย แต่ในเมืองหลวงกลับไม่ใช่
ไท่ไท่สามคาดการณ์ไว้ไม่ผิด หวังหรูเมิ่งตั้งครรภ์จริงๆ นี่คือครรภ์ที่สองของนาง แต่บุตรคนแรกรักษาไว้ไม่ได้ ครานี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็เหมือนเดิม
ท่านหมอเคยบอกว่า สุขภาพของนางไม่ค่อยดีนัก ทั้งเคยถูกคนวางยา เด็กคนนี้เดิมทีก็ยากจะรักษาไว้ได้ คนก่อนก็เป็เช่นเดียวกัน
หวังหรูเมิ่งยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น แทบอยากฉีกไท่ไท่ใหญ่ให้เป็ชิ้นๆ
ตอนนี้นางต้องอาศัยบุตรเพื่อตั้งตัว แต่ไท่ไท่ใหญ่กลับทำลายความฝันของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลาผ่านไป ซูต้าหลางก็ไม่ค่อยมาหานางที่ห้องแล้ว เด็กคนนี้จึงสำคัญมากในเวลานี้
หากจะว่าไปแล้ว หวังหรูเมิ่งเคืองแค้นทุกคนในจวนนี้ มีกี่คนก็นับกี่คน
ซูต้าหลางล่วงเกินนาง ทำให้นางต้องแต่งเข้ามาอย่างเสียไม่ได้ ไท่ไท่ใหญ่ทำให้นางไม่อาจมีบุตรเป็ของตนเองได้ สองคนนี้คือคนที่นางเคียดแค้นเข้ากระดูก นอกจากพวกเขา ไท่ไท่รองพี่สาวแท้ๆ ที่ไม่ได้ช่วยนางแม้แต่กระผีกก็ไม่ใช่คนดีอันใด ยังมีนางแพศยาเรือนสามผู้นั้น หากนางยอมแนะนำเสนาบดีฉีให้ตนเอง โศกนาฏกรรมเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ตนเองเพียงอยากเป็ภรรยาพ่อม่าย ไม่ดีตรงไหน?
"อี๋เหนียง ท่านหมอบอกว่า ถึงท่านทู่ซี้ต่อไปก็ปิดไม่อยู่ ไม่สู้บอกความจริง..." สาวใช้นึกเป็กังวล
"เมื่อปิดไม่อยู่ ก็ไม่ต้องปิด" หวังหรูเมิ่งกล่าว
"แต่ว่า..."
"บุตรของข้าดีๆ ไยต้องปิดบัง"
หวังหรูเมิ่งแค่นเสียงเยาะ คนเยอะขนาดนี้ นอกจากสามีภรรยาน่ารังเกียจเรือนใหญ่ คนที่นางเกลียดชังที่สุดก็คือนางแพศยาเรือนสามผู้นั้น
"ไม่ว่าใครก็อย่าหวังจะได้อยู่อย่างสงบสุขเลย"
ข่าวการตั้งครรภ์ของหวังหรูเมิ่งแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ไท่ไท่สามวางตำราในมือลง ถามเพื่อความแน่ใจอีกครา "ข่าวมาจากเรือนใหญ่หรือจากทางฮูหยินผู้เฒ่า?"
หลันหมัวมัวตอบ "จากทางฮูหยินผู้เฒ่าเ้าค่ะ ไท่ไท่ ท่านคิดว่า..."
หวังหรูเมิ่งตั้งครรภ์ อย่างไรเสียก็ต้องส่งของขวัญไป ส่งแล้วดีก็ดีไป แต่หากไม่ดี... นางเม้มปาก "ไปเรือนหลัก ยามนี้พวกเราควรไปแสดงความยินดี"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้