แม้จะ้ามาก แต่หยวนจุนก็ไม่อยากบุ่มบ่ามนำเพลิงอัคคีกลืน์มา อีกทั้งเขายังได้ยินบางอย่างที่เสี่ยวเมิ่งกล่าวไปก่อนหน้านี้ด้วย
แม้เขาจะเชื่อว่าเสี่ยวเมิ่งมิได้หลอกลวง แต่หยวนจุนก็อดที่จะถามไม่ได้ “ตามบันทึกในหินจารึกนั้น มีเพียงผู้ที่ฝึกอักษรลับเก้าตะวันจึงจะสามารถปราบเพลิงอัคนีเก้าโชติได้ใช่หรือไม่?”
เสี่ยวเมิ่งพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด “ถูกต้อง นี่เป็ทางเลือกเดียว”
“แม่นางเสี่ยวเมิ่งเคยฝึกอักษรลับเก้าตะวันหรือ?”
เมื่อกล่าวถึงเื่อักษรลับเก้าตะวัน นางส่ายหัวอย่างเศร้าสร้อยด้วยสีหน้าสิ้นหวัง “อักษรลับเก้าตะวันสูญหายไปนานแล้ว ข้าจะฝึกมันได้อย่างไร”
“เช่นนั้นเ้าอธิบายเื่ต้นเพลิงอัคคีกลืน์ได้อย่างไร? อีกทั้งเ้าบอกว่าััได้ถึงอักษรลับเก้าตะวันในตัวข้าใช่หรือไม่? แต่เ้าไม่เคยฝึกฝนอักษรลับเก้าตะวัน แล้วเ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเคยฝึก?”
เมื่อถูกตั้งคำถามมากมาย นางจึงหันหนีจากหยวนจุน แล้วกล่าวด้วยแววตาที่กำลังครุ่นคิดว่า “เ้ากำลังสงสัยข้าหรือ?”
หยวนจุนปฏิเสธเสี่ยวเมิ่งอย่างหนักแน่น เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เข้าใจจริงๆ
“ในฐานะที่ข้าเป็ผู้เฝ้าสุสาน ข้าย่อมมีวิธีที่ทำให้ตนเองรู้ หยวนจุน หากเ้าเชื่อข้า เช่นนั้นอย่าถามข้าอีก ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ทำร้ายเ้าแน่นอน”
เขาพยักหน้าเบาๆ และไม่ถามเสี่ยวเมิ่งอีก ก่อนจะเบนสายตาไปที่เพลิงอัคคีกลืน์กลุ่มนั้น
“อีกครู่หนึ่งข้าจะสอนวิธีปราบเพลิงอัคคีกลืน์ให้เ้า ที่เห็นอยู่นี้มิได้เป็เพลิงที่แท้จริง แต่เป็ต้นเพลิงคู่ขนานที่ใหญ่ที่สุด”
“ความแตกต่างระหว่างต้นเพลิงคู่ขนานกับเพลิงจริง คือไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ เมื่อดับมอดลง ต้นเพลิงคู่ขนานจะหายไปตลอดกาล”
เมื่อได้ยินว่าเป็ต้นเพลิงไม่ใช่เพลิงจริง สีหน้าหยวนจุนแสดงความผิดหวังเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็ต้นเพลิงคู่ขนาน แต่ก็มีพลังเทียบเท่ากับเปลวไฟของดาวจูเชวี่ย ซึ่งมีประโยชน์กับเขามากเช่นกัน
“แล้วข้าต้องทำอย่างไร?”
“เพลิงอัคคีกลืน์เป็การดำรงอยู่ของพลังหยาง แม้เ้าจะฝึกอักษรลับเก้าตะวัน แต่ถ้าภายในของเ้ายังไม่รวมกับพลังหยิน ก็มิอาจฝืนบังคับได้”
เสี่ยวเมิ่งถอนหายใจ สีหน้าเคร่งเครียดราวกับกำลังตัดสินใจครั้งใหญ่ นางหันไปพูดว่า “ถ้าเ้ามีคุณสมบัติพอที่จะปราบต้นเพลิงอัคคีกลืน์ ข้าสามารถช่วยเ้าได้”
“ช่วยอย่างไร?” หยวนจุนพอจะคาดเดาบางอย่างจากคำพูดและการแสดงออกของเสี่ยวเมิ่งได้ เขาใจสั่นเล็กน้อย มีความตื่นเต้นแฝงอยู่ในน้ำเสียง
“เ้าไม่จำเป็ต้องรู้ เ้าแค่พิสูจน์ว่าสามารถนำเพลิงอัคคีกลืน์นี้มาได้ก็พอ” เสี่ยวเมิ่งหันหน้าหนี แล้วกล่าวด้วยเสียงนิ่ง
หยวนจุนพยักหน้าแล้วมองไปยังต้นเพลิงอัคคีกลืน์ ที่ไม่เพียงมีความร้อนสูงในการหลอมละลาย แต่ยังเต็มไปด้วยพลังมหาศาล
เขาทำตามที่เสี่ยวเมิ่งกล่าว คือใช้สองมือบีบพลังปราณออกมา และกลั่นตะวันทรงกลดวงที่หนึ่งตามบันทึกในอักษรลับเก้าตะวัน ซึ่งส่งผลต่อจุดลมปราณภายในอย่างต่อเนื่อง
ในสถานที่ประหลาดที่มีความร้อนราวกับเตาหลอมละลายทุกสรรพสิ่ง ทำให้เหงื่อบนกายของหยวนจุนไหลซึมผ่านเสื้อคลุมสีดำ ราวกับฝนที่โปรยปรายลงมาแล้วตกลงบนเสาหินเสาเดียวที่พวกเขาอยู่
“ซ่า ซ่า”
หยาดเหงื่อทุกหยดที่ััเสาหิน ทำให้เกิดเสียงดังที่รู้สึกขนลุก จากนั้นไม่นานก็เกิดควันสีขาวลอยขึ้นไปในอากาศ
ร่างกายของหยวนจุนถูกปกคลุมด้วยเปลวไฟอี้เสอที่ลุกโชนออกมา แต่เพลิงอัคคีกลืน์เป็เปลวไฟที่กำเนิดมาแต่โบราณ แม้จะเป็เพียงต้นเพลิงอัคคีกลืน์ แต่ก็ทำให้พลังของเปลวไฟอี้เสอเปลี่ยนสีได้
พลังปราณความร้อนสูงมาพร้อมกับแรงดันที่ปะทะเข้ามารอบตัว ทำให้เปลวไฟของหยวนจุนรู้สึกเหมือนกำลังถูกตัดพลังจนใกล้จะดับสูญ
เวลาผ่านไป หยวนจุนยังคงพยายามกลั่นตะวันทรงกลดวงที่หนึ่ง เสี่ยวเมิ่งยืนเงียบๆ อยู่ข้างเขา ขณะเดียวกันก็คอยปกป้องเขา สายตายังคงมองต้นเพลิงอัคคีกลืน์ที่ลอยอยู่เหนือทะเลหินหนืด
“หยวนจุน แม้เ้าจะฝึกอักษรลับเก้าตะวันที่นักยุทธ์ทั่วไปมิได้ฝึก ก็ใช่ว่าเ้าจะสามารถนำต้นเพลิงอัคคีกลืน์มาได้ ข้าต้องเห็นมันด้วยตาตนเองก่อน”
“หากทำสำเร็จ เช่นนั้นย่อมเป็เื่ดี ต่อให้เสียสละตนเองก็ไม่เป็ไร แต่ถ้าไม่สำเร็จ อย่าว่าแต่เพลิงจริงของเพลิงอัคคีกลืน์เลย แค่ต้นเพลิงนี้ก็สามารถเผาเ้าให้กลายเป็ผุยผงได้”
เสี่ยวเมิ่งบีบมือขาวของตนเองโดยไม่รู้ตัว ภายใต้คิ้วที่ขมวด ดวงตาสดใสราวกับแสงดาวแฝงไปด้วยความกังวล
“แต่ว่า ข้าเลือกที่จะเชื่อเ้า”
หลังจากหลบสายตาไปครู่หนึ่ง เสี่ยวเมิ่งก็หันกลับไปมองหยวนจุนอีกครั้ง ตอนนี้ด้านหลังของเขามีวงแสงตะวันที่เลือนรางปรากฏขึ้นมา บางครั้งก็เห็นชัด บางครั้งก็เห็นรางๆ ราวกับเงาสะท้อนน้ำที่ไม่รู้สึกถึงการมีอยู่
ขาดเพียงพลังที่แผ่ออกมาจาก้าเท่านั้น จึงจะทำให้เสี่ยวเมิ่งมั่นใจว่าหยวนจุนกลั่นตะวันทรงกลดวงที่หนึ่งของอักษรลับเก้าตะวันได้สำเร็จ
ท่าทีของหยวนจุนมิได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เขามองไปที่กระแสปราณภายในที่อยู่ในอากาศ แผ่นกระดาษปริศนากำลังส่งเสียงแผ่พลัง ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเป็อย่างมาก
และใต้กระดาษแผ่นนั้นมีเค้าโครงรูปทรงดวงตะวันที่กำลังแผดเผา ซึ่งเหตุผลที่เป็เค้าโครง เพราะศูนย์กลางตะวันเป็สุญญากาศ ทำให้สิ่งสำคัญที่สุดขาดหายไป
“ฮู้”
หยวนจุนลืมตาขึ้น แสงแห่งความมุ่งมั่นสะท้อนออกมาจากดวงตาของเขา
“วิ้ว วิ้ว”
เมื่ออักษรลับเก้าตะวันหมุนวนอีกครั้ง ความร้อนแผ่กระจายทั่วทุกพื้นที่เหมือนดั่งมีบางอย่างที่น่ากลัวกำลังแทรก กระแสทั้งหมดเคลื่อนไหวตามสองมือของหยวนจุน ก่อนจะถูกเขาดูดซับเข้าไปในร่างกายด้วยความรวดเร็วราวกับวาฬฮุบอาหาร
ด้วยพลังดึงดูดที่รุนแรงนี้ แม้แต่เสี่ยวเมิ่งยังต้องสร้างกำบังพลังจิต เพื่อป้องกันตนเองจากพลังดึงดูดที่รุนแรง
หินหนืดที่รวมกันกลายเป็ทะเลถูกลมพายุที่เกิดจากพลังดึงดูดพัดแรง ทำให้ต้นเพลิงอัคคีกลืน์ที่อยู่บนนั้นคล้ายเรือที่ถูกคลื่นซัด แกว่งไปแกว่งมา เดี๋ยวลอยเดี๋ยวจม
“ตอนนี้แหละ!”
ต้นเพลิงอัคคีกลืน์ถูกคลื่นหินหนืดซัดลอยขึ้นไปในอากาศ หยวนจุนคว้าโอกาสนี้ไว้ และส่งพลังดึงดูดที่รุนแรงพุ่งไปยังเปลวไฟสีดำทันที
“ฮู้”
เพลิงอัคคีกลืน์หมุนออกจากหินหนืด เคลื่อนไปข้างหน้าด้วยแรงดึงดูด จากนั้นก็พุ่งตรงมาหาพวกเขาทั้งสอง
“แคว่ก”
แขนทั้งสองข้างของหยวนจุนถูกความร้อนสูงเผาไหม้อย่างไร้ความปรานี ทันทีที่เืไหลออกมา เืนั้นระเหยกลายเป็ชั้นบนผิวกายของเขา
“ฟู่”
ภายใต้การดูดกลืนจากอักษรลับเก้าตะวัน ทำให้เพลิงอัคคีกลืน์ตกอยู่ในมือของหยวนจุน จากนั้นก็แพร่เข้าไปในร่างกายของเขา
เพลิงนั้นพุ่งผ่านแผ่นกระดาษปริศนา และปรากฏในกระแสปราณของเขาทันที
ทันใดนั้นกระแสปราณก็แผ่ออกมาจากภายใน เขารู้สึกเหมือนกำลังจะะเิ ปราณดาราที่อยู่ในร่างกายก็สลายหายไปโดยปริยาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้