วันถัดมา มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังสนั่นออกมาจากภายในห้องของหลินเยว่
“ใครกันโทรมาหาผมั้แ่เช้าแบบนี้เนี่ย?” หลินเยว่พูดบ่นในลำคอ หลังจากนั้นเขาจึงได้สติขึ้นมาทันที
ณ เวลานี้เอง มีเสียงเคาะประตูอย่างร้อนใจดังมาจากทางด้านนอก
“หลินเยว่! หลินเยว่! คุณไม่เป็อะไรใช่ไหม? หากไม่เป็ไรพูดอะไรก็ได้ออกมานิดนึงสิ”
น้ำเสียงของฉินเหยาเหยามีความร้อนใจแฝงอยู่ ปกติหลินเยว่จะเป็คนตื่นแต่เช้าและปลุกเธอมาตลอด แต่วันนี้หลินเยว่กลับยังไม่ตื่นนอน ดังนั้น เธอจึงมาเคาะประตูห้องนอนของหลินเยว่ แต่ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากด้านในเลย เธอเกรงว่าหลินเยว่จะเกิดอุบัติเหตุอะไรสักอย่าง เธอจึงเคาะประตูและร้องะโอย่างร้อนใจ
“ผมไม่ได้เป็อะไร” หลินเยว่ตอบกลับฉินเหยาเหยา และตอนนี้เองที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองนอนหลับอยู่บนพื้น เขาจึงค่อยๆ ลุกขึ้นมา
“คุณไม่เป็อะไรใช่ไหม ทำเอาฉันใหมดเลย!” เมื่อฉินเหยาเหยาพูดจบก็มีเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกจากเธอลอยเข้ามาถึงในห้อง “ฉันทำอาหารเช้าไว้แล้วนะ คุณรีบตื่นได้แล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวไปทำงานสายหรอก ส่วนฉันขอออกไปก่อนแล้วล่ะ”
เมื่อเธอพูดจบก็มีเสียงรองเท้าส้นสูงััพื้นดัง “กึกๆ” ลอยเข้ามา และเสียงนั้นก็ค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ฉินเหยาเหยาคงออกไปทำงานเสียแล้ว
หลินเยว่รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว เขานั่งลงบนเตียง หยิบโทรศัพท์ที่เงียบเสียงไปแล้วขึ้นมาดู เป็เบอร์โทรของฉินเหยาเหยา
หญิงสาวผู้นี้ฉลาดและนิสัยดีทีเดียว เมื่อรู้ว่าแค่เคาะประตูเรียกเขาไม่ได้ผล จึงใช้วิธีโทรศัพท์หาเขา เธอใส่ใจเขามากเชียวล่ะ
ทันใดนั้น หลินเยว่รู้สึกเกร็งค้างไปทั้งตัว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เขาสามารถมองเห็นแล้ว!
หลินเยว่หยิบโทรศัพท์ออกมาดูอีกครั้ง ตัวเลขและตัวอักษรบนหน้าจอปรากฏอยู่ในสายตาของเขาอย่างชัดเจน
เขาสามารถมองเห็นแล้วจริงๆ!
ความปรารถนาที่เขาใฝ่ฝันมานานหลายปี... ในที่สุดก็เป็จริงในวันนี้!
ความรู้สึกที่มีแต่ความสุขอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นทำให้หลินเยว่นั่งอึ้งอยู่บนเตียง สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาราวกับคนบ้า
เวลาผ่านไปนานพอสมควร หลินเยว่จึงเริ่มกลับมามีสติขึ้นอีกครั้ง เขาดึงตัวเองออกมาจากภวังค์แห่งความสุขและย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เพราะความสะเพร่าของเขาทำให้เขารักษาดวงตาจนหายดี
คำพูดที่กล่าวไว้ว่า “โรคร้ายต้องใช้ยาแรง” คำพูดนี้ก็กล่าวไว้ไม่ผิดเลยจริงๆ
ตลอดทั้งวัน หลินเยว่ก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งความสุข ความรู้สึกล้มเหลวในชีวิตที่เกิดจากการตกงานก็เจือจางหายไปมิใช่น้อย
ตอนกลางคืน เมื่อฉินเหยาเหยากลับมาถึงบ้าน เธอจึงพบว่าหลินเยว่ดูมีความสุขเป็อย่างมาก ถึงเธอจะไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใด แต่เมื่อเห็นเพื่อนที่พักอยู่ในบ้านเดียวกันมีความสุข เธอจึงมีความสุขตามไปด้วย
พวกเขาถึงกับเพิ่มอาหารขึ้นอีกมื้อเพื่อเป็การฉลองเล็กๆ น้อยๆ
หลังจากกลับเข้าห้องส่วนตัวของตัวเอง หลินเยว่จึงเพิ่งคิดได้ว่าเขายังไม่ได้บอกข่าวดีเื่นี้ให้กับทางบ้านเลย แต่เมื่อคิดว่าตอนนี้มันเป็เวลาดึกมากแล้ว ดังนั้น เขาจึงไม่ได้โทรศัพท์ไปหาพวกเขา แต่เอนตัวลงนอนบนเตียงและเตรียมส่งข้อความถึงคนทางบ้านแทน
หลินเยว่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดแป้นโทรศัพท์ สมาธิทั้งหมดของเขารวมเป็หนึ่งเดียว แต่เวลานี้ เขาก็กำลังยิ้มราวกับคนบ้าไปด้วย
พลันมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น หลินเยว่สามารถมองเห็นนิ้วมือของตัวเอง ในเวลาเดียวกันโทรศัพท์มือถือก็ค่อยๆ หายไป หรือพูดให้ถูกต้องมากกว่าเดิมก็คือโทรศัพท์มือถือค่อยๆ จางลง ดูเหมือนว่ามันได้กลายเป็ของโปร่งใส ถึงแม้ว่าความโปร่งใสจะไม่ได้มีความลึกมากสักเท่าไร แต่ว่ามันก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
ภาพเบื้องหน้าทำให้หลินเยว่ประหลาดใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หลินเยว่้ามองให้ละเอียดมากขึ้น เขารวบรวมสมาธิเข้าสู่จุดเดียว ิับริเวณนิ้วมือและกรอบด้านนอกของโทรศัพท์ค่อยๆ หายไป จนสุดท้ายเหลือเพียงเส้นเื กระดูกบริเวณนิ้วมือและแผงวงจรรวมในโทรศัพท์มือถือ (Integrated Circuit : IC ในโทรศัพท์มือถือ) รวมทั้งแบตเตอรี่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาของหลินเยว่
มือของเขาราวกับกำลังทำ CT สแกน และโทรศัพท์มือถือนั้นก็ราวกับถูกแกะทุกส่วนประกอบออกมาเลยทีเดียว
หลินเยว่มองเหตุการณ์ประหลาดที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าอย่างตกตะลึง สมองของเขาเกิดอาการช็อตขึ้นชั่วขณะ
หรือว่าดวงตาของเขาจะสามารถมองเห็นทะลุทะลวงได้แล้ว? เขามีตาทิพย์? หรือนี่เป็สิ่งที่เค้าเรียกกันว่าพลังพิเศษ?
ช่างเป็โชคสองชั้นจริงๆ!
หลินเยว่ยิ้มออกมาทันที ถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังพิเศษ แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าพลังพิเศษแบบนี้จะทำประโยชน์อะไรได้บ้าง เขาจะคิดเสียว่านี่เป็ผลพลอยได้จากการที่เขาสามารถฟื้นฟูดวงตาให้กลับมาเป็ปกติก็แล้วกัน
หลินเยว่มองการไหลเวียนของเืตรงเส้นเืบริเวณนิ้วมือของตัวเองอย่างสนใจ เขารู้สึกว่ามันช่างเป็เื่ที่น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก
แต่แล้วเขาพลันรู้สึกวิงเวียนศีรษะอย่างกะทันหัน พร้อมทั้งรู้สึกเจ็บแสบบริเวณดวงตา ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดภาพดำมืดอยู่บริเวณเบื้องหน้า หลินเยว่ใจนต้องรีบหลับตาลง ถึงแม้ว่ามันจะเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่เพียงเท่านี้มันก็สามารถทำให้หลินเยว่เหงื่อกาฬซึมตรงบริเวณหน้าผาก
ผ่านไปนานพอสมควร หลินเยว่จึงฟื้นกลับมาเป็ปกติ ในใจของเขาเกิดความหวาดกลัว เขาคงไม่สามารถใช้พลังพิเศษนี้ได้ตลอดเวลา เพราะเขาคงทนความเ็ปนี้ไม่ไหว หากดวงตาของเขากลับเป็เหมือนสภาพเดิมที่มองไม่ชัดเจนอีกครั้งมันคงไม่คุ้มกัน
ครั้งหน้าที่เขากลับบ้านเกิด เขาต้องไปสอบถามท่านนักพรตเต๋าที่อยู่ในวัดลัทธิเต๋าแห่งนั้นว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันแน่ หากเขารู้ความจริงก็คงจะทำให้เขารู้สึกสบายใจมากขึ้น
หลังจากส่งข้อความเสร็จ หลินเยว่ก็หลับใหลอยู่ในความฝันด้วยความพอใจ
วันถัดมา หลินเยว่ตื่นขึ้นมาแต่เช้า วันนี้เขาเป็คนทำอาหารเช้า หลังจากเขาทานอาหารเช้ากับฉินเหยาเหยาแล้วเขาจึงออกไปหางานทำ แต่ก่อนเขามีปัญหาเื่สายตา ทำให้เขารู้สึกกลัวการหางานทำ เพราะเขาไม่มีความมั่นใจ
แต่ทว่าตอนนี้เขามีความรู้สึกราวกับเกิดใหม่ ในใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ สำหรับชายหนุ่มรูปร่างกำยำล่ำสันอย่างเขาแล้ว แค่การหางานมันจะยากสักแค่ไหนเชียว ตลกไปละ!
หลินเยว่เดินมายังสถานที่ที่เขามักจะมาอยู่เสมอตลอดสองปีมานี้โดยอัตโนมัติ มันเป็ถนนหินหยกวัตถุโบราณในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง เมื่อเห็นถนนหินหยกวัตถุโบราณอยู่เบื้องหน้า หลินเยว่จึงนิ่งงันไปชั่วขณะ หลังจากนั้นจึงได้แต่ยิ้มอย่างฝืนๆ
เขาอยู่ที่นี่มาสองปี เขาจึงรู้สึกผูกพันกับที่นี่พอสมควร หากเขาสามารถหางานใหม่จากที่นี่ได้ก็คงจะดี แต่หากไม่ได้เขาก็คงต้องไปหางานจากบริษัทจัดหางานแล้วล่ะ
หลินเยว่คิดอยากจะหางานเกี่ยวกับร้านหยกหรือหินหยก แต่ทว่าตอนนี้ยังเป็เวลาเช้ามาก ร้านเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังไม่เปิดทำการ เขาจึงได้แต่เดินเล่นมองตามแผงเล็กๆ บนถนนหินหยกวัตถุโบราณเส้นนี้กลับไปกลับมาเท่านั้นเอง ในใจของเขาคิดว่าไม่แน่หรอกนะเขาอาจจะโชคดีเก็บตกซื้อของแท้ได้ในราคาถูกก็เป็ได้
เขาจะใช้เงินติดตัวจำนวน 600 หยวนรวมกับเงินที่เหลือจากสามเดือนก่อนอีก 100 หยวนมาเก็บตกซื้อของถูกอย่างงั้นหรือ?
หลินเยว่ฝืนยิ้มพร้อมส่ายศีรษะ
“สหายหนุ่ม มาดูของเก่าพวกนี้สิ เพิ่งเก็บมาจากบ้านนอกเลยนะ” ชายฉกรรจ์รูปร่างล่ำสันอายุประมาณสี่สิบกว่าปีพูดเชิญชวนหลินเยว่เสียงดัง
เมื่อหลินเยว่ได้ยินประโยคนี้ เขาจึงเบะปากอย่างแรง สมัยนี้ คนขายของโบราณจำนวน 10 คนจะมีอยู่ 9 คนบอกว่าเป็ของโบราณจากบ้านนอก ส่วนอีก 1 คนที่เหลือจะบอกว่าเป็มรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ วงการวัตถุโบราณพวกนี้ห้ามฟังลมปากของคนขายของอย่างเด็ดขาด หลินเยว่อยู่บนถนนหินหยกวัตถุโบราณแห่งนี้มานาน 2 ปี ถึงแม้ว่าเวลาส่วนใหญ่ของเขาจะขลุกอยู่กับพวกหินหยก แต่ทว่าเขาก็พอรู้เกี่ยวกับเบื้องลึกเื้ัรวมทั้งเล่ห์กลของคนในวงการวัตถุโบราณอยู่บ้าง
เห็นว่าตนเองอยู่ว่างๆ หลินเยว่จึงเดินเข้าไปหาชายฉกรรจ์วัยกลางคนคนนั้น ความรู้สึกในการเฟ้นหาของถูกก็เริ่มปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
หลินเยว่เดินมายืนตรงหน้าแผงของร้านนั้น เขาหยิบชามใบเล็กสีน้ำเงินขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจมากนัก ถึงเขาจะไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับวัตถุโบราณ แต่เป็เพราะเขาได้ยินอยู่บ่อยๆ จึงพอมีความรู้อยู่บ้าง
“สหายหนุ่ม ตาดีไม่เลวเลยนะ นี่เป็ชามลายครามเขียนลวดลายดอกปทุมก้านเกลียวในสมัยจักรพรรดิคังซีแห่งราชวงศ์ชิง เป็ของล้ำค่าที่หาได้ยากมากเลยนะ” ชายฉกรรจ์พูดด้วยน้ำเสียงที่น่าสนใจเป็อย่างมาก เขาพยายามพูดจุดเด่นของชามใบนี้
แต่หลินเยว่ก็ไม่ได้เป็คนที่ถูกหลอกได้ง่ายขนาดนั้น ขณะที่เขาจับชามไว้ในมือ เขาก็รู้สึกว่าชามใบนี้ไม่ค่อยปกติสักเท่าไร สารที่เคลือบอยู่้าขรุขระ ไม่เรียบเลยสักนิด เพียงแค่จับดูก็รู้ว่าเป็ของปลอม ถึงแม้ว่าตรงก้นชามจะเขียนไว้ว่า “ทำขึ้นในสมัยจักรพรรดิคังซีแห่งราชวงศ์ชิง” ก็ตาม แต่ชามใบนี้อย่างมากก็ทำขึ้นในสมัยสาธารณรัฐจีนเท่านั้น อีกทั้งฝีมือก็ไม่ค่อยดีเสียด้วย
หลินเยว่ส่ายศีรษะพร้อมกับวางชามในมือลง หลังจากนั้นเขาจึงสังเกตของชิ้นอื่นๆ ต่อ
ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็ยิ้มอย่างไม่สนใจเท่าไรนัก คนที่อยู่ในวงการวัตถุโบราณต้องเป็คนหน้าหนา ของปลอมต้องพูดให้เหมือนของแท้ ของแท้ต้องพูดให้เป็ของชั้นเลิศ ถึงแม้จะถูกคนอื่นแฉความจริงก็ต้องไม่สนใจ เพราะว่าในวงการวัตถุโบราณสิ่งที่สำคัญก็คือสายตาในการมองสิ่งของ หาคุณมีสายตาเฉียบคม ทุกๆ คนต่างชื่นชมคุณ สิ่งที่คุณพูดออกมาก็ถือว่าเป็การชี้แนะผู้อื่น ดีไม่ดีพวกเขาเ่าั้อาจจะรู้สึกขอบคุณคุณด้วยซ้ำ
หลินเยว่มองของโบราณในร้านนี้จนครบทุกชิ้น สุดท้ายเขาก็ได้แต่ส่ายศีรษะอย่างจำใจ ถึงแม้ว่าจะมีของหลายชิ้นที่ดูเหมือนของแท้ แต่ทว่าราคาของมันคงไม่ถูกอย่างแน่นอน จึงไม่เหมาะสำหรับเขา อีกทั้งเขามีเงินติดตัวทั้งหมดเพียงเล็กน้อย หากของที่เขาซื้อเป็ของปลอม ก็เหมือนเป็การอยากได้ของถูกแต่สุดท้ายต้องเสียเงินซ้ำซากราวกับสูญเสียฮูหยินไม่พอเเล้วยังสูญเสียทหารไพร่พลเข้าไปด้วยนั่นเอง
เมื่อเห็นว่าหลินเยว่จะเดินจากไป ชายวัยกลางคนผู้นี้จึงรีบพูดขึ้น “สหายหนุ่ม รสนิยมสูงจริงๆ ของดีๆ ในร้านของผมทั้งหมดกลับไม่ถูกใจสักชิ้น งั้นก็คงไม่ต้องไปดูร้านอื่นๆ แล้วล่ะ เอาอย่างนี้ไหมล่ะ วันนี้ได้เจอคนรู้จริงผมก็จะไม่เก็บของชิ้นนี้ไว้เองแล้วล่ะ เมื่อวานนี้ผมเพิ่งรับชามใบหนึ่งมาจากบ้านนอก ตอนแรกท่านผู้เฒ่าผู้นั้นบอกว่าเป็มรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ยังไงๆ ก็ไม่ยอมขาย แต่ผลสุดท้ายกลับกลายเป็ว่าหลานชายของเขา้าเร่งแต่งงาน ต้องใช้เงินด่วน จึงต้องนำชามใบนี้ออกมาขาย ผมรอชามใบนี้มานานถึงสองปีถึงจะตกมาถึงมือของผม จะลองดูไหมล่ะ”
ก็เป็นิทานเก่าๆ เื่เดิมๆ อีกเื่เท่านั้นเอง
ถึงแม้ว่าหลินเยว่จะไม่ได้สนใจกับเื่เล่าของชายวัยกลางคนผู้นี้สักเท่าไร แต่ว่าเขารู้สึกสนใจชามใบนั้นอยู่เหมือนกัน
“ในเมื่อเป็ของดี ก็หยิบออกมาให้ผมดูเป็บุญตาหน่อยสิ”
ชายวัยกลางคนหยิบถุงพลาสติกออกมาจากทางด้านหลัง ภายในนั้นมีชามอยู่ใบหนึ่ง ตอนแรกหลินเยว่เห็นว่าเขาหยิบชามออกมาจากถุงพลาสติก ความสนใจต่อชามใบนี้ของหลินเยว่จึงลดระดับลงอย่างรวดเร็ว แต่ขณะที่เขาเห็นชามใบนี้ขึ้นมาจริงๆ หลินเยว่ก็รู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันที
ชามเบื้องหน้าของเขาเป็ชามสีขาว ้าเขียนลวดลายดอกท้อก้านหนึ่ง ก้านของดอกท้อดูเรียวบางอย่างชัดเจนแต่กลับดูมีพลังแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ดอกท้อดอกเล็กๆ เป็สีแดง แต่เมื่อแต่งแต้มอยู่บนพื้นสีขาวจึงดูโดดเด่นมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
เนื่องจากเป็ภาพดอกท้อกำลังบานสะพรั่งท่ามกลางหิมะโปรยปราย จึงดูขาวบริสุทธิ์มีชีวิตชีวา สร้างความน่าสนใจได้มากยิ่งนัก ที่สำคัญที่สุดก็คือตรงด้านข้างมีภาพนกสาลิกาปากดำตัวหนึ่ง โดยภาพนี้ใช้ปลายพู่กันตวัดเพียงไม่กี่เส้นแต่กลับสามารถสะท้อนถึงตัวนกสาลิกาปากดำได้เป็อย่างดี ต้องเป็ผลงานจากช่างยอดฝีมืออย่างแน่นอน
ตัวชามทั้งหมดเป็สีขาวกับสีน้ำเงิน และมีแต้มเล็กๆ เป็ดอกท้อสีแดง ทำให้ผู้ที่มองภาพๆ นี้เกิดความรู้สึกเบิกบานสบายใจ
ถึงแม้ว่าในใจของหลินเยว่จะรู้สึกประหลาดใจ แต่เขาไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใด เขารับชามใบนี้มาและเริ่มสังเกตชามใบนี้ขึ้นทันที