เล่มที่ 8 บทที่ 228 ช่วยด้วย
หลังจากตัดสินใจได้ เ้าอสุรกายก็สลายตัวเองกลายเป็หมอกควันดำและพุ่งตัวไปยังไอโเี้ซึ่งกำลังพวยพุ่งรุนแรงทันที เพียงครู่เดียวมันก็ทะยานมาถึงใจกลางห้วงมิติดินิถู่...
หลังจากมาถึง มันก็เหลือบเห็นกล่องกระบี่ซึ่งมีไอโเี้กำลังพวยพุ่งลอยอยู่กลางอากาศ นอกจากนี้ยังมีภาพนิมิตครึ่งอสรพิษครึ่งพยัคฆ์ปรากฏเลือนรางอยู่อีกด้วย อีกทั้งยังมีกระบี่สี่สีรายล้อมเอาไว้...
บริเวณกล่องกระบี่และกระบี่ทั้งสี่ ก็มีมีดสีดำเล่มเล็กยาวประมาณสามฉื่อกำลังลอยนิ่งราวกับไม่มีชีวิตอยู่อีกด้วย ภายใต้แสงสว่างที่ส่องกะพริบ ทำให้เห็นว่ามีดเล่มนั้นมีเงาัสีดำที่กำลังหลับตาราวกับหลับใหลแฝงอยู่ และร่างนั้นก็ยังมีโซ่ตรวนสีดำพันธนาการไว้อย่างแ่า
มองไปเหนือหัวก็จะเห็นกระแสโเี้คอยบั่นทอนมนต์สะกดของมีดเล่มน้อยอยู่ และทุกครั้งที่พุ่งชนก็จะมีมนต์สะกดจำนวนมากแตกกระจายออกมาก่อนจะหล่นลงพื้นและจมหายไป...
“บ้าน่า...”
เ้าอสุรกายร้ายที่เห็นภาพตรงนั้น ก็แทบจะหยุดหายใจไปเลย...
ตอนแรกยังสงสัยว่ากายของหยวนหลิงนั่นอยู่ที่ใดกันแน่ เพียงพริบตาเดียวหลังจากนั้นก็เจอพอดี แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันกำลังถูกหลอมละลายอยู่เช่นนี้...
‘บ้าเอ๊ย เ้าสิ่งที่มีไอโเี้เข้มข้นนั่นคืออะไรกันแน่ ถึงกับหลอมละลายมนต์สะกดของศาสตราวุธออกมาได้เชียว น่ากลัวเกินไปแล้ว’ เพราะพลังของมีดบินกล้าแกร่งกว่าพลังของตนเองมาก แต่กลับมีสภาพเช่นนี้ นอกจากจะถูกชำระล้างหยวนหลิงแล้ว กายเนื้อยังถูกหลอมละลายอีกด้วย…
‘ไม่ได้ๆ อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว อีกไม่นานคงได้ตายแน่!’
เมื่อคิดได้ดังนั้น เ้าอสุรกายก็ไม่รอช้า มันพยายามจะเผาทำลายมนต์สะกดของตนเองเพื่อหนีออกไปจากที่แห่งนี้…
ทว่าไม่ทันจะได้ลงมือ ก็มีหมอกควันดำสายหนึ่งลอยเข้ามาเสียก่อน เ้าอสุรกายเห็นหมอกควันดำกลุ่มนั้น ดวงตาก็พลันเป็ประกายขึ้นทันที
“ช่างเป็ไออสูรที่เข้มข้นเหลือเกิน!”
‘ในเมื่อตอนนี้กำลังจะเผาทำลายมนต์สะกดพอดี เช่นนั้นก็กินเข้าไปเพื่อบำรุงก่อนแล้วกัน!’
เ้าอสุรกายยกยิ้มอัปลักษณ์ออกมา ก่อนจะคว้าหมอกควันดำนั้นเอาไว้ หมายจะกลืนกินลงไป ทว่าเ้าอสุรกายร้ายยังไม่ทันจะอ้าปากด้วยซ้ำ หมอกควันดำสายนั้นก็ขยับขึ้นน้อยๆ ไม่นานมันก็พลิกตัวเองกลับมาปิดล้อมเ้าอสุรกายเอาไว้ เมื่อเ้าอสุรกายร้ายเห็นเช่นนั้นก็ทำเพียงแค่นหัวเราะเ็าออกมา ในใจก็ลอบนินทาว่าเ้าควันดำสายนี้ช่างดื้อดึงหาที่ตายนัก ถึงกับโผล่มาให้มันกินเองถึงที่ และชั่วขณะที่มันกำลังจะกลืนกินนั้นเอง จู่ๆใบหน้าของเ้าอสุรกายก็พลันเปลี่ยนสีขึ้นมา…
“เกิดอะไรขึ้น!”
ทันใดนั้นเ้าอสุรกายก็รู้ตัวขึ้นได้ว่าพลังของตนเองได้ถูกผนึกเอาไว้เสียแล้ว ไม่สามารถใช้มนต์สะกดได้แม้แต่สายเดียว จากนั้นเ้าอสุรกายก็รู้สึกเย็นวาบั้แ่หัวจรดเท้า เป็ถึงหยวนหลิงของศาสตราวุธ แต่กลับไม่สามารถเรียกใช้พลังได้เลย ก็ไม่ต่างอะไรกับอาวุธทั่วๆไปนั่นแหละ!
‘ช้าก่อน หมอกควันดำนั่นกำลังทำอะไรกันแน่?…’
ขณะที่ยังใอยู่ จู่ๆเ้าอสุรกายก็ััได้ถึงความเ็ปที่ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย เมื่อก้มลงไปมองก็พบว่าร่างกายของตนเองกำลังถูกเ้าหมอกควันดำที่โอบล้อมอยู่นั้นค่อยๆกัดกิน ทว่าแต่ละคำที่มันกัดเข้าไปนั้นนับว่าคำใหญ่ใช่เล่น ทั้งที่เป็หยวนหลิงของศาสตราวุธแท้ๆ บัดนี้กลับถูกหมอกควันดำกัดกินเสียได้ ไม่นานอักขระจำนวนมากก็แตกสลายออกมา เพียงครู่เดียว อักขระนับหมื่นนับพันก็ถูกหมอกควันดำเขมือบเข้าไปจวนจะหมดแล้ว…
“แย่แล้ว!”
เ้าอสุรกายเห็นดังนั้นก็ตื่นตระหนกอย่างไม่เคยเป็มาก่อน มันพยายามสลัดเ้าหมอกควันดำนั้นออกไปอย่างเอาเป็เอาตาย แต่น่าเสียดายที่มนต์สะกดในตัวของมันไม่อาจใช้ได้เลย บัดนี้หมอกควันดำที่รายล้อมจึงราวกับูเาขนาดใหญ่ที่กำลังกดทับร่างของเ้าอสุรกาย อย่าว่าแต่สลัดออกไปเลย แม้แต่ขยับตัวก็ยังลำบาก สุดท้ายก็ทำได้เพียงมองดูเ้าหมอกควันดำค่อยๆกัดกินตนเองไปทีละคำ…
ทุกครั้งที่ถูกกัดกิน ไออสูรในร่างก็จะถดถอยลงไปเรื่อยๆ เพียงเวลาหนึ่งเค่อเท่านั้น เ้าอสุรกายร้ายก็สูญเสียมนต์สะกดไปหนึ่งสายแล้ว จากนั้นมันก็ครวญครางอย่างน่าเวทนาราวกับถูกทรมานอย่างหนัก ใบหน้าของมันในตอนนี้บิดเบี้ยวเสียจนไม่เหลือเค้าเดิมเลยทีเดียว…
“อย่ากินข้าเลยนะ ขอร้องล่ะ ปล่อยข้าไปเถอะ…”
น่าเสียดายที่ควันดำสายนั้นดูไม่ได้สนใจคำอ้อนวอนขอชีวิตแม้แต่น้อย มันยังคงกัดกินต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งกลืนกินมนต์สะกดเข้าไปเท่าไร หมอกควันดำก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น…
และในขณะเดียวกันนั้น หลินเฟยก็ก้าวเข้ามาในห้วงมิติดินิถู่พอดี
ก่อนหน้านี้ตอนที่เห็นเจดีย์โครงกระดูกสามชั้น หลินเฟยก็เดาได้แล้วว่าเ้าอสุรกายนี้ต้องแย่งชิงกายเนื้อ เข้าสิงคัมภีร์เป็แน่ ทว่าหากอยากรู้ว่าคัมภีร์นั่นมีที่มาที่ไปอย่างไร จะต้องถามเ้าอสุรกายนั่น ถึงจะรู้ได้…
‘แต่เ้าอสุรกายมีนิสัยโเี้ เกรงว่าจะไม่ยอมตอบง่ายๆ เช่นนั้นก็คงต้องเหนื่อยหน่อยแล้ว…’
หลินเฟยครุ่นคิดไปเรื่อยๆขณะที่ก้าวเข้าห้วงมิติดินิถู่ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงโหยหวนดังขึ้นมา ไม่นานก็มีบางอย่างพุ่งทะยานมายังเบื้องหน้าของเขา ก่อนจะคุกเข่าลงต่อหน้า
“ช่วยด้วย!”
“บ้าเอ๊ย…” หลินเฟยสะดุ้งสุดตัว จนแทบถอยออกมาจากห้วงมิติ
“อะไรน่ะ?”
“ช่วยด้วย ช่วยข้าเร็ว!”
“หืม?” หลินเฟยก้มมองอีกครั้ง ในที่สุดก็เห็นว่าสิ่งที่พุ่งมาเมื่อครู่คืออะไร ‘แต่ทำไมเ้าอสุรกายถึงกลายเป็เช่นนี้ได้ล่ะ?’
ร่างของเ้าอสุรกายที่สูงนับสิบจ้างในตอนแรก บัดนี้หดเตี้ยลงเหลือเพียงจ้างเดียวเท่านั้น เขาทั้งสองข้างของมันก็หักลง ส่วนดวงตาก็เหลือเพียงข้างเดียว แถมยังมีาแปรากฏทั่วทั้งลำตัว ดูสะบักสะบอมราวกับถูกซ้อมปางตายก็ว่าได้…
“ไม่จริงมั้ง?” หลินเฟยไม่อาจเชื่อสายตาตัวเองได้จริงๆ ‘เกิดอะไรขึ้นกันแน่?’
ทว่าเมื่อพินิจดูอีกครั้ง ก็พบว่ามีหมอกควันดำสายหนึ่งกำลังกัดกินเ้าอสุรกายอย่างเพลิดเพลิน…
‘ทำไมถึงลืมไปได้นะ…’
หลินเฟยเห็นดังนั้นก็ทำหน้าไม่ถูก จะว่าไปก็ขายหน้าไม่น้อย เพราะั้แ่ห้วงมิติดินิถู่ถือกำเนิดขึ้น ตนเองก็โยนหลายสิ่งเข้ามา ั้แ่อสรพิษเกล็ดหินยังกุ่ยิ แถมยังมีมีดบินฮั่วอู๋กับเ้าอสุรกายนี่อีก นอกจากอสรพิษเกล็ดหินที่เข้ามาเป็ตนแรกแล้ว ดูเหมือนทุกสิ่งที่เข้ามาล้วนเคยถูกเ้าสิ่งนี้กัดกิน ‘ให้ตายเถอะ หากคนไม่รู้ คงคิดว่าเลี้ยงสุนัขในห้วงมิตินี้แน่ๆ…’
‘เ้านี่มันเป็หมาไซบีเรียนหรืออะไร? ถึงได้กัดทำลายทุกอย่างเช่นนี้’
หลินเฟยมองเ้าอสุรกายด้วยความเวทนา…
‘น่าอนาถเสียจริงๆ…’
‘ดูท่ามนต์สะกดคงหายไปอย่างน้อยสามสายเลยทีเดียว หากเข้ามาช้ากว่านี้ละก็ เกรงว่าคงจะถูกกินจนหมดตัวเป็แน่…’
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย!” ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีใครสักคนเข้ามา แต่คนคนนั้นกลับเอาแต่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เ้าอสุรกายเห็นดังนั้นก็แตกตื่นยิ่งกว่าเดิม เอาแต่ร้องขอหลินเฟยอย่างร้อนใจ
“หืม ว่าอย่างไรนะ?”
“…” เ้าอสุรกายได้ยินดังนั้นก็แทบจะกระอักเืออกมา ‘บัดซบ จะแสดงออกชัดเจนเกินไปแล้ว ว่าไม่อยากจะไม่ช่วย!’
เสี้ยวเวลาแห่งความเป็ตายนี้เอง เ้าอสุรกายก็ไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้วท มันเอาแต่อ้อนวอนขอชีวิตอย่างน่าสังเวช
“ก่อนหน้านี้เป็ข้าเองที่ไม่ดี ข้าผิดไปแล้ว ข้ามันชั่วช้าสามานย์ยิ่งนัก ขอร้องล่ะ ช่วยข้าเถอะ อย่าให้เ้านั่นกินข้าเลยนะ…”
“การช่วยเ้าไม่ถือว่าเป็เื่ใหญ่อะไรหรอก แต่หากช่วยเ้าแล้ว ข้าจะได้อะไรงั้นหรือ?”
“…” เ้าอสุรกายได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะร้องไห้ออกมา ‘บ้าไปแล้ว จะอำมหิตผิดมนุษย์อะไรเช่นนี้ ไม่รู้หรือไงว่าการช่วยหนึ่งชีวิตมีกุศลยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นเสียอีก’ แต่เ้าอสุรกายก็ไม่กล้าพอที่เอ่ยออกมาไปตรงๆ ทำได้เพียงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยบางสิ่งออกมา
“หากช่วยข้าละก็ เช่นนั้นแล้ว ข้าจะยอมรับเ้าเป็นาย!”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------