“ผมจะให้คนขับรถ กลับไปเอาของคุณที่ร้าน” เมื่อขับรถออกมาได้สักระยะ ธาวินจึงหันไปบอกหญิงสาวที่นั่งหน้าตาบูดบึ้งกระเป๋าสีฟ้าอ่อนใบใหญ่ที่พิชญาลากออกไปเมื่อวันก่อน ยังคงกองอยู่ที่ร้านกาแฟชั้นบน
“พี่วินทำแบบนี้เพื่ออะไร ถ้าไม่ชอบหน้าพิชญ์ เราก็แค่ต่างคนต่างอยู่”
“พี่ชายผมตายเพราะคุณ จะให้ต่างคนต่างอยู่คงเป็ไปไม่ได้” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก หากแต่ดวงตาคมนั้นดูลึกลับยิ่งกว่า
คนฟังถึงกับจุกอยู่ในอกไม่อยากต่อความใดๆ สำหรับคนที่เอาความคิดตัวเองเป็ใหญ่แล้ว พูดสิ่งใดไปคงไร้ผล พิชญาสูดลมหายใจพลางเบี่ยงหน้าหวานไปทางอื่น แววตาระริกทำได้เพียงเก็บความอัดอั้นเอาไว้
ครู่หนึ่งเสียงมือถือที่วางไว้ด้านข้าง ส่งเสียงดังออกมาปัดความเงียบภายในรถที่บรรยากาศกำลังอึมครึม ธาวินเอี้ยวคอมองดูมือถือ แล้วเอื้อมมากดรับ
“ครับพิมพ์” น้ำเสียงอันอบอุ่นตอบรับปลายสาย พร้อมรอยยิ้มแสนอ่อนโยนแสดงเด่นชัดขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลา พิชญาแอบเหลือบมองในเวลาที่เขาเผลอตัว ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกแห่งความเ็ป ธาวินไม่เคยมีเมตตาต่อเธอสักครั้งนับั้แ่เด็กจวบจนปัจจุบัน เพียงแค่คำพูดจาไพเราะกับเธอสักครั้งยังไม่เคย หญิงสาวยังคงเบี่ยงหน้าในท่าเดิม พลางกลั้นน้ำตาเอาไว้ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“ผมมีธุระ วันนี้คงไม่ได้ เป็วันอื่นแล้วกันนะครับที่รัก” โทนเสียงแสนอบอุ่นยังคงกล่าวออกมาเป็ระยะให้พิชญาได้ยิน ธาวินแสนดีกับคนทั้งโลกเว้นเพียงเธอเท่านั้น
น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลออกมาเป็สาย สองมือน้อยรีบยกมือขึ้นมาเช็ด ก่อนที่เขาจะเห็นความอ่อนแอนี้แล้วยิ่งได้ใจ ธาวินยิ้มหวานหนึ่งครั้งแล้วกดวางสายพลางเหยียบคันเร่งมุ่งตรงกลับไปยังบ้านหลังใหญ่
“พี่ตั้ม โทรเรียกผมมาโรงงานทำไมั้แ่ตีหนึ่งเนี่ย คนจะนอน” ภีมพลหาวหวอดหนึ่งครั้ง พร้อมปากบ่นอุบอิบ ก่อนที่ชายกลางคนจะหันมาห้ามพลางแลซ้ายมองขวาด้วยความระแวดระวัง
“ชู่ว!” แล้วพาชายหนุ่มหลบเข้ามายังมุมมืดมุมหนึ่งของห้องเก็บสินค้า ภีมพลต้องประหลาดใจ เมื่อในคลังสินค้าถูกเปิดไฟสว่าง ทั้งที่ความเป็จริงห้องนี้ควรปิดสนิท ม่านสายตาขยายใหญ่ขึ้น เมื่อภีมพลได้ยินกลุ่มคนปริศนากำลังส่งเสียงซุบซิบบางอย่าง ก่อนที่จะถูกนายตั้งดึงร่างหลบไปยังมุมอับอีกฝั่ง
ทั้งสองแอบมองกลุ่มคนปริศนาที่กำลังรีบเร่งทำสิ่งผิดกฎหมาย กล่องสินค้าหลายใบถูกนำมาวางเรียงไว้ เตรียมขนถ่ายออกนอกโรงงาน
“พี่ทำอะไร” ชายหนุ่มกระซิบถามนายตั้ม หลังจากเห็นเขายกมือถือมากดบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมด ไว้เป็หลักฐานในการเอาผิดกลุ่มคนพวกนี้
“พวกมันกำลังขโมยสินค้า” ชายวัยกลางคนไม่ทันพูดจบ ภีมพลถึงกับเบิกตากว้าง เมื่อเห็นผู้จัดการฝ่ายผลิต คนที่รับภีมพลเข้าทำงานเมื่อวันก่อน เป็คนยืนคุมกลุ่มคนพวกนั้นด้วยตนเอง
“นั่น...ผะ ผู้จัดการนี่ครับ”
“เพราะงั้น ฉันถึงทำอะไรพวกมันไม่ได้ไง ไอ้ผู้จัดการนี่แหละตัวดีเลยคอยคุ้มหัวพวกมันอยู่ พวกมันคงรู้ว่าฉันระแคะระคาย จึงคอยหาเื่เพื่อบีบให้ฉันลาออก”
“ถ้างั้น ที่พี่โดนรุมวันนั้น สาเหตุเพราะเื่นี้หรือครับ แล้วกล้องวงจรปิดที่นี่ไม่มีหรือพี่ พวกมันถึงทำกันโดยไม่เกรงกลัวอะไร” ภีมพลกระซิบถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น พลางหันไปมองยังกลุ่มคนพวกนั้นเป็ระยะ อย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“ทุกครั้งที่ลงมือ พวกมันทำให้กล้องหลายตัวทำงานไม่ได้ และจะทำแบบนี้กันเดือนละครั้ง”
“โคตรเทพ” ภีมพลยังคงเบิกตากว้าง มองตรงไปยังกลุ่มคนพวกนั้นอย่างเหลือเชื่อ ก่อนที่เท้าของเขาจะเผลอเตะโดนเข้ากับกล่องเปล่า ที่ซ้อนกันเป็ชั้นร่วงลงมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วคลังสินค้า ท่ามกลางความเงียบ ยิ่งทำให้เสียงนั้นชัดเจนมากขึ้นเป็เท่าทวี
“ไอ้ภีม ซวยแล้ว” ชายหนุ่มหลับตาพลางบอกตัวเองถึงหายนะที่กำลังมาเยือนพร้อมกับกลุ่มหัวขโมย หันมองมายังต้นเสียงเป็ตาเดียวกันทุกอย่างเงียบกริบ เสียงถ่ายโอน ขนย้ายของหยุดชะงักกะทันหัน
“มาทางนี้” ชายวัยกลางคนเห็นท่าไม่ดี จึงมองหาที่หลบมุมใหม่ หากแต่ภีมพลยื้อเอาไว้ พลางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
