“โอหัง! หลู่หยวน เ้าบังอาจเกินไปแล้ว ตอนนี้หลินเฟิงเป็ศิษย์สายใน เ้าจะต้องมอบป้ายประจำตัวศิษย์สายในให้กับเขา นี่เป็กฎของนิกาย เ้ากล้าฝ่าฝืนกฎหรือ” เซวียเยว่กล่าวด้วยสีหน้าเ็า
“ผู้าุโเซวีย”
หลินเฟิงะโอย่างฉับพลัน ทำให้เซวียเยว่หันไปมองหลินเฟิง
“วันนี้ข้ามารับป้ายประจำตัวศิษย์สายใน แต่ผู้าุโหลู่ไม่อนุญาตและขับไล่ข้า ผู้าุโเซวียเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใช่หรือไม่?” หลินเฟิงกล่าวถาม
“ใช่” เซวียเยว่พยักหน้า เขาไม่เข้าใจเจตนาของหลินเฟิง
“แค่นั้นก็พอได้แล้ว” หลินเฟิงหัวเราะอย่างเ็า “ไม่ใช่ข้า หลินเฟิง ที่ไม่ยอมเป็ศิษย์สายใน แต่เป็นิกายที่ทอดทิ้งข้า”
เมื่อพูดจบ หลินเฟิงจึงหันหลังเดินจากไปพร้อมกับหานหมาน ทำให้ทุกคนต่างมึนงง เพราะไม่เข้าใจความหมายที่หลินเฟิงกล่าว
“เหอะ ครั้งนี้เพราะเซวียเยว่ออกโรงปกป้องเ้า ทำให้รอดตายไปได้ แต่ครั้งหน้า ถ้าข้าเห็นเ้าอีก ข้าจะฆ่าเ้าซะ” เหวินเริ่นเหยียนรู้ดีว่าหากมีเซวียเยว่อยู่ เขาคงไม่มีโอกาสที่จะฆ่าหลินเฟิง แต่ตราบใดที่หลินเฟิงยังอยู่ในนิกายหยุนไห่ เขาก็สามารถไล่ล่ามันได้
“แล้วข้าจะรอ”
เสียงของหลินเฟิงดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เงาร่างของเขาจะค่อยๆ จางหายไป
เซวียเยว่ขมวดคิ้ว เขามองหลู่หยวนด้วยสายตาเย็นะเืและกล่าวว่า “หลู่หยวน แล้วเ้าจะต้องเสียในภายหลังแน่!!!”
เมื่อพูดจบเซวียเยว่ก็สะบัดชายแขนเสื้อเดินจากไป น่าขัน!!! หลู่หยวน เ้าคิดว่าการที่เ้าเข้าหาเหวินเริ่นเหยียน แล้วจะได้รับผลประโยชน์อย่างนั้นหรือ?! เขาไม่รู้หรือไงว่าหลินเฟิงมีค่าต่อผู้าุโเป่ยขนาดไหน!!! เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะต้องรู้ถึงหูของผู้าุโเป่ยอย่างแน่นอน
“ข้าหลู่หยวนแค่ปฏิบัติไปตามหน้าที่ ทำไมข้าจะต้องเสียใจในภายหลังด้วย” หลู่หยวนกล่าวอย่างไม่แยแส และหันไปพูดกับเหวินเริ่นเหยียนว่า “น่าเสียดายที่ต้องปล่อยมันไป”
“ไม่เป็ไรหรอก ไม่ช้าก็เร็วมันจะต้องตาย” ั์ตาของเหวินเริ่นเหยียนเปล่งประกายวาววับดุจอสรพิษขณะที่มองไล่หลังหลินเฟิงไป ส่วนหลิ่วเฟยเมื่อเห็นหลินเฟิงเดินออกไป นางก็รีบเดินตามเขาไปทันที การที่เหวินเริ่นเหยียนประกาศว่าหลิ่วเฟยเป็ผู้หญิงของเขา นับว่าเป็ความอัปยศสำหรับนาง นางไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อ
…
“หลินเฟิง”
หลิ่วเฟยเดินตามหลินเฟิง และะโเรียกเขา
“ฮ่าๆ จู่ๆ ข้าก็เพิ่งนึกได้ว่ามีสิ่งที่ต้องทำ ข้ากับพั่วจวินขอตัวก่อนนะ”
หานหมานเห็นหลิ่วเฟยเดินมาจึงหัวเราะอย่างร่าเริง แล้วรีบพาพั่วจวินเดินจากไปอย่างรวดเร็ว จนมองไม่ออกเลยว่าเขาได้รับาเ็มาก่อน
หลินเฟิงกลอกตามองบนเล็กน้อย เ้าเด็กนี่... ทีเื่แบบนี้ล่ะฉลาดนัก
“หลินเฟิง หลังจากนี้เ้าต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ ถ้าเห็นเหวินเริ่นเหยียนที่ไหน ก็ให้หลีกเลี่ยงเขา คนคนนี้อันตรายมาก!” หลิ่วเฟยกล่าวเตือน นางรู้ว่าเหวินเริ่นเหยียนจะต้องหาทางฆ่าหลินเฟิงอย่างแน่นอน
“ไม่ใช่ว่าเ้าเกลียดข้าเหรอ แล้วทำไมจู่ๆ ก็มากังวลเื่ของข้า?” หลินเฟิงหัวเราะออกมา ราวกับไม่ได้ยินในสิ่งที่หลิ่วเฟยเตือน
หลิ่วเฟยถึงกับพูดไม่ออก เ้าเด็กนี่คิดว่าคำเตือนเป็เื่ล้อเล่นอย่างนั้นเหรอ ถึงได้หัวเราะออกมาแบบนี้?! นางรู้จักความน่ากลัวของเหวินเริ่นเหยียนดี
“ข้าแค่ไม่อยากให้เ้าตายก่อนที่จะไปลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ต่างหากล่ะ” หลิ่วเฟยจ้องหลินเฟิงเขม็ง
“จริงเหรอ? แต่ข้ายังไม่ได้ตอบตกลงเลยนะว่าจะไปที่ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่” หลินเฟิงยังกล่าวต่อไปอีกว่า “แล้วไหนจะเื่ที่พูดเมื่อกี้อีก เ้าเป็ผู้หญิงของข้าั้แ่เมื่อไรกัน?”
“ข้าพูดไปเพราะสถานการณ์มันบังคับ” หลิ่วเฟยกล่าวขณะจ้องมองไปที่หลินเฟิง เ้าเด็กนี่ยังจะกล้าถามขึ้นมาอีก นางก็แค่หาทางหนีจากการพัวพันของเหวินเริ่นเหยียนเท่านั้นเอง
“พูดเพราะสถานการณ์บังคับงั้นหรือ?” หลินเฟิงกลอกตาไปมา ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือของหลิ่วเฟย
“เ้าจะทำอะไร?”
หลิ่วเฟยเอียงตัวหนี ขณะมองหลินเฟิงอย่างระมัดระวัง หมอนี่...
“ในเมื่อเ้าเป็ผู้หญิงของข้า แน่นอนว่าข้าก็ต้องใช้สิทธิ์ในการเป็คนรักของเ้าน่ะสิ” หลินเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้หลิ่วเฟย
“คนบ้า! ฝันไปเถอะ!”
เส้นไหมสีดำสลวยพลิ้วไหวไปตามแรงสะบัด ก่อนที่ร่างบอบบางจะวิ่งหนีจากไป พร้อมกับพวงแก้มสีแดงปลั่งจากความโมโห
คนเลวก็ยังคงเป็คนเลวอยู่วันยังค่ำ!!!... มันหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าจะใช้สิทธิ์ในการเป็คนรัก? หรือว่าเขาเป็เสือผู้หญิง?
หลินเฟิงมองตามแผ่นหลังของหลิ่วเฟยไป ทันใดนั้นมุมปากของหลินเฟิงก็เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา เขาพบว่าความประทับใจแย่ๆ ที่มีต่อหลิ่วเฟยนั้นนับวันยิ่งเจือจาง และค่อยๆ หายไป... ที่สำคัญคือผู้หญิงคนนี้ทั้งน่ารัก รูปร่างดี และงดงามเป็อย่างมาก
“ทำไมถึงไม่เจอกันก่อนหน้านี้นะ?”
หลินเฟิงคิดขณะที่รอยยิ้มค่อยๆ ลดลง ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงที่นี่ใหม่ๆ เขาเคยคิดว่าโลกใบนี้ช่างเ็านัก ดังนั้นเขาจะไล่ตามความแข็งแกร่งอย่างมุ่งมั่นและไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด
แต่ตอนนี้หลินเฟิงค่อยๆ ชินกับโลกนี้ และอุปนิสัยก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป บางครั้งก็ถ่อมตัว บางครั้งก็หยิ่งผยองและทำตามใจตัวเอง ไม่ทำให้ชีวิตของตัวเองลำบากจนเกินไป
แน่นอนว่าหลินเฟิงแสวงหาความแข็งแกร่งบนเส้นทางแห่งนักรบ จิตใจของเขาเข้มแข็งและมั่นคงดุจหินผา ในชีวิตนี้เขา้าที่จะแข็งแกร่งและทรงพลังเหนือผู้อื่น
…
แสงอันอบอุ่นกำลังสาดส่องไปทั่วท้องฟ้า
นิกายหยุนไห่ในวันนี้ช่างดูเงียบเหงาอ้างว้างนัก สถานที่กว้างใหญ่แต่กลับมีศิษย์อยู่เพียงไม่กี่คน
แต่ทว่ายังมีสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่ได้มีบรรยากาศอ้างว้าง นั่นก็คือหุบเขาเมฆพายุ
หุบเขาเมฆพายุในวันนี้มีผู้คนหนาแน่น ที่นั่งรอบลานประลองเป็ตายมีผู้คนจับจองจนเต็มทุกที่
เหล่าผู้าุโสายในและผู้าุโสายนอกไม่ได้ยืนอยู่บนหุบเขาเหนือลานประลอง แต่กลับนั่งชมอยู่บนอัฒจันทร์สูงที่สร้างขึ้นในหุบเขาเมฆพายุแทน พวกเขาสามารถมองเห็นลานประลองเป็ตายได้อย่างชัดเจน
ที่นั่งอัฒจันทร์ทำมาจากหินทั้งหมดและแกะสลักได้อย่างประณีต ทำให้หลินเฟิงต้องทอดถอนหายใจ พลังที่แข็งแกร่งสามารถทำสิ่งมหัศจรรย์ได้อย่างมากมาย ที่นั่งอัฒจันทร์เหล่านี้ตั้งตระหง่านรอบบริเวณสนามประลองกว้างใหญ่ ซึ่งเป็ผลงานของศิษย์นิกายหยุนไห่ พวกเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเพื่อสร้างมันขึ้นมา
และจุดประสงค์ที่สร้างมันขึ้นมาก็เพื่อให้คนอื่นตระหนักได้ว่า นิกายให้ความสำคัญกับการทดสอบในครั้งนี้มาก
การทดสอบของนิกายในรอบที่สอง เป็การจัดอันดับของศิษย์สายนอก ซึ่งมีทั้งหมด 100 คน การจัดอันดับศิษย์สายใน มีทั้งหมด 81 คน และการจัดอันดับศิษย์หลัก มีทั้งหมด 36 คน
แต่ทุกคนล้วนรู้ดีว่าศิษย์สายนอกที่โดดเด่นและยอดเยี่ยมที่สุดได้ก้าวเข้าสู่การเป็ศิษย์สายในแล้ว ดังนั้นการจัดอันดับของศิษย์สายนอกจึงไม่มีความน่าสนใจใดๆ แต่การจัดอันดับของศิษย์สายในและศิษย์หลัก กลับเป็สิ่งที่ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอ
การจัดอันดับในทุกๆ ปี นอกจากจะได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเหล่าศิษย์แล้ว ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของนิกายอีกด้วย ศิษย์ของนิกายก็คืออนาคตของนิกาย
ในขณะนั้นท่านประมุขหนานกงหลิงได้ยืนขึ้น ทำให้ทั่วทั้งหุบเขาเงียบเสียงลง
หนานกงหลิงยิ้มและขณะที่กำลังจะเปิดปากพูดอยู่นั้น ดวงตาของเขาก็พลันแข็งทื่อ คิ้วทรงดาบขมวดแน่น
เขาจ้องมองไปยังทิศทางหนึ่งซึ่งมีพายุกำลังพัดเข้ามา จนกระแสอากาศเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง ราวกับเป็คลื่นทะเล
“พี่หนานกง นั่นคือฉู่โม่วจากนิกายเฮ่าเยว่และผู้ติดตาม”
เสียงคลื่นอันรุนแรงดังสะท้อนไปทั่วทั้งหุบเขา และดังเข้าไปในหูของฝูงชนราวกับจะทะลุเข้าไปในจิติญญา
“ทรงพลังอะไรเช่นนี้!”
ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นกลุ่มคนจากระยะไกลกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ นี่มันดูไม่ดีเลย
ในเวลาเดียวกัน ความหนาวเย็นก็ได้ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า จากท้องฟ้าที่แจ่มใสก็มีเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
“ห่านเสวี่ยเทียนจากหมู่บ้านเสวี่ยอิงซาน มาเยือนแล้ว”
เสียงะโดังออกมาท่ามกลางหิมะ พร้อมกับเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่น เสียงที่ะโออกมาเพื่อบอกให้ฝูงชนรับทราบ น้ำเสียงนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกหนาวเย็นะเื
ห่านเสวี่ยเทียน เป็ผู้นำของหมู่บ้านเสวี่ยอิงซาน
“ต้วนเทียนหลางและเถิงอูซาน มาเยือนแล้ว”
ทั้งพายุที่บ้าคลั่งและเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่น ไม่เพียงทำให้ท้องฟ้าะเื แต่ยังทำให้ฝูงชนรู้สึกหนาวสั่นราวกับมีน้ำแข็งแพร่กระจายไปทั่วร่าง
สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือ ท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็นมีคลื่นดาบปะปนอยู่ด้วย และเป็คลื่นดาบที่ทรงพลังยากจะหาใครมาเทียบได้
ห่างออกไป มีเงาสีดำขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนเข้ามา การกระพือปีกในแต่ละครั้งของมันได้สร้างกระแสลมที่แข็งแกร่งขึ้นรอบๆ
เงาสีดำขนาดใหญ่นี้มีความยาวหลายสิบเมตร กว้าง 3 - 4 เมตร และยังมีเงาคนยืนอยู่บนหลังของมัน เสื้อคลุมบนร่างพลิ้วไหวไปตามกระแสลม
สัตว์อสูรปีศาจคุนเผิง เป็สัตว์อสูรที่สามารถบินและดำน้ำได้ ร่างกายของมันมีเกล็ดสีดำเหมือนงู แต่ที่แปลกก็คือร่างกายของมันมีปีกสีดำขนาดใหญ่อยู่คู่หนึ่ง และตอนที่มันกระพือปีกก็สามารถทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสีได้
“ช่างเป็สัตว์อสูรปีศาจที่น่ากลัวยิ่งนัก!”
ผู้คนต่างรู้สึกกระสับกระส่าย เมื่อมองไปที่คุนเผิงซึ่งกำลังบินอยู่เหนือฟ้า
แค่นั้นยังไม่พอ ข้างๆ คุนเผิงมีดาบั์อยู่เล่มหนึ่งที่แผ่คลื่นดาบอันทรงพลังออกมา
และมีเงาคนคนหนึ่งกำลังยืนนิ่งอยู่บนดาบั์นั้น พร้อมทั้งหัวเราะอย่างหยิ่งยโส
