เส้ากวงหรงไม่โปรดปรานอะไรทั้งสิ้น ยกเว้นโปรดปรานรถ
จะเปลี่ยนมือซื้อขายรถยนต์ก็ยังไม่มีเงินถึงระดับนั้น สิ่งที่เขาสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้คือรถจักรยานยนต์ ถูกใจแบบใหม่ ก็ขายจักรยานยนต์คันก่อนหน้าไป เพิ่มเงินอีกนิดหน่อยและซื้อคันใหม่ ปัจจุบันเขากำลังขี่จักรยานยนต์พ่วงท้าย ขี่ไปไหนมาไหนได้ไม่รวดเร็วเท่าไร ทว่าถ้าใช้เที่ยวจีบสาวถือว่าเป็เครื่องมือทรงประสิทธิภาพทีเดียว
คังเหว่ยรู้ดีว่าเป็ของรักของเขา คิดๆ ดูก็ไม่ควรกดดันเ้านี่จนไม่มีทางเลือกด้วย พี่สะใภ้เสี่ยวหลานยังต้องอาศัยคุณลุงของเส้ากวงหรงที่ซางตูคอยดูแลอยู่นี่นะ
“ได้ เงินน่ะฉันจะออกแทนพี่ก่อน ส่วนรถไม่ต้องขายหรอก พี่ค่อยๆ คืนแล้วกัน!”
เส้ากวงหรงหัวเราะเงอะงะ
“ฉันรู้ว่านายหาเงินมาได้พร้อมกับพี่โจวเฉิง อย่างนั้นฉันจะไม่เกรงใจนายนะ”
พอเส้ากวงหรงได้ประโยชน์ก็อวดรู้ ทำเอาคังเหว่ยโมโหและตีเขา ทว่าทั้งสองคนทะเลาะเอะอะจนคุ้นชิน ตีกันเสร็จเส้ากวงหรงก็ตามคังเหว่ยกลับเข้าไปดูบ้าน กำแพงที่ต้องทุบของบ้านคังเหว่ยถูกทุบหมดเรียบร้อย สองทุ่มแล้วพวกหลิวหย่งก็ยังไม่เลิกงาน ยุคนี้ไม่มีการจำกัดเวลาตกแต่งภายในเสียด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเกรงว่าจะเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้าน หลิวหย่งจะนำทุกคนทำงานทั้งคืนอย่างแน่นอน
กงหยางที่ปกติใช้พู่กันก็ถกแขนเสื้อขึ้นช่วยงานอีกคน หลิวหย่งเห็นเขาทำงานอย่างตั้งใจ จึงบอกว่านอกจาก ‘ค่าออกแบบ’ แล้วจะจ่ายค่าแรงให้เขาด้วย
ในชนบท ค่าแรงของช่างก่อสร้างคืองานใหญ่ 5 หยวนต่อวัน งานย่อย 3 หยวน ในซางตูจะแพงกว่า งานใหญ่ 7 หยวนต่อวัน งานย่อย 5 หยวน คนงานทั้งสองที่หลิวหย่งพามายังปักกิ่งต่างคิดให้ 10 หยวนต่อวัน สองคนนี้พึงพอใจต่อค่าแรงมาก มีที่ไหนทำงานไม่เหมือนทำงาน ออกค่ากินอยู่จ้างพวกเขามาปักกิ่ง สองวันก่อนก็ไม่ต้องทำงาน เดินเที่ยวรอบปักกิ่งสบายใจ กลับไปคุยโวโอ้อวดได้ครึ่งปีทีเดียว
หลิวหย่งจึงยึดค่าแรงงานย่อยจ่ายให้กงหยาง งานย่อย 8 หยวนต่อวัน
กงหยางสุขจนลืมจ๊ก [1] ทำงานในปักกิ่งหนึ่งสัปดาห์ เทียบเท่าเงินอุดหนุนครองชีพสองเดือนของเขา เงินห้าหกสิบหยวนซื้อสีสำหรับวาดภาพได้ไม่น้อย เพียงแต่เงินค่าออกแบบนั่นเขารับไว้ด้วยความกระดาก บ้านจะตกแต่งอย่างไร เซี่ยเสี่ยวหลานเป็ผู้ออกแบบทั้งหมด เขาแค่อดนอนวาดแปลนสองชุด ภาพจำลองผลรวมเจ็ดแปดแผ่น
ตอนวาดโปสเตอร์เขาเคยออกแบบ โปสเตอร์หนึ่งแผ่นรวมต้นทุนคิดราคา 10 หยวน
ส่วนค่าออกแบบนี้ควรคิดเงินอย่างไร?
กงหยางคิดว่าให้ค่าสีและกระดาษที่ใช้ไปก็น่าจะพอแล้ว ความคิดในใจของเขาคล้ายกับคนงานทั้งสอง ได้มาปักกิ่ง มีคนจ่ายค่ากินอยู่ให้ ถือว่าสั่งสมประสบการณ์เพิ่มเติม อย่างน้อยเขาก็ได้เห็นเทียนอันเหมินแล้ว ก่อนกลับยังสามารถไปยังกำแพงเมืองจีนเพื่อร่างภาพได้ด้วย ถ้าจะให้นักศึกษายากจนอย่างเขามาปักกิ่งเอง เขาคงรู้สึกเสียดายค่าตั๋วรถไฟเที่ยวไปกลับ
นอกจากนั้นคังเหว่ยยังตกลงแล้ว หลังจากตกแต่งภายในเสร็จจะจ้างเขาวาดผลงานสักสองสามชิ้นแขวนในบ้านเป็ภาพประดับ
กงหยางนึกถึงสิ่งเหล่านี้ก็กระฉับกระเฉิงขึ้นเต็มที่
คังเหว่ยพาเส้ากวงหรงกลับบ้าน พบว่าทั้งสี่คนยังไม่เลิกงาน กำลังเก็บกวาดเศษสิ่งปลูกสร้าง ทั่วทั้งตัวมีแต่ฝุ่น หน้ากากปิดปากขนาดใหญ่คลุมหน้า เหลือเพียงดวงตาสองข้างที่กำลังกลอกไปมา
หน้ากากปิดปากคือสิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานร้องขออย่างหนักแน่น แค่มีฝุ่นผงก็ต้องใส่หน้ากาก
“ลุงหลิว ตรงนี้ลุงยังไม่เลิกงานหรือ? พอดีเลย ผมจะแนะนำงานใหม่ให้ลุง”
คังเหว่ยลากเส้ากวงหรงเข้ามา
เส้ากวงหรงมองบ้านคังเหว่ยที่ถูกทุบจนอีเหละเขละขละ ไม่เหลือเค้าสภาพเดิมแม้แต่น้อย
ตกแต่งภายในของคังเหว่ยต้องใหญ่โตขนาดไหนกันนะ?
หลิวหย่งดึงหน้ากากลง “เธอรั้นลากตัวเสี่ยวเส้ามาสินะ?”
หลิวหย่งและเส้ากวงหรงเคยติดต่อกัน ตอนแรกเขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะเรียกเส้ากวงหรงอย่างไร คุณลุงของเส้ากวหรงเป็ถึงข้าราชการใหญ่ของซางตู เลขาโหวเห็นอย่างนั้นก็เป็ถึงบุคคลสำคัญ สำหรับเ้าหน้าที่ชั้นสูงกว่า เกษตรกรเช่นหลิวหย่งยิ่งไม่มีโอกาสได้รู้จัก บุคคลอย่างเส้ากวงหรงผู้นี้ ตามหลักแล้วหลิวหย่งต้องเรียกว่า ‘คุณชาย’ แต่เส้ากวงหรงนึกได้ว่าคนคนนี้เทียบเท่าว่าที่พ่อตาของโจวเฉิง จะมีความกล้าแบบนั้นที่ไหน
ตอนอยู่ซางตูจึงคุยกันรู้เื่แล้ว เมื่อพบกันต้องเรียกเขาว่า ‘เสี่ยวเส้า’
สหายเสี่ยวเส้าแสดงความสัตย์ทันที “คุณลุง ผมอยากมาเองต่างหาก ผมมีบ้านหลังเล็กหลังหนึ่ง ตัวผมอยู่คนเดียวไม่มีปัญหา ทว่าอนาคตวางแผนจะแต่งงานที่นั่นเลยนี่นา จึงอยากตกแต่งบ้านเสียหน่อยครับ”
แต่งงาน?
นั่นคือเื่ใหญ่ที่จริงจังมาก
หลิวหย่งไม่รู้ว่าเส้ากวงหรงโกหกพกลม จึงแนะนำอย่างกระตือรือร้น
คังเหว่ยขอภาพจำลองผลตกแต่งภายในของบ้านตนเองจากกงหยางมาให้เส้ากวงหรงดู ภาพของกงหยางรูปทรงแม่นยำ ราวกับถ่ายภาพสีจริงๆ ห้องรกรุงรังนี่ ตกแต่งเสร็จแล้วจะเหมือนภาพจำลองผลหรือ?
คังเหว่ยเลือกไว้หนึ่งชุด เส้ากวงหรงจึงชี้ไปที่อีกชุด
“เช่นนั้นฉันก็แต่งเป็แบบนี้แล้วกัน จะได้ไม่รบกวนพี่สะใภ้จนต้องลำบากอีก”
คังเหว่ยอวดภูมิที่เพิ่งเรียนรู้มา “อย่างนั้นไม่ได้หรอก แบบนี่ออกแบบมาจากลักษณะและขนาดของบ้านฉัน แปลนตกแต่งยังต้องคำนึงว่าพี่มีงบเท่าไรด้วย”
เส้ากวงหรงไม่มีเงิน ความหมายของคังเหว่ยคือ เส้ากวงหรงเตรียมจะยืมเงินเท่าไรสำหรับการตกแต่งบ้าน เส้ากวงหรงดึงคังเหว่ยมาตรงหน้าและกระแอมในลำคอ
“ค่าตกแต่งบ้านนายจ่ายเงินไปเท่าไร?”
คังเหว่ยชี้แปลนที่ตนเลือก “ไม่รวมเครื่องใช้ไฟฟ้า ให้งบประมาณ 31500 หยวน”
เส้ากวงหรงกลืนน้ำลายหลายอึก สักพักใหญ่ถึงหาเส้นเสียงของเขาเจอ
“...พี่เฉิงพานายไปปล้นธนาคารมาสินะ?”
คังเหว่ยเป็คนออกปากจะแต่งบ้านเอง ย่อมไม่มีทางขอเงินจากทางครอบครัวอย่างแน่นอน เส้ากวงหรงพอเดาออกว่าคังเหว่ยทำงานได้เงินเท่าไรต่อเดือน นึกว่าอย่างมากคงใช้หลายพันหยวนมาตกแต่ง คาดไม่ถึงว่าคังเหว่ยจะตกแต่งภายในบ้านหนึ่งหลังใช้เงินสามหมื่นกว่า? นี่ยังไม่รวมเครื่องใช้ไฟฟ้า ถ้าซื้อพวกโทรทัศน์ เครื่องซักผ้า หรือตู้เย็น เมื่อทุกอย่างครบถ้วนแล้ว เกรงว่าต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นหยวน
เงิน 4 หมื่นหยวน ซื้อบ้านพร้อมสวนสักหลังในปักกิ่งยังเหลือเฟือ
เส้ากวงหรงรู้สึกวิงเวียน นี่คังเหว่ยกลัวเงินมันมากจนลวกมือหรือ ถึงใช้จ่ายเช่นนี้?
การมีน้ำใจเป็อีกเื่หนึ่ง แต่เป็ไปไม่ได้ที่จะนำเงินทั้งหมดมาอุดหนุนกิจการตกแต่งภายในของหลิวหย่ง อีกทั้งคังเหว่ยยังมีเงินเหลือให้เขายืมแต่งบ้าน เส้ากวงหรงไม่สามารถประเมินทรัพย์สินของคังเหว่ยได้เลย
ไปปล้นเงินมาแน่นอน!
คังเหว่ยเคืองจนอยากตีเขาอีกรอบ “พี่ยังอยากยืมเงินหรือไม่ จะยืมเท่าไร?”
เส้ากวงหรงคิดแล้วคิดอีก “ยืม 1 หมื่น?”
คังเหว่ยพยักหน้ารับโดยไม่ลังเลอะไร เส้ากวงหรงจึงรู้แล้ว ทรัพย์สินของคังเหว่ยนั้นมากมายตามคาดจริงๆ
ใครบ้างไม่้าต้าถวนเจี๋ยเล่า
เส้ากวงหรงทราบดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างคังเหว่ยและโจวเฉิงแน่นแฟ้นกว่าเขา คังเหว่ยได้รับความรักใครเอ็นดูในบ้านก็จริง แต่เพราะบิดาด่วนจากไป สถานะในครอบครัวจึงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก โจวเฉิงเห็นดังนั้นถึงได้ยื่นมือช่วยเขาเป็คนแรก เส้ากวงหรงไม่ได้ริษยา เขาแค่อิจฉาเล็กน้อย
แต่ครั้งนี้ช่วยมากไปแล้วหรือเปล่า?
เขาก็ขัดสนเงินทองเหมือนกันนะ ตกแต่งบ้านยังต้องยืมเงินคังเหว่ยเลย
“ธุรกิจของนายกับพี่เฉิงนั่นน่ะ ยัง้าคนอีกหรือไม่?”
เซี่ยเสี่ยวหลานนึกไม่ถึง คืนวันแรกที่บังเอิญพบเส้ากวงหรง เช้าวันที่สอง เส้ากวงหรงก็เดินทางมาหาเธอที่บ้านพักเอง
เส้ากวงหรงเชิญเธอไปดูบ้าน เนื่องจาก้าตกแต่งภายในบ้าง
“เธอไม่จำเป็ต้องทำแบบนี้เลย การตกแต่งบ้านต้องดูความ้าของแต่ละคน คังเหว่ยมีความ้านั่น นี่เธอตั้งใจอุดหนุนกิจการลุงฉันสินะ?”
เส้ากวงหรงส่ายหน้าสุดชีวิต “ฉันจะแต่งเรือนหอ ช้าเร็วก็ต้องตกแต่งอยู่ดี แต่งบ้านเรียบร้อยก่อนถึงจะแต่งงานได้ใช่ไหมเล่า”
เซี่ยเสี่ยวหลานตื่นเต้นยินดี “เธอจะแต่งงาน?”
“ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว!”
เส้ากวงหรงคุยโวยกใหญ่ อันที่จริงเขาคบหาคนไม่ใช่น้อย ทว่าล้วนไม่ยั่งยืนนัก แต่งงานอะไรกันเล่า เขายังไม่หยุดนิ่งด้วยซ้ำ คิดว่าตนเองเถลไถลไปได้อีกสิบปี สามสิบต้นๆ ค่อยพูดเื่แต่งงาน หาภรรยาสักคนก็ถือว่าทำภารกิจเพื่อตระกูลเส้าเสร็จสิ้นแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานและเส้ากวงหรงไม่มีมิตรภาพที่ลึกซึ้ง จึงไม่รู้ว่าเขาคือหนุ่มเ้าสำราญ
คังเหว่ยไม่สามารถแฉคำโกหกของเส้ากวงหรงได้ ทำได้เพียงฝืนยิ้มและไปดูบ้านพร้อมกัน
เชิงอรรถ
[1]乐不思蜀 สุขจนลืมจ๊ก มีที่มาจากยุคสามก๊ก หลังจากเล่าเสี้ยนผู้เป็บุตรชายของเล่าปี่ขึ้นปกครองจ๊กก๊ก (蜀国) ต่อจากบิดา แต่เพราะความอ่อนแอ จึงถูกวุ่ยก๊ก (魏国) เข้าโจมตี เล่าเสี้ยนยอมสวามิภักดิ์และถูกพาตัวไปอยู่ลั่วหยาง โดยได้ทั้งที่พักกับค่าใช้จ่าย วันต่อมา เล่าเสี้ยนไปยังจวนของสุมาเจียวแม่ทัพใหญ่วุ่ยก๊ก เพื่อขอบคุณที่ไว้ชีวิต สุมาเจียวจัดงานเลี้ยงต้อนรับ ในงานเลี้ยง เล่าเสี้ยนไม่ได้มีท่าทีเสียใจหรือแค้นเคืองที่จ๊กก๊กล่มสลาย สุมาเจียวเห็นก็ถามเล่าเสี้ยนว่ายังคิดถึงจ๊กก๊กหรือไม่ เล่าเสี้ยนกลับตอบว่า ‘ข้าอยู่ที่นี่เป็สุขมาก ข้าไม่คิดถึงจ๊กก๊ก’ ต่อมาสำนวนนี้ใช้เปรียบเทียบว่า ได้พบความสุขในสภาพแวดล้อมใหม่ ไม่อยากกลับไปยังที่ที่จากมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้