เมื่ออวิ๋นจื่อตื่นขึ้นแสงจันทร์ก็โรยตัวลงมาแล้ว
อวิ๋นจื่อถามเสียงต่ำว่าตอนนี้นางอยู่ที่ไหน สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ เฉลียวฉลาดมาก นางกล่าวเบาๆ ว่า “คุณหนูตื่นแล้ว ตอนนี้พวกเราอยู่ที่เมืองหยงโจว คุณหนู้าชาหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็รับถ้วยชามาจากสาวใช้
นางไม่ได้ดื่มชาทันที แต่ปล่อยให้ไอร้อนจากถ้วยชาสร้างความอบอุ่นให้กับนิ้วมืออันเย็นเยียบของตัวเอง ดวงตาของหญิงสาวเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา นางเริ่มทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาอีกครั้ง
‘ผ่านวัยเยาว์สู่วัยสาวพร้อมกับการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์’ จู่ๆ ประโยคนี้ก็ผุดขึ้นในใจนาง
โจวยี่พูดถูก หลังจากวันนี้นางไม่ใช่องค์หญิงใหญ่อีกต่อไป
ตอนนี้อวิ๋นจื่อจะเอาตัวรอดได้หรือไม่? นี่เป็คำถามที่นาง้ารู้เช่นกัน
นางยังสามารถกลับไปที่ตำหนักเหวินฮวาได้จริงหรือ?
ความกระฉับกระเฉงตอนก้าวออกจากวังหลวงดูเหมือนจะหายไปหมดแล้ว ตอนนี้อวิ๋นจื่อรู้สึกหวาดหวั่น ทั้งยังสงสัยว่าสิ่งที่รอนางอยู่ในวันข้างหน้าจะยากเย็นกว่าสถานการณ์ในวันนี้หรือไม่?
ในอดีต นางเคยมองดูเสด็จแม่จากไปอย่างไม่อาจหวนกลับโดยไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้
ครั้งนี้นางต้องมองดูโจวยี่วางยาพิษเสด็จพ่อจนตาย และนางก็ยังทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
แม้ในขณะที่เฝ้าดูเสด็จพ่อล้มลง อวิ๋นจื่อก็ยังรู้สึกขุ่นเคืองต่อการตายอย่างไม่เป็ธรรมของเสด็จแม่ที่นางรัก พูดกันตามตรงอวิ๋นจื่อรู้สึกยินดีเล็กน้อยด้วยซ้ำ ทั้งยังคิดอีกว่าหากปราศจากความโปรดปรานของเสด็จพ่อ สตรีชั่วร้ายอย่างโจวยี่จะตั้งหลักมั่นคงในวังหลวงได้อย่างไร?
พอคิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกว่าตนเองช่างโง่งมจริงๆ
นางเป็พระธิดาที่ฮ่องเต้ทรงรักและโปรดปรานที่สุด ในยามที่ราชวงศ์มีปัญหาสิ่งที่ควรทำเป็อันดับแรกคือ ยืนหยัดต่อสู้กับคนเลวที่ก่อฏและสังหารพวกมันให้สิ้นซาก แทนที่จะหนีออกมาเช่นนี้
นางจะเป็ตราบาปของราชวงศ์หรือไม่?
อวิ๋นจื่อคิดว่าตนเองช่างเห็นแก่ตัวยิ่งนัก นางบินออกมาสู่แสงสว่างเพียงลำพัง โดยละทิ้งเสด็จพ่อและเสด็จแม่ให้ได้รับความอัปยศอดสู เช่นนี้นางยังจะภูมิใจได้หรือ?
นางเป็องค์หญิงใหญ่แห่งตำหนักเหวินฮวา เป็ธิดาที่ฮ่องเต้รักที่สุด ทั้งยังเป็นายหญิงของชางอู๋หลิงอีกด้วย
นี่คือความจริงที่ทุกคนประจักษ์
แต่สิ่งที่ผิดคือรากฐานของนางไม่มั่นคงพอ อีกทั้งนางยังเยาว์วัยและโง่เขลา!!!
ฉางเหอผู้บัญชาการของชางอู๋หลิงตอนนี้ได้แปรพักตร์ไปรับใช้สตรีชั่วร้ายอย่างโจวยี่แล้ว
…
อวิ๋นจื่อเติบโตในวังหลังั้แ่เด็ก นางมีเพียงคนรู้จักแต่ไม่มีคนสนิท
หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลมู่ที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ความเป็ไปได้ที่นางจะรอดชีวิตนั้นแม้แต่ตัวนางก็ยังไม่กล้าคิด
‘เหตุใดข้าถึงปล่อยให้ชีวิตตนเองไร้ค่าเช่นนี้?’
‘เหตุใด?’
อวิ๋นจื่อไม่เต็มใจยอมรับ
นางไม่กล้าไว้วางใจชางอู๋หลิง ใครจะรับประกันได้ว่าจะไม่มีฉางเหอคนต่อไป
นางเติบโตในวังหลังั้แ่เด็ก แต่สุดท้ายนางกลับไม่มีทหารที่ไว้ใจได้แม้เพียงคนเดียว
อาจเป็เพราะนางยังเด็กเกินไป จึงไม่กล้าคาดเดาหรือตัดสินสิ่งที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของผู้คน
ก่อนที่จะรู้ตัว ถ้วยชาในมือของอวิ๋นจื่อก็เย็นลงโดยที่นางยังไม่ได้จิบแม้แต่คำเดียว
เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าหมองของผู้เป็นาย สาวใช้จึงทำตัวไม่ถูก
ทันใดนั้นอวิ๋นจื่อก็ได้สติและกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ข้าเหม่อลอยไปพักหนึ่ง ปล่อยให้ชาถ้วยนี้เย็นชืดไปเสียแล้ว เ้าช่วยรินชาให้ข้าอีกสักถ้วยได้หรือไม่?”
สาวใช้ตอบรับเสียงเบา
กลิ่นหอมเข้มข้นของชาปะทะจมูก แววตาของอวิ๋นจื่อค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากสับสนเป็เ็า
หากนาง้ากลับไปที่ตำนักเหวินฮวา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรักษาชีวิตของนางให้ดี
คำทำนายเมื่อหลายปีก่อนผุดขึ้นในความคิดของอวิ๋นจื่ออีกครั้ง
ประโยคแรกของคำทำนายเป็จริงแล้ว
ถึงตอนนี้นางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเชื่อมันเท่านั้น
เมื่อนึกถึงเมืองหยงโจว นางก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เพราะไม่คุ้นเคยกับเมืองนี้นัก
ทันใดนั้น รถม้าก็หยุดลง
สาวรับใช้เลิกม่านขึ้นและกล่าวเสียงใสว่า “คุณหนูเรามาถึงแล้วเ้าค่ะ”
อวิ๋นจื่อก้าวลงจากรถม้า โดยมีสาวใช้คอยประคองอยู่ด้านล่าง
ในเวลาเดียวกันชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็พ่อบ้านรีบรุดเข้ามาทักทาย สาวใช้กล่าวกับชายคนนั้นด้วยเสียงแ่เบาว่า “พ่อบ้านหลิน คุณหนูมาถึงแล้ว นายน้อยสั่งว่าให้คุณหนูไปพักที่เรือนตะวันตกเ้าค่ะ”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าและกล่าวกับอวิ๋นจื่อด้วยความเคารพ “คุณหนูโปรดตามข้ามา”
อวิ๋นจื่อเดินตามหลังชายวัยกลางคนเข้าไปในลานกว้างที่มีทางเข้าออกสองทาง ด้วยแสงที่เลือนรางจากดวงจันทร์ อวิ๋นจื่อสังเกตเห็นว่าต้นไม้ในลานล้วนธรรมดาและไม่หรูหราเหมือนในวังหลวง ลานแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก ไม่นานชายวัยกลางคนก็พาอวิ๋นจื่อไปที่ห้องโถงใหญ่
หลังจากที่ชายวัยกลางคนนำทางนางมาที่นี่และส่งนางเข้าไปในห้องโถงใหญ่แล้ว เขาก็รีบจากไปทันที
ภายในห้องโถงใหญ่ หญิงสาวรูปร่างบอบบางราวกับกิ่งหลิวยืนหันหลังให้ประตู ในมือนางถือตะเกียง
อวิ๋นจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกระแอมเบาๆ
หญิงสาวชุดเขียวสะดุ้งและหันกลับมากล่าวด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงมาถึงแล้ว”
อวิ๋นจื่อตกตะลึง ใบหน้าที่สดใสและบอบบางนั้นช่างงดงามอย่างแท้จริง ได้มองแค่ครู่เดียวนางก็นึกถึงคำกล่าวที่ว่า ‘ดวงตาฉ่ำน้ำราวหยาดฝนฤดูใบไม้ร่วง เปล่งประกายแวววาวเหมือนดาราที่อยู่บนท้องฟ้า’ นี่คือเนื้อหาในบทกวีไป๋เหม่ยเซิง[1]ที่เสด็จแม่ของนางเคยสอนในตอนนั้น
เมื่อนึกย้อนกลับไปใน่เวลาดังกล่าว ใบหน้าอวิ๋นจื่อก็ปรากฏรอยยิ้มสดใส
หญิงสาวชุดเขียวงดงามและสูงส่งราวกับเทพธิดาที่ลงมาเยือนโลกมนุษย์
จู่ๆ อวิ๋นจื่อก็รู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อเห็นอวิ๋นจื่อตกอยู่ในภวังค์ หญิงสามชุดเขียวจึงถามอย่างงุนงงว่า
“องค์หญิง ข้าทำอะไรผิดไปหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อดึงสติของตัวเองกลับมาและกล่าวอย่างเขินอายว่า “ไม่เลย ท่านประมุขน่าจะเป็คนที่งดงามที่สุดที่อาจื่อเคยเห็น อาจื่อเสียมารยาทต่อหน้าท่านแล้ว โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
หญิงสาวชุดเขียวหัวเราะอย่างอ่อนหวาน “องค์หญิงช่างแตกต่างจากที่ข้าคิดไว้”
หลังจากที่ทั้งสองนั่งลง หญิงสาวชุดเขียวก็กล่าวขึ้นว่า “เมื่ออยู่ที่นี่ไม่มีอะไรต้องกังวล องค์หญิงโปรดเรียกข้าว่าชิงซี ชิงที่มาจากคำว่าชิงปี้[2]และซีที่มาจากซีกวง[3]”
อวิ๋นจื่อก้มหน้าลง “อาจื่อไม่กล้า”
หญิงสาวชุดเขียวอมยิ้ม “เช่นนั้นข้าจะเรียกองค์หญิงว่าอาจื่อ องค์หญิงก็เรียกข้าว่าชิงซีเป็อย่างไร?”
อวิ๋นจื่อแอบใ นางรู้ว่าประมุขตระกูลมู่ยิ่งใหญ่เพียงใด ความมั่งคั่งสองในสามของราชวงศ์ล้วนมาจากตระกูลมู่ แต่เหตุใดประมุขตระกูลมู่ถึงดูเหมือนเด็กสาวเช่นนี้?
อวิ๋นจื่อมองไปยังดวงตาที่ใสกระจ่างและบริสุทธิ์ของผู้ที่ได้ชื่อว่าประมุขแห่งตระกูลมู่ หัวใจของนางเต้นรัวราวกับใครบางคนกำลังรัวกลองอยู่ข้างใน
ความไร้เดียงสาของนางได้หายไปแล้วเมื่อห้าปีก่อน มันหายไปพร้อมกับความตายของเสด็จแม่
วันนี้นางอยู่ในวัยปักปิ่น แต่นางไม่รู้ว่านางอายุน้อยกว่าประมุขตระกูลมู่ที่อยู่ตรงหน้ากี่ปี
คิดไม่ถึงเลยว่าประมุขตระกูลมู่ซึ่งทำงานอย่างหนักในการวางรากฐานให้กับตระกูลมู่มาหลายปีจะมีแววตาที่ไร้เดียงสาเหมือนเด็กสาวเช่นนี้
เื่นี้ทำให้อวิ๋นจื่อรู้สึกงุนงงคล้ายกับตกอยู่ในห้วงความฝัน
ประมุขแห่งตระกูลมู่ผู้นี้ลึกลับจนยากจะหยั่งถึง
อวิ๋นจื่อระงับความกลัวในใจ นางแสร้งทำเป็ใจเย็นและกล่าวว่า “หากท่านประมุขยินดีที่จะเรียกอาจื่อเช่นนี้ อาจื่อก็ยินดีเช่นกัน”
หญิงสาวชุดเขียวกล่าวด้วยความโกรธว่า “อาจื่อ ข้ามองว่าเ้าเป็น้องสาวแต่เหตุใดเ้ายังเรียกข้าว่าท่านประมุขอยู่อีก? คำเรียกหาแบบนี้ฟังดูน่าอึดอัดแย่ ต่อไปนี้เ้าต้องเรียกข้าว่าชิงซี”
อวิ๋นจื่อมองแววตาอันแน่วแน่ของหญิงสาวชุดเขียว ความคิดของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางรวบรวมความกล้าและเอ่ยเสียงเบา “ชิงซี”
หญิงสาวชุดเขียวยิ้มอย่างอ่อนโยน “อาจื่อ อยู่ในเมืองหยงโจวเ้าจะต้องแบกรับความทุกข์ทรมานและความคับข้องใจมากขึ้นในอนาคต ข้าหวังว่าเ้าจะทนได้”
อวิ๋นจื่อลุกจากเก้าอี้ก่อนจะคุกเข่าแทบเท้าของหญิงสาวชุดเขียวและกล่าวอย่างหนักแน่น
“ชิงซีมีความเมตตาต่ออาจื่อมาก อาจื่อจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไปชั่วชีวิต อาจื่อสามารถแบกรับความทุกข์ทรมานและความคับข้องใจได้แน่นอน ชิงซีไม่ต้องกังวล”
หญิงสาวชุดเขียวช่วยพยุงนางลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวอย่างร้อนใจ “อาจื่อรีบลุกขึ้น! ถ้าขาดเหลือสิ่งใดก็บอกข้าหรือแจ้งกับชิงซ่งก็ได้”
อวิ๋นจื่อยืนขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลอ
หญิงสาวชุดเขียวพยุงนางไปที่เก้าอี้และกล่าวว่า “อาจื่อ เ้าคงสงสัยว่าเหตุใดข้าถึงช่วยเ้า”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า
หญิงสาวชุดเขียวยิ้มสดใสราวกับดอกไม้บานสะพรั่ง ริมฝีปากสีแดงสดของนางเผยอออกเล็กน้อย
“เพราะข้ากับเ้าถูกโชคชะตาลิขิตไว้แล้ว”
อวิ๋นจื่อตกตะลึง
นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?
ใครคือผู้ลิขิต?
อะไรคือสาเหตุของเื่นี้?
ทุกคนย่อมรู้ดีว่าเหล่าคหบดีล้วนให้ความสำคัญกับกำไร
สิ่งที่ทำให้คนเหล่านี้ตัดสินใจลงทุนลงแรงได้ย่อมไม่ใช่สิ่งใดนอกจากกำไรที่เพิ่มขึ้น
พรหมลิขิต โชคชะตา หรือเื่ลึกลับที่ออกมาจากปากของพวกเขาล้วนไม่มีค่าพอให้เชื่อถือ
ดวงตาของหญิงสาวชุดเขียวยังคงใสกระจ่างเหมือนน้ำ
ความสงสัยในใจของอวิ๋นจื่อเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ
นางอยากถามว่าอีกฝ่ายหมายถึงสิ่งใด แต่นางกลับลังเลและไม่กล้า
หญิงสาวชุดเขียวยิ้มและกล่าวว่า “อาจื่อ โชคชะตานี้เป็อย่างไร เ้าจะได้รู้ในอนาคต”
อวิ๋นจื่อโยนคำถามทั้งหมดทิ้งไป นางเพียงพยักหน้าและยิ้มอย่างสงวนกิริยา
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวพยายามข่มความสงสัยของตนเองไว้ มู่ชิงซีก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อาจื่อ เ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ทำเื่ที่ผิดต่อเ้า หากซูฮองเฮาอยู่ที่นี่นางก็จะบอกกับเ้าแบบนี้เช่นกัน”
หลังจากได้ยินคำพูดของมู่ชิงซี อวิ๋นจื่อก็ค่อยๆ นึกขึ้นได้ว่า นอกจากเสด็จแม่จะบอกให้คอยระวังโจวกุ้ยเฟยแล้ว ยังบอกให้นางไว้ใจตระกูลมู่อย่างไม่มีเงื่อนไขด้วย
เสด็จแม่ไม่เคยอธิบาย ไม่ว่าจะถามอย่างไรก็ไม่เคยตรัสอะไรออกมาอีกเลย
ดูเหมือนคำตอบของเื่นี้จะไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิด
คนผู้หนึ่งมีความมั่งคั่งมหาศาล มีฐานะทางสังคมที่สูงส่ง ทั้งยังเป็ประมุขของตระกูลใหญ่แห่งแผ่นดิน เมื่อมีทุกอย่างอยู่ในมือเช่นนี้มู่ชิงซียังจะขาดสิ่งใด?
เป็ไปได้ไหมว่าสิ่งนั้นคือความรัก?
หรือมีบางอย่างในอดีตที่นางยังไม่รู้?
ความคิดของอวิ๋นจื่อโลดแล่นอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นมู่ชิงซีก็หยิบขลุ่ยสีเขียวอมฟ้าออกมา ท่าทางของนางดูสง่างามราวกับเทพธิดาผู้สูงศักดิ์
อวิ๋นจื่อจ้องมองเงียบๆ โดยไม่รู้ว่าจะกล่าวสิ่งใด
มู่ชิงซีถามอย่างเป็กันเองว่า “อาจื่อ เ้าเป่าขลุ่ยได้หรือไม่?”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าอย่างเขินอาย “เสด็จแม่เคยสอนอยู่บ้าง แต่ข้าเป่าได้ไม่กี่เพลงเท่านั้น”
มู่ชิงซีพยักหน้า จากนั้นก็ส่งขลุ่ยให้อวิ๋นจื่อด้วยรอยยิ้ม “เป่าให้ข้าฟังสักเพลงสิ”
อวิ๋นจื่อหยิบขลุ่ยขึ้นมาและเริ่มเป่า
นางไม่รู้ว่าจะเป่าเพลงอะไรดี จึงเป่าไปตามอารมณ์ของตัวเอง
นางไม่้าให้ราชสำนักเกิดความเปลี่ยนแปลง แต่ท้ายที่สุดแล้วเสด็จพ่อกลับต้องจากไป กุ้ยเฟยสมคบคิดก่อฏ ส่วนตัวนางเองต้องหนีตายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อคิดถึงเื่นี้หัวใจของอวิ๋นจื่อก็เ็ปขึ้นมา อารมณ์ของนางได้รับการถ่ายทอดผ่านเสียงขลุ่ย
มู่ชิงซีนั่งฟังเงียบๆ คิ้วของนางขมวดเข้าหากัน
ชีวิตสิบห้าปีแรกของอวิ๋นจื่อราบรื่นและสงบสุข แต่ความเปลี่ยนแปลงกลับปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ความโศกเศร้าในใจของอวิ๋นจื่อเลวร้ายยิ่งกว่าที่คิด เมื่อก่อนอวิ๋นจื่อยังมีฮ่องเต้คอยปกป้อง แต่ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่อยู่แล้ว
เด็กสาววัยสิบห้าคนนี้ต้องแบกรับแรงกดดันจากความเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง ไม่รู้ว่าสภาพจิตใจของนางตอนนี้เป็อย่างไรบ้าง?
ร่องรอยความโศกเศร้าพาดผ่านดวงตาที่ใสกระจ่างของมู่ชิงซี แต่สักพักดวงตานางก็กลับเป็ปกติอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดเสียงขลุ่ยที่คล้ายเสียงร่ำไห้ก็หยุดลง
มู่ชิงซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก และมองเข้าไปในดวงตาของอวิ๋นจื่ออย่างแน่วแน่
อวิ๋นจื่อหน้าแดงเล็กน้อย “วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี เสียงขลุ่ยจึงใช้ไม่ได้ ช่างขายหน้าชิงซีนัก”
ดวงตาของชิงซีดูสงบนิ่ง นางกล่าวเบาๆ ว่า “อาจื่อไม่ต้องกังวล แม้วันนี้เ้าจะไม่ใช่องค์หญิงใหญ่ แต่เื้ัของเ้ายังมีตระกูลมู่อยู่ ข้าจะดูแลเ้าและอวิ๋นเหิงอย่างดี ไม่ต้องกังวล”
“ขอบคุณชิงซีมาก” อวิ๋นจื่อกล่าวด้วยความซาบซึ้ง
เมื่อเื่มาถึงขั้นนี้แล้ว อวิ๋นจื่อจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขจัดความสงสัยในใจและปล่อยทุกอย่างให้เป็หน้าที่ของหญิงสาวชุดเขียวที่อยู่ตรงหน้า
------------------------
[1] ไป๋เหม่ยเซิง เป็บทชมโฉมใน “บทเพลงแห่งความโศกเศร้านิรันดร์” เป็บทกวีบรรยายเื่ยาวที่เขียนโดยไป๋จูอี้ กวีแห่งราชวงศ์ถังในท่อนที่ว่า
她回眸一笑时,千姿百态娇媚横生;六宫妃嫔,一个个都黯然失色万分。
ซึ่งมีความหมายว่า “เมื่อนางหันกลับมาแย้มยิ้ม ทุกอิริยาบทล้วนงดงามเปี่ยมเสน่ห์น่าหลงไหล นางสนมทั้งหกตำหนักล้วนถูกความงามนี้บดบังจนดูหมองลงไปถนัดตา”
[2] ชิงปี้ แปลว่าฟ้าสีคราม
[3] ซีกวง แปลว่าแสงอาทิตย์ยามเย็น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้