คิดไม่ถึงว่าซิ่วไฉคนนั้นเมื่อเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ผลิก็ไปชมดอกไม้ ไม่ระวังตกน้ำตาย มารดาของซิ่วไฉคนนั้นไม่รู้ว่าสงสารบุตรชายมากเกินไปหรือว่าไปฟังใครว่าร้ายมา จึงเชื่อสนิทใจว่าเป็เพราะดวงอัปมงคลของเยว่เซียน ถึงได้ทำให้ลูกชายนางรับเคราะห์ไปด้วย
ดังคำโบราณที่ว่าเื่ดีๆ ไม่มีใครรู้ เื่ไม่ดีลือกันพันลี้ สุดท้ายชื่อเสียงของเยว่เซียนจึงไม่เหลือชิ้นดี อย่าว่าแต่ไม่มีใครมาขอหมั้นหมายอีกเลย แม้แต่ตอนที่สกุลเฉินเห็นชายหนุ่มคนไหนเข้าที คิดจะส่งคนไปลองหยั่งเชิงก็ถูกปฏิเสธกลับมาเสียทุกครั้ง
สองสามีภรรยาไม่เคยต้องเหนื่อยใจเื่บุตรชาย แต่กลับต้องมากินไม่ได้นอนไม่กลับเพราะเื่ของบุตรสาว
ยามนี้ จู่ๆ เถ้าแก่เฉินก็พูดว่าเขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเข้าท่า คิดจะยกบุตรสาวให้แต่งกับเขา เจิ้งซื่อก็ทั้งตื่นเต้นดีใจและหวาดหวั่น ดีใจที่บุตรสาวมีความหวังแล้ว แต่ก็กลัวว่าคนบ้านนั้นจะได้ยินข่าวลือแล้วปฏิบัติกับบุตรสาวไม่ดี
เถ้าแก่เฉินเห็นภรรยาเป็เช่นนี้ก็ทั้งสงสารและรู้สึกผิด คู่หมั้นของบุตรสาวในตอนนั้นก็เป็เขาเองที่เห็นชอบและตกลงหมั้นหมาย คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะเกิดเื่เช่นนั้นขึ้นมา ทำเอาภรรยาและบุตรสาวต้องซึมเศร้าอยู่นานหลายปี ครั้งนี้จะอย่างไรก็ให้เกิดเื่ไม่ได้อีก
แต่ครั้นนึกถึงคนสกุลลู่ นึกถึงตัวพี่ใหญ่ลู่ เขาก็ค่อนข้างมีความมั่นใจ
“ชายหนุ่มที่ข้าถูกใจคนนี้ ไม่ใช่คนในเมือง เขาคือบุตรชายคนโตของสกุลลู่”
“บุตรชายคนโตสกุลลู่?” เจิ้งซื่อพยายามขบคิด จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนทันที
“ไม่ได้ ข้าไม่เห็นด้วย สกุลลู่ไม่ได้อยู่บนหมู่บ้านเขาหมีหรือ สถานที่แห่งนั้นยากจนมากไม่ใช่หรือ เยว่เซียนแต่งไปที่นั่น ไม่ใช่ว่าจะต้องคอยรับใช้นายพรานทั้งครอบครัวหรอกหรือ?”
เจิ้งซื่อขอบตาแดงก่ำ น้ำตาร่วงหล่นลงมา “บุตรสาวที่น่าสงสารของข้า เหตุใดถึงมีชีวิตน่าสงสารเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ก็ถูกเ้าผีอายุสั้นนั่นทำให้ต้องลำบากมาหลายปี วันนี้กลับต้องไปเป็สะใภ้ตระกูลนายพราน”
“เอาละๆ เ้าฟังข้าพูดให้จบก่อน” เถ้าแก่เฉินไม่กล้าดื่มชา รีบปลอบโยนภรรยา
“ปกติเ้าไม่ได้ออกไปไหน คงไม่ทราบว่ายามนี้หมู่บ้านเขาหมีไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว กิจการขายผักสดของเรา เ้าคงรู้กระมัง? ผู้ที่ปลูกมันก็คือสกุลลู่นั่นเอง”
“ผัดสดพวกนั้นสกุลลู่เป็คนปลูก?”
ก่อนหน้านี้เพื่อเก็บเป็ความลับ เถ้าแก่เฉินไม่เคยแพร่งพรายเื่ผักสดออกไปแม้แต่กับครอบครัวของตัวเอง ตอนหลังทุกคนทราบเื่กันหมด ถึงได้พอจะเล่าให้ภรรยาฟังบ้าง เมื่อเจิ้งซื่อได้ยินก็อึ้งไป
เถ้าแก่เฉินจึงต้องเล่าเื่ทั้งหมดั้แ่ต้นให้นางฟัง เมื่อเล่าจบแล้วก็โน้มน้าวว่า “ยามนี้ไม่ว่าใครก็รู้ว่าบุตรสาวคนเล็กของสกุลลู่เป็เทพธิดาแห่งโชคลาภ ต่างหาวิธีเข้าหากันแทบตาย ข้าบอกเ้าไว้เลยนะว่าหากเราไม่รีบพูดเื่นี้ขึ้นมาก่อน รอจนคนอื่นคิดขึ้นมาได้ ไม่แน่เยว่เซียนของเราอาจจะไม่มีโอกาสแล้วก็ได้”
“หึ ข้าไม่เชื่อหรอก” เจิ้งซื่อเบะปากน้อยๆ ทำสีหน้าดูแคลนอย่างที่น้อยครั้งจะทำ ซักไซ้ว่า “หากเป็ดังที่ท่านว่า เช่นนั้นสกุลลู่ก็นับว่าเป็ตระกูลบัณฑิตเช่นกัน แต่แม่นางสกุลลู่มีความสามารถขนาดนั้น วันหน้าเยว่เซียนแต่งเข้าไปจะถูกน้องสามีรังแกหรือไม่? อีกอย่าง คนที่จะแต่งด้วยเป็บุตรชายคนโตของตระกูล วันหน้าจะต้องเป็หัวหน้าครอบครัวดูแลผู้ใหญ่ในบ้านและน้องชายหญิงอีกหลายคน เกรงว่าความรับผิดชอบจะหนักหนาเกินไป”
เถ้าแก่เฉินรู้สึกขบขัน เขาจับมือภรรยาเอาไว้พลางกล่าวหยอกล้อว่า “เมื่อครู่ยังบอกว่าไม่เห็นด้วยอยู่เลย ตอนนี้กลับเริ่มกังวลแล้วว่าลูกสาวแต่งไปแล้วจะใช้ชีวิตอย่างไร”
“เ้าคนแก่ไร้อย่างอายนี่” เจิ้งซื่อหน้าแดง กลัวว่าพวกสาวใช้จะเข้ามาเห็น จึงรีบดึงมือออก จากนั้นก็รีบเร่งรัด “ท่านก็รีบอธิบายมาสิ”
“ได้ๆ” เถ้าแก่เฉินกระแอมเบาๆ ดื่มน้ำชาไปสองอึก เมื่อปล่อยให้ภรรยาอยากรู้จนพอใจแล้วจึงเอ่ยว่า “เื่ที่เ้าพูดมานั้น ข้าย่อมต้องคิดมาก่อนแล้ว แม่นางลู่คนนี้ข้าจับตามองมาก่อนบุตรชายคนโตสกุลลู่ตั้งนานแล้ว แม่นางลู่เป็คนมีความสามารถ ไม่แน่ว่าความเจริญรุ่งเรืองในอนาคตของสกุลลู่ก็คงจะต้องพึ่งพาแม่นางลู่คนนี้นี่แหละ
กล่าวกันว่าคนเก่งมักหัวดื้อไม่ยอมคน แต่แม่นางลู่คนนี้กลับต่างออกไป นางจิตใจดีมีเมตตาอย่างยิ่ง ทำอะไรรอบคอบ ตัดสินใจอะไรเด็ดขาดไม่โลเล ที่สำคัญที่สุดคือนางดีกับคนที่บ้านมาก ถั่วฝักยาวหนึ่งจินราคาสองตำลึง นางก็ยังเด็ดมาทำไส้ซาลาเปาให้คนในบ้านกิน ชอบเงินทองแต่ไม่ละโมบ เป็คนฉลาดอย่างแท้จริง
ข้าว่าเมื่อบุตรสาวของเราแต่งเข้าไปอยู่ที่นั่นแล้ว ควรจะต้องเรียนรู้จากน้องสามีให้มากๆ บุตรชายคนโตสกุลลู่แม้ไม่ใช่คนฉลาดแต่ก็ซื่อสัตย์ จิตใจดีงาม ที่สำคัญที่สุดก็คือ ร่างกายแข็งแรงกำยำ ไม่ต้องกลัวว่าจะเหมือนกับคนก่อนหน้านี้...”
เจิ้งซื่อนั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ในที่สุดก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาแล้ว
“เช่นนั้นสกุลลู่สุขสบายดีใช่หรือไม่”
“แน่นอน ก่อนหน้านี้แม่นางลู่ให้คนเย็บตุ๊กตาหนังกระต่าย ซิ่นเกอร์ของเราเป็คนเอาไปขายถึงที่เมืองหลวง ต้นทุนไม่เกินยี่สิบตำลึง กลับขายได้ราคาถึงหนึ่งพันห้าร้อยตำลึงกลับมา”
“อะไรนะ?” เจิ้งซื่อใจนอ้าปากค้าง “นี่...นี่อย่างกับเื่ราวในนิทานก็ไม่ปาน เป็เทพธิดาแห่งโชคลาภของจริงเลย”
“ก็นั่นน่ะสิ วันพรุ่งนี้ข้าให้บุตรชายคนโตสกุลลู่มาส่งผักที่ร้าน ถึงตอนนั้นเ้าก็ลองไปดูเสียหน่อย หากไม่ผิดพลาดอะไร พวกเราก็ลองหยั่งเชิงสกุลลู่ดู ดูว่าเยว่เซียนของเราพอจะมีวาสนาได้แต่งเข้าสกุลลู่หรือไม่”
“ได้”
สองสามีภรรยาตกลงกันเป็อย่างดี กลับไม่รู้ว่าบุตรสาวยืนถือกาน้ำชาเตรียมจะยกเข้ามาให้อยู่นอกห้อง...
แต่ละอาชีพในใต้หล้านี้ ล้วนมีคนที่โดดเด่นในแต่ละแขนงอยู่มาก และแต่ละอาชีพต่างก็มีความยากลำบากในตัวมันเอง
คนนอกเห็นแค่ว่าสกุลลู่หาเงินได้เยอะ กลับไม่รู้ว่าพวกเขาก็ต้องเสียสละและเหนื่อยยากมากมาย
ฟ้าเพิ่งจะสาง พี่ใหญ่ลู่ก็นำพี่รองลู่และซูอีลงไปเก็บผักสด มะเขือม่วงและแตงกวานั้นดีหน่อย ผลใหญ่เด็ดสะดวก
แต่ถั่วฝักยาวค่อนข้างจะลำบาก เพราะต้องแหวกใบออกก่อนแล้วถึงค่อยค้นหาลำต้นถั่วที่อยู่ลึกลงไป
ยามนี้พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น น้ำค้างกำลังลงหนัก เพียงไม่นานเสื้อของคนทั้งสามก็เปียกชุ่ม
เสี่ยวหมี่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก ทุกครั้งที่คิดจะเข้าไปช่วยก็จะถูกคนทั้งสามไล่ออกมา
แรกเริ่มพี่น้องสกุลลู่ยังไม่รู้ว่าน้องสาวของตนป่วยเป็อะไร แต่ตอนหลังเมื่อท่านป้าหลิวพูดอ้อมค้อมหลายครั้งเข้า จึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่นางสกุลลู่ หากสองสามวันนี้ไม่พักรักษาตัวให้ดี อาจจะทิ้งต้นตอของโรคไว้ในร่างกายไปตลอดชีวิตก็เป็ได้ พวกเขาจึงแทบจะเทิดทูนน้องสาวเอาไว้เหนือหัว งานทำกับข้าวก็ขอร้องให้ท่านป้าเจียงช่วย งานเก็บผักยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ดีที่ไม่นานคนในหมู่บ้านที่ต้องลงไปทำงานที่ปากทางเข้าหมู่บ้านก็ทยอยกันตื่นขึ้นมาแล้ว เมื่อเห็นว่าคนสกุลลู่ออกมาเก็บผัก จึงแบ่งมาช่วยด้วยส่วนหนึ่ง
ตอนที่พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ในที่สุดพี่ใหญ่ลู่ก็ขับรถม้าออกมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านได้สำเร็จ แล้วจึงมุ่งหน้าเข้าเมือง
ร้านผ้าสกุลเฉินเพิ่งจะเปิดประตู เด็กรับใช้ในร้านทางหนึ่งปิดปากหาวทางหนึ่งจัดเรียงอาภรณ์ในร้าน แล้วจึงหันไปเห็นพี่ใหญ่ลู่เดินเข้ามา ก็รีบเข้าไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ลู่ เถ้าแก่ของเราสั่งเอาไว้แล้วว่าผักพวกนี้สำคัญมาก จะเอาไปทำการใหญ่อะไรสักอย่าง ให้ท่านนำไปส่งที่เรือนสกุลเฉินขอรับ”
ถึงแม้ว่าพี่ใหญ่ลู่จะไม่เคยไปเรือนสกุลเฉินมาก่อน แต่เขาก็รู้ว่ามันตั้งอยู่ตรงไหน จึงกล่าวขอบคุณเด็กรับใช้คนนั้นแล้วอ้อมไปทางตรอกด้านหลัง
น่าเสียดายที่บ่าวรับใช้ชราที่มาเปิดประตูกลับบอกว่าเถ้าแก่เฉินไม่อยู่บ้าน ตอนที่พี่ใหญ่ลู่ไม่รู้จะทำเช่นไรอยู่นั้น เจิ้งซื่อก็เดินนำสาวใช้มาถึงหน้าประตู
นางสวมเสื้อตัวยาวสีดอกสนติดกระดุมจากคอไล่มาถึงอกเสื้อ กระโปรงจับจีบสีน้ำตาล ผมบนศีรษะที่เริ่มแซมสีขาวมีปิ่นปักไว้อย่างเรียบร้อย
นางเอ่ยทักทายว่า “ท่านนี้คือคุณชายใหญ่สกุลลู่กระมัง? บังเอิญยิ่งนัก เถ้าแก่บ้านข้ามีธุระด่วนต้องออกไปข้างนอก เกรงว่าคงต้องรออีกกว่าครึ่งชั่วยามถึงจะกลับมา หากว่าท่านไม่รีบร้อน ไม่สู้เข้าไปนั่งรอที่ห้องรับรองก่อนเถิด”
พี่ใหญ่ลู่รีบประสานมือคารวะ เขาอยากจะกลับบ้านแต่ก็กลัวว่าหากแดดร้อนแล้วผักพวกนี้จะเหี่ยวเฉา จึงลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นต้องรบกวนแล้วขอรับ รบกวนฮูหยินเฉินเรียกคนมาช่วยยกตะกร้าผักเข้าไปหลบในเรือนก่อนเถิดขอรับ”
เจิ้งซื่อพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม กลับให้สาวใช้งดงามข้างกายก้าวออกมา
พี่ใหญ่ลู่ใเล็กน้อย เห็นสาวใช้พวกนั้นค้อมเอวย้ายตะกร้าผัก เขาก็รีบห้าม “แม่นางวางลงเถอะ ข้าย้ายเองก็แล้วกัน”
“ขอบคุณคุณชายใหญ่ ให้บ่าวทำเถิดเ้าค่ะ”
สาวใช้คนนั้นยังคงยืนกราน ทำท่าทางคล้ายจะไม่พอใจคำสั่งของนายหญิงอยู่บ้าง สีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ คิ้วตกตาตก น่าสงสารยิ่งนัก
พี่ใหญ่ลู่กลับเหมือนมองไม่เห็นก็ไม่ปาน เขาเอ่ยปากว่า “ไม่ใช่นะ ข้ากลัวว่าเ้าจะทำตะกร้าผักพวกนี้ร่วง เ้าเป็แม่นางน้อยคนหนึ่งเรี่ยวแรงไม่มากพอ อย่าทำเลยจะดีกว่า”
สาวใช้คนนั้นอึ้งไปเล็กน้อยเกือบจะสะดุดล้ม แต่เจิ้งซื่อที่ยืนอยู่ห่างไปสองสามก้าวกลับพอใจเป็อย่างยิ่ง
ไม่หวั่นไหวเพราะความงาม ทั้งยังไม่หยาบกระด้างไร้มารยาท ทำอะไรตรงไปตรงมาแต่ก็ไม่แล้งน้ำใจ เป็เด็กหนุ่มที่ดี
พี่ใหญ่ลู่ไม่รู้ว่าเจิ้งซื่อกำลังมองเขาราวกับเนื้อหมูชิ้นหนึ่ง กำลังพิจารณาความอวบอ้วนและความเหมาะสมของเนื้อแดงกับมันของเนื้อหมูชิ้นนี้ เขาขนผักอยู่สามสี่รอบในที่สุดก็ขนเสร็จ ทำให้เจิ้งซื่อพยักหน้าพออกพอใจยิ่งกว่าเดิม แรงดีเช่นนี้ ดีกว่าพวกบัณฑิตอ่อนแอยิ่งนัก
พี่ใหญ่ลู่เสร็จงานแล้วก็ยืดตัวขึ้น สายตาเขาหันไปเห็นแม่นางคนหนึ่งสวมชุดสีฟ้า รูปร่างสูงโปร่ง มีผ้าบางๆ ปิดหน้าอยู่ จึงมองเห็นไม่ชัด ลมร้อนพัดมาเบาๆ เลิกชายกระโปรงของนางขึ้นทำให้เห็นไข่มุกเม็ดงามบนหัวรองเท้าของนางกำลังสั่นไหวน้อยๆ จู่ๆ มันก็สั่นไหวไปถึงจุดหนึ่งในตัวเขา...
เขารีบก้มหน้าลง และจุดสีฟ้าที่หางตาของเขาก็หายวับไป
“แหม ฝูเซิง เ้ามาแต่เช้าเลยนะ”
ยามนี้เองเถ้าแก่เฉินก็ก้าวเท้าเข้ามาจากนอกเรือน มาถึงก็เอ่ยเรียกชื่ออักษร [1] ของพี่ใหญ่ลู่ออกมา คนทั้งสองยามปกติสนิทสนมกันเป็อย่างดี จึงคล้ายกับเป็สหายต่างวัยก็ไม่ปาน ในเมื่อเถ้าแก่เฉินอายุมากกว่า การจะเรียกเขาเช่นนี้ก็ไม่ผิดอะไร
พี่ใหญ่ลู่รีบประสานมือคารวะ เขายิ้มอย่างซื่อๆ “ท่านลุงเฉิน ข้าเองก็เพิ่งมาถึงขอรับ”
“ดีๆ วันนี้มีเื่ด่วนพอดี ข้ารู้อยู่แล้วว่าสามารถพึ่งพาเ้าได้” เถ้าแก่เฉินเชิญพี่ใหญ่ลู่เข้าไปยังห้องโถงหลัก หันกลับไปสั่งภรรยา “ให้ห้องครัวเตรียมกับข้าวไว้หน่อย ฝูเซิงออกมาแต่เช้า เกรงว่าคงยังไม่ได้กินอะไร”
“น้องหญิงข้าเตรียมของว่างมาให้แล้วขอรับ...”
พี่ใหญ่ลู่ยังคิดจะปฏิเสธ แต่เถ้าแก่เฉินกลับไม่สนใจ คนทั้งสองนั่งลงสนทนาสัพเพเหระกันอยู่ครู่หนึ่ง อาหารก็ถูกยกเข้ามา
ยามนี้ยังเช้าอยู่มาก แต่พ่อครัวสกุลเฉินก็อุตส่าห์ทำกับข้าวออกมาถึงสี่อย่าง และข้าวสวยอีกโถใหญ่
พี่ใหญ่ลู่เห็นอาหารก็ไม่เกรงใจอีก เมื่อเช้ากินซาลาเปารองท้องมาสองลูก ยามนี้เขากำลังหิวพอดี
เขากินอย่างเอร็ดอร่อย แน่นอนว่าย่อมไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มในดวงตาของสองสามีภรรยาสกุลเฉิน
เมื่อกินจนอิ่มแล้ว พี่ใหญ่ลู่ก็เอ่ยลา เถ้าแก่เฉินไม่รั้งคนไว้อีก เดินยิ้มมาส่งเขาถึงหน้าประตู รอจนเขาเลี้ยวรถม้าออกไปจากตรอกแล้วถึงได้หันกลับไปถามภรรยา “เป็อย่างไร เด็กหนุ่มคนนี้ไม่เลวเลยล่ะสิ”
เจิ้งซื่อหันไปกวาดสายตามองสาวใช้และเด็กรับใช้เต็มลาน ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่สามีตนเองทีหนึ่ง ส่งสายตาให้เขาเข้าไปพูดคุยกันในห้อง
รอจนเหลือกันแค่สองคนแล้ว เจิ้งซื่อถึงได้พูดขึ้นว่า “เมื่อครู่ข้าให้ชุนสี่เข้าไปทดสอบดู เด็กหนุ่มคนนี้ไม่เลว ร่างกายกำยำ ยามรับประทานอาหารถึงแม้จะหิวมาก แต่ก็ไม่เสียมารยาท ดูออกว่าได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีั้แ่เด็ก”
เชิงอรรถ
[1] ชื่ออักษร(字)ชื่อของคนในสมัยก่อนจะแบ่งเป็ นาม(名)หมายถึงชื่อที่ใช้เรียกแทนตัวเอง อักษร(字)เป็ชื่อที่เมื่อโตขึ้นมีไว้สำหรับให้ผู้อื่นเรียก ฉายา(号)เป็เหมือนชื่อเล่นที่ใช้เรียกนอกเหนือไปจากนามและอักษร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้