วันรุ่งขึ้นหิมะก็หยุดตก
อากาศเริ่มหนาวเย็น อวิ๋นจื่อไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับอากาศที่หนาวเย็นได้ อีกทั้งนางยังเป็หวัด นางจึงรู้สึกอึดอัดมาก
ชิงซีมาเยี่ยมนางครั้งหนึ่งและกำชับให้นางดูแลตัวเองให้ดี หลังจากนั้นก็ไม่ได้มาเยี่ยมนางอีกเลย
อวิ๋นจื่อรู้สึกเบื่อเล็กน้อย
นางไม่สามารถถามคำถามมากมายที่อยู่ในใจได้ เพราะนางรู้สึกเกรงใจชิงซีอยู่บ้าง
หลังจากป่วยมาระยะหนึ่ง อารมณ์ของอวิ๋นจื่อก็สงบลง
ไม่ว่าจะเป็เมืองอวิ๋นเมิ่งหรือการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์...
นางไม่สนใจอีกต่อไป
บางทีต้องอยู่ในสภาวะที่สูญสิ้นทุกอย่างเท่านั้นถึงจะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญที่สุด
เสด็จแม่พูดถูก การมีชีวิตอยู่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
อาการป่วยของอวิ๋นจื่อดีขึ้นแล้ว นางยังคงคัดอักษรในห้องทุกวัน นางไม่ค่อยได้พบกับชิงซี ส่วนใหญ่จะเป็คุณชายมู่ที่แวะเวียนมาเป็ครั้งคราว แต่ทุกครั้งที่มาก็จะรีบมารีบไป
อวิ๋นจื่อเคยชินกับชีวิตในตำหนักเหวินฮวา เคยชินกับการถูกยกย่องว่ามีคุณค่า และเคยชินกับการที่มีผู้คนให้ความสนใจตลอดเวลา ดังนั้นใน่สองสามวันแรกที่นางอาศัยอยู่ที่นี่ นางจึงรู้สึกหดหู่ใจมาก
แต่ตอนนี้สภาพจิตใจของนางแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก เดิมทีนางเป็คนสดใสและตื่นตัวตลอดเวลา ทว่าไม่นานนางก็ชินกับชีวิตที่เงียบสงบเช่นนี้
วันเวลาผ่านไปอย่างราบเรียบ จิตใจของอวิ๋นจื่อสงบมากขึ้นเมื่อนางคัดอักษรทุกวัน
ก่อนที่จะรู้ตัว นางก็รู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองหยงโจวมานานกว่าครึ่งเดือนแล้ว
คืนหนึ่งหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ สาวใช้คนหนึ่งก็มาแจ้งข่าวกับนาง
ในที่สุดชิงซีก็้าที่จะพบนาง
ก่อนที่จะไปพบชิงซี อวิ๋นจื่อถามสาวใช้ว่านางมาอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว
สาวใช้กล่าวเบาๆ ว่าหนึ่งเดือนครึ่งแล้ว
อวิ๋นจื่อตกตะลึง
นางไม่รู้เดือนรู้ตะวันเสียแล้ว!
นางรู้สึกละอายใจเล็กน้อย นานมากแล้วที่นางไม่ได้ข่าวคราวจากเมืองหลวง
เป็ไปได้มากว่าเมืองอวิ๋นเมิ่งได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หากเป็เช่นนั้นข่าวนี้ก็น่าจะแพร่มาถึงเมืองหยงโจวเช่นกัน
สาวใช้เ่าั้ล้วนดูแลนางเป็อย่างดี ในแต่ละวันการพูดคุยก็ไม่มีอะไรมากนอกจากคำพูดไร้แก่นสาร ดังนั้นการสอบถามข่าวคราวของโลกภายนอกจึงเป็เื่ยากมาก
อวิ๋นจื่อมีบางอย่างอยู่ในใจ และมันถูกเขียนไว้บนใบหน้าของนางอย่างชัดเจน
ทันทีที่ชิงซีเห็นอวิ๋นจื่อนางก็กล่าวว่า “เ้ารู้สึกดีขึ้นหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า แต่ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ
ชิงซีไม่ได้ทักท้วง นางแค่กล่าวว่า “สองสามวันนี้อากาศดี เ้าสามารถตามข้าไปทีู่เาจิ่วอี๋ในวันพรุ่งนี้”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า
ชิงซีรู้ว่าอวิ๋นจื่อมีบางอย่างอยู่ในใจ นางจึงไม่ถามอะไรอีก เพียงรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากออกมาเองเท่านั้น
หลังจากลังเลอยู่นาน อวิ๋นจื่อก็ถามว่า “ชิงซี ที่เมืองอวิ๋นเมิ่งเป็อย่างไรบ้าง?”
มือของชิงซีที่กำลังรินชาให้อวิ๋นจื่อพลันหยุดชะงักเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าของนางเลือนหายไป “ไม่ต้องกังวล ข้าจะค่อยๆ เล่าให้เ้าฟังหลังจากที่เราไปถึงูเาจิ่วอี๋แล้ว อาจื่อวันนี้เ้าเป็อย่างไรบ้าง?”
อวิ๋นจื่อกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าไม่รู้ว่าวันคืนผ่านไปนานเท่าใดแล้ว แต่ข้ามีความสุขดี”
ชิงซีรับรู้ว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในคำพูดของอวิ๋นจื่อ แต่นางแสร้งทำเป็ไม่เข้าใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตราบใดที่เ้ามีความสุข วันคืนที่ยากลำบากย่อมจบสิ้นลง และในอนาคตทุกอย่างจะผ่านไปอย่างราบรื่น”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าและไม่กล่าวอะไรอีก
ชิงซียื่นถ้วยชาให้อวิ๋นจื่อ “หลังจากไปทีู่เาจิ่วอี๋แล้ว ข้าจะส่งคนไปสอนเ้า เ้าพร้อมหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อกล่าวเบาๆ “อาจื่อพร้อมแล้ว”
ชิงซีพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “วันนี้พักผ่อนให้เร็วหน่อย พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางแต่เช้า”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าและกล่าวลาชิงซี
ความมืดโรยตัวลงมาแล้ว
อวิ๋นจื่อพลิกตัวไปมาแต่ไม่สามารถข่มตาหลับได้
ตระกูลมู่ปิดหูปิดตานางเป็เวลานานกว่าหนึ่งเดือน พวกเขามีเจตนาอะไร?
นางรู้สึกไม่สบายใจ
นางกังวลว่าตอนนี้ตระกูลมู่อาจไว้ใจไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลมู่ปฏิเสธที่จะบอกข่าวคราวใดๆ เกี่ยวกับเมืองอวิ๋นเมิ่งให้นางทราบ
ตอนนี้แม้จะมีป้ายคำสั่งชางอู๋หลิงแต่นางก็ไม่กล้าที่จะนำมันมาใช้
ไม่มีใครอยู่ข้างนางเลยสักคนเดียว นางจึงไม่ได้ยินข่าวคราวจากโลกภายนอก ใน่เวลากว่าหนึ่งเดือนที่นางอาศัยอยู่ในจวนตระกูลมู่ นางถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
หากไม่สามารถเชื่อใจตระกูลมู่ คนเดียวที่นางไว้ใจได้ก็คือตัวนางเองใช่หรือไม่?
อวิ๋นจื่อรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากขบคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ทางออกเดียวสำหรับนางคือต้องเชื่อใจและพึ่งพาตระกูลมู่
ไม่มีทางเลือกอื่นอีก
นางคิดถึงเมืองอวิ๋นเมิ่งและทุกอย่างในเมืองหลวงที่แสนห่างไกลนั้น ่เวลาอันสงบสุขในเดือนที่ผ่านมาถูกทำลายลงในค่ำคืนอันเงียบงัน
การแสวงหาความสงบเป็การชมดอกไม้ท่ามกลางสายหมอก[1] ท้ายที่สุดมันก็ไร้ค่ายิ่งกว่าการไขว่คว้าหาดวงจันทร์กลางน้ำเสียอีก[2]
อวิ๋นจื่อฝันว่าตัวเองได้กลับไปที่ตำหนักเหวินฮวา
ในวังยังมีแม่นมที่อวิ๋นจื่อเคยรู้จัก เสด็จแม่ของนางเสด็จมาที่ตำหนักเหวินฮวาอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาหานาง
ทันใดนั้นคนที่ดูเหมือนเด็กหญิงตัวเล็กๆ ก็วิ่งออกมาจากตำหนักเหวินฮวาและตรงดิ่งเข้าไปออดอ้อนเสด็จแม่ด้วยรอยยิ้ม เสด็จแม่อุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขนและสนทนากับเด็กหญิงคนนั้นด้วยความรักใคร่
นั่นตัวนางตอนเด็กหรือ?
อวิ๋นจื่อเดินเข้าไปใกล้เสด็จแม่โดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นเด็กหญิงก็เงยหน้าขึ้น
แต่อวิ๋นจื่อกลับรู้สึกหวาดกลัวจับใจ
เพราะใบหน้านั้นเป็ใบหน้าของประมุขตระกูลมู่!
อวิ๋นจื่อใตื่นทันที นางรู้สึกหนาวไปทั้งตัวและครั้งนี้มันเหน็บหนาวจนน่ากลัว
เมื่อสาวใช้ข้างนอกได้ยินเสียงอวิ๋นจื่อเคลื่อนไหวก็รีบเข้ามาดูนาง
อวิ๋นจื่อไล่พวกนางออกไปอย่างนุ่มนวล นางลุกขึ้นนั่งครู่หนึ่งก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
นางมีบางอย่างอยู่ในใจ จึงไม่สามารถข่มตาหลับได้
เป็ไปได้ไหมว่าประมุขตระกูลมู่เป็ธิดาของเสด็จแม่? บางทีอาจเป็ธิดาอีกคนที่เกิดจากใครสักคนในตระกูลมู่ก่อนที่นางจะเข้าวัง นี่อาจเป็เหตุผลที่มู่ชิงซีประมุขแห่งตระกูลมู่ดูเหมือนจะมีอายุไล่เลี่ยกับนาง และนี่อาจเป็สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เสด็จพ่อไม่ใยดีเสด็จแม่แต่กลับโปรดปรานหญิงชั่วร้ายอย่างโจวยี่
เพราะเป็สายเืเดียวกัน ตระกูลมู่จึงช่วยนางอย่างนั้นหรือ?
อวิ๋นจื่อใมาก
เหตุใดเสด็จแม่ไม่บอกนางว่าประมุขตระกูลมู่คือพี่สาวต่างบิดาของนาง?
อวิ๋นจื่อคิดไม่ออก
จากนั้นนางก็คิดทบทวนอีกครั้ง บางทีมันอาจเป็เพียงความฝัน
อวิ๋นจื่อพยายามปลอบใจตัวเองเพื่อไม่ให้ความฝันดังกล่าวรบกวนจิตใจของนาง
กว่าจะหลับลงอีกครั้งก็ปลายยามโฉ่ว[3]แล้ว
ไม่นานนัก สาวใช้คนหนึ่งก็ปลุกนาง
อวิ๋นจื่อมองไปที่ท้องฟ้า มันยังคงมืดอยู่ แต่การเดินทางไปูเาจิ่วอี๋รั้งนางไว้ไม่ให้หลับต่อ
ชิงซีกำลังรออวิ๋นจื่อในห้องโถงใหญ่ ทันทีที่เห็นอวิ๋นจื่อนางก็ถามเบาๆ ว่า “ข้าได้ยินจากสาวใช้ว่าเมื่อคืนเ้าฝันร้ายหรือ?”
ใบหน้าของอวิ๋นจื่อซีดลงเล็กน้อย นางเพียงกระซิบว่า “ไม่เชิงว่าฝันร้าย ข้าเพียงฝันและตื่นขึ้นมากลางดึก จากนั้นก็นอนหลับไม่สนิท”
ชิงซีกล่าวว่า “ไม่เป็ไร วันนี้เ้าสามารถพักผ่อนอยู่ในรถม้าตลอดการเดินทางได้”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า
ทั้งสองทานอาหารว่างและเตรียมออกเดินทาง
เมืองหยงโจวในเดือนพฤศจิกายนอากาศแห้งและเย็นมาก อวิ๋นจื่อขอให้ชิงซีนำเสื้อคลุมมาเพิ่ม ชิงซีตอบรับด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองเข้าไปในรถม้าทีละคน รถม้าดูไม่หรูหรา แต่กลับธรรมดาเสียจนดูไม่ออกเลยว่าเป็รถม้าของตระกูลมู่
------------------------
[1] การชมดอกไม้ท่ามกลางสายหมอก หมายถึง สิ่งที่ตามหาไม่มีอยู่จริง เป็ภาพมายา พยายามเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
[2] การไขว่คว้าหาดวงจันทร์กลางน้ำ หมายถึง ความหวังและความพยายามทั้งหมดกลายเป็สิ่งไร้ประโยชน์
[3] ยามโฉ่ว หมายถึง ่เวลา ตี 1 ถึง ตี 3
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้