“วาดเสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” หลินหร่านวางถ่านเรียวเล็กลงก่อนยื่นรูปภาพให้อวี้ฉู่จาวดู
“อืม ไม่เลวนี่ วาดข้าออกมาได้ดูดีทีเดียว” อวี้ฉู่จาวเดินอ้อมไปข้างหลังภาพวาดแล้วดึงหลินหร่านให้นั่งลง เขาโอบหลินหร่านไว้ในอ้อมกอด
“นั่นเป็เพราะท่านอ๋องทรงมีความสง่า ภาพนี้ยังเทียบกับท่านไม่ได้แม้แต่นิด” ทุกครั้งที่หลินหร่านเอ่ยชมอวี้ฉู่จาวเขาไม่เคยโกหก
ในใจเขา อวี้ฉู่จาวนั้นไร้ที่ติ
“ข้าไม่ได้ดีอย่างที่เ้าเอ่ยหรอก” อวี้ฉู่จาวอุ้มอีกฝ่ายวางลงบนโต๊ะก่อนจะถอดรองเท้าบูทกับถุงเท้าสีขาวของหลินหร่านให้
“ท่านอ๋อง…” หลินหร่านไม่รู้ว่าอวี้ฉู่จาว้าทำอะไร
“อย่าขยับ ข้าจะดูแผลที่เท้าให้เ้า หลายวันมานี้ข้าดูแต่แผลบนหน้าและตามตัวเ้า ไม่ได้ดูแผลที่เท้าให้เลย”
ทุกครั้งที่หลินหร่านนอนหลับ อวี้ฉู่จาวจะตรวจสอบาแตามร่างกายของอีกคน แต่ลืมนึกถึงาแที่เท้าไปสนิท
“าแของข้า...ดีขึ้นมากแล้วท่านอ๋อง” หลินหร่านนึกถึงกลางดึกเมื่อคืนที่อวี้ฉู่จาวให้ตนเองเปลื้องผ้าเพื่อตรวจสอบาแบนร่างกาย ใบหน้าหวานอดไม่ได้ที่จะขึ้นสีแดงเรื่อ
“ให้ข้าดูก่อนข้าถึงจะวางใจได้ ข้าให้หยางซานไปตามหมอซูมาแล้ว อีกประเดี๋ยวจะให้มาตรวจชีพจรเ้า”
อวี้ฉู่จาวจับฝ่าเท้าของหลินหร่านแล้วดูอย่างระมัดระวังพลางเอ่ย “ทำไมเท้าเ้าเล็กขนาดนี้ เพราะขาดสารอาหารหรือเพราะเ้ากำลังโต”
โดนอวี้ฉู่จาวจับเท้า หลินหร่านรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ อีกทั้งยังถูกบอกว่าเท้าเล็กอีก เขายิ่งรู้สึกละอายใจนัก
“...ข้าจะกินข้าวเยอะๆ จะโตเร็วๆ ” หลินหร่านให้คำมั่น
“เ้าไม่โตขึ้นไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงเ้าแข็งแรงพอ เ้าก็ได้ยินนี่ ไม่ว่าใครต่างก็บอกข้าเป็คนดวงอาภัพภรรยา…”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาต่างหากที่โชคร้าย” หลินหร่านตอบกลับ
อวี้ฉู่จาวตกตะลึงกับแววตาที่แน่วแน่ของหลินหร่านไปชั่วครู่ เขารู้สึกดีใจเป็อย่างมาก “ใช่ พวกเขาโชคร้าย แต่เ้าก็คงจะเป็คนที่มีความสุขที่สุด เพราะทั้งชีวิตนี้ ข้า้าแค่เ้า”
“อื้อ” หลินหร่านพยักหน้า “เพื่อท่าน ข้าจะตั้งใจดูแลสุขภาพ”
อวี้ฉู่จาวพึงพอใจจึงยกมือลูบหัวหลินหร่าน ผมของเขาดำขลับดูเงางาม ทำให้คนเห็นยั้งมือที่จะออกไปลูบไม่ได้
“โธ่ๆๆ ” เสียงของซูชิงเฟิงที่เพิ่งมาถึงดึงสติคนทั้งคู่ที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความรัก
หลินหร่านรู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ชินที่มักถูกซูชิงเฟิงเข้ามาขัดจังหวะ
เขาทำได้เพียงหลบสายตาซ่อนความเขินอาย
ส่วนอวี้ฉู่จาวเป็คนเปิดเผย คำพูดต่างๆ จากซูชิงเฟิงสำหรับเขาแล้วจึงเป็เพียงธาตุอากาศ
“นี่มันนานขนาดไหนแล้ว เรียกกระหม่อมมาจับชีพจรหรือให้มาดูพวกท่านพลอดรักกัน” ซูชิงเฟิงกางพัดออก ปกปิดท่าทีเบื่อหน่ายเต็มทนของตนเอง
อวี้ฉู่จาวนิ่งเฉย ไม่สนใจที่ซูชิงเฟิงบ่นแล้วขยับออก “ตรวจหลอดเืดำคู่ด้วย”
ซูชิงเฟิงมุ่ยปากแต่ก็ทำตามคำสั่ง
“ร่างกายไม่มีความผิดปกติ แข็งแรงมาก เพียงต้องบำรุงสารอาหาร” สองประโยคนี้ซูชิงเฟิงไม่รู้ว่าตนเองพูดไปแล้วกี่รอบ
อวี้ฉู่จาวพอใจกับผลที่ได้ฟัง เขาก้มลงสวมถุงเท้าให้หลินหร่านพลางกล่าว “เราเข้าห้องกันเถอะ ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว หมอซูก็มาด้วยกันสิ” ประโยคหลังหันไปเอ่ยกับท่านหมอ
ซูชิงเฟิงไม่คิดมากอยู่แล้ว และไม่คิดว่ามีอะไรเสียหายจึงไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับทั้งคู่
บนโต๊ะอาหาร อวี้ฉู่จาวคีบเนื้อปลาชิ้นใหญ่ที่เลือกด้วยตนเองใส่ลงไปในชามของหลินหร่าน
หลินหร่านกินอาหารเงียบๆ ไม่นานก็คีบอาหารที่อยู่จานตัวเองมาให้อวี้ฉู่จาว
หลินหร่านชอบกินปลา ในที่สุดอวี้ฉู่จาวก็ค้นพบ
อวี้ฉู่จาว้ารู้สิ่งที่หลินหร่านชอบและไม่ชอบจึงถามไปตามตรง แต่หลินหร่านเป็คนอะไรก็ได้ ไม่มีอะไรที่ชอบหรือไม่ชอบเป็พิเศษ
ทุกวัน อวี้ฉู่จาวจึงให้ในครัวทำอาหารหลากหลายไม่ซ้ำกัน ให้คนมาจดบันทึกว่าอาหารแต่ละชนิดหลินหร่านกินไปกี่คำ ทำให้รู้ว่ามีอะไรที่หลินหร่านชอบหรือไม่ชอบบ้าง ยกตัวอย่างเช่น หลินหร่านชอบกินปลากับเนื้อติดมัน ไม่ชอบกินขึ้นฉ่ายกับเนื้อแกะ เป็ต้น
นี่เป็ครั้งแรกที่ซูชิงเฟิงมาทันเวลาในตอนที่ท่านอ๋องเสวยพระกระยาหาร และเป็อีกครั้งที่ได้ทำความเข้าใจใหม่ว่าท่านอ๋องผู้เ็าเปลี่ยนเป็ท่านอ๋องผู้อ่อนโยนเสียแล้ว
การดูแลอย่างพิถีพิถัน สายตาที่อ่อนโยน นี่กำลังเลี้ยงดูเ้าสาวหรือกำลังเลี้ยงลูกชายกันแน่ ขนาดคนเลี้ยงลูกชายยังไม่มีใครพิถีพิถันเท่าเขาเลย
“เ้ามีชื่อรองหรือยัง” จู่ๆ อวี้ฉู่จาวก็เอ่ยถามขึ้น
หลินหร่านเงยหน้าพร้อมส่ายหัว
แท้ที่จริงแล้วคนอย่างอวี้ฉู่จาวไม่รู้ว่าต้องตั้งชื่อเล่นอย่างไร คนทั่วไปมักมีแค่ชื่อเดียว แต่บางครอบครัวจะมีการตั้งชื่อเล่นเอาไว้สำหรับเรียกให้ดูสนิทสนมกันมากขึ้น
“อย่างนั้นข้าจะตั้งชื่อให้เ้า เราจะได้สนิทกันมากขึ้น” อวี้ฉู่จาวคิดว่าเรียกชื่อหลินหร่านมันดูแข็งไป เขาเลยนั่งนึกชื่อดีๆ ออกมา
“ดีพ่ะย่ะค่ะ” แน่นอนว่าหลินหร่านอยากสนิทกับอวี้ฉู่จาวมากขึ้น
“อวิ๋นซี” ดั่งเมฆดั่งสายธาร ล้วนแต่เป็สิ่งที่อ่อนนุ่มบนโลก เฉกเช่นหลินหร่าน
“ไพเราะมากพ่ะย่ะค่ะ” ถึงแม้หลินหร่านจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดอวี้ฉู่จาวจึงตั้งชื่อนี้ให้ตน แต่เขาฟังแล้วก็รู้ว่าเป็ชื่อที่ดี
“เ้าชอบก็ดี”
“ชอบ...ชอบมากๆ พ่ะย่ะค่ะ” รอยยิ้มของหลินหร่านออกมาจากใจจริง
เพื่อทำจิตใจให้เป็ปกติ หลังรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จซูชิงเฟิงจึงรีบออกไป
ยามเทพเ้าแห่งาอยู่ในค่ายทหารกับยามอยู่ต่อหน้าหลินหร่านราวกับโลกนี้มีกันแค่สองคน ในอนาคตตนเองต้องช่วยเหลืองานในค่ายทหารของท่านอ๋อง หากเอาแต่จดจำท่านอ๋องในแบบที่อยู่ตรงหน้า คนที่ต้องเสียเปรียบอาจมีแต่ตนเอง
.........
อีกด้านหนึ่ง เกี่ยวกับงานแต่งงานของอวี้ฉู่จาว ฮ่องเต้ฉงเต๋อได้ตัดสินพระทัย
ท้ายที่สุดอวี้ฉู่จาวก็ได้รับข่าวจากวังหลวง
อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วจะมีราชโองการการแต่งงานจากฮ่องเต้ที่จะมีกำหนดการจัดงานหลังจากนี้อีกครึ่งปี
ทว่าในตอนนี้ ชาวซยงหนูกำลังก่อความวุ่นวาย หากฮ่องเต้มีประสงค์จะให้เขาไปจัดการคงต้องรีบจัดงานแต่งงานทันที และในวังก็มีตำหนักที่สามารถกักขังเขาไม่ให้ไปไหนได้
หากไม่้าให้เขาไปก็ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ นำอำนาจทางการทหารออกจากมือเขาแล้วให้คนอื่นนำทัพแทน
เขายังจำได้ว่าในชาติก่อน ฮ่องเต้ฉงเต๋อ้าที่จะลดอำนาจทางการทหารในมือเขาแล้วให้คนอื่นไปแทน แต่เขาไม่ยอมที่จะแต่งกับชายาซึ่งเป็ชาย จึงปฏิเสธรับสั่งของฮ่องเต้ทำให้เกิดเื่วุ่นวายในวัง
หลังจากนั้น เขาถึงนำกองทัพออกไปทางเหนือเพื่อทำลายรังของชาวซยงหนู
แม้อวี้ฉู่จาวจะไม่สนใจเื่ในตำหนัก แต่เขาก็ภูมิใจกับการทำา การฝึกฝนในสนามรบทำให้เขากระหายเื และการแต่งงานกับชายาที่เป็ชายนั้น เขาจะทนเฉยเมยกับความอัปยศอดสูนี้ได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่กลับมาจากปราบชาวซยงหนู ความกังวลของฮ่องเต้ฉงเต๋อที่มีต่อเขาจึงมีมากขึ้น
เขาถูกยกย่องว่าเป็ผู้มีบุญคุณในการขับไล่ชาวซยงหนู แต่ก็ทำให้สูญเสียอำนาจการทหารไปส่วนหนึ่ง
หลังจากนั้น การจัดงานแต่งงานของเขาจึงยิ่งชัดเจนมากขึ้น ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้
่เวลานั้น อวี้ฉู่จาวตระหนักได้ทันทีว่าตนเองไม่สามารถหยิ่งผยองและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยินยอม
แล้วชาตินี้ล่ะ เื่ราวจะเป็อย่างไร
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฮ่องเต้ฉงเต๋อยังคงเลือกที่จะลดอำนาจทางการทหารของเขาให้อ่อนแอลง เจตนาส่งคนอื่นไปแทนเขาเป็แน่ ให้เขาอยู่ที่เมืองหลวงเพื่อจัดเตรียมงาน
แต่เวลานี้ อวี้ฉู่จาวไม่คิดจะปฏิเสธการจัดงานแต่ง ขั้นตอนที่สำคัญตอนนี้อยู่ที่การตัดสินใจของอวี้ฉู่จาวแล้ว
การกระทำของเขาจะทำให้เหตุการณ์ในชาตินี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
---------------------------------