ฮวารั่วซีใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยามกว่าจะมาปรากฏตัว นางแต่งองค์ทรงเครื่องงดงามเลอโฉม ด้วยท่าทางเช่นนี้ทำให้เมื่อเทียบกับเหยียนอู๋อวี้ที่เพิ่งฟื้นจากอาการถูกยาพิษนั้นแลดูอ่อนแอและบอบบางกว่ามาก นางเปรียบเสมือนบุปผาช่อน้อยที่กำลังสั่นเทาซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนของซ่งอี้เฉิน หลังจากนางเสวยยาที่หมอหลวงจัดให้ก็ฟื้นคืนสติ ทว่าแววตาของนางยังคงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าา” สตรีใบหน้างดงามโค้งคำนับทันทีที่นางเดินเข้ามา น้ำเสียงของนางที่เอ่ยออกมาช่างไพเราะเพราะพริ้งยิ่งนัก ทว่ายังไม่ทันรอให้ซ่งอี้เฉินตอบรับตามธรรมเนียม นางก็กลับยืนตัวตรงอีกครั้ง แสดงท่าทางดังเช่นที่นางเคยทำมาตลอด
เหยียนอู๋อวี้จับขอบเตียงพยุงตัว นาง้าลุกขึ้นนั่งเพื่อหลบเลี่ยง ทว่าซ่งอี้เฉินรั้งนางกลับมาอยู่ในอ้อมแขน
ซ่งอี้เฉินมองฮวารั่วซีด้วยแววตาดั่งมีดคมกริบเชือดเฉือน “คุกเข่า เราสั่งให้เ้าลุกขึ้นแล้วหรือ?”
ท่าทางเ็าอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของซ่งอี้เฉินเห็นได้ชัดว่าเกินความคาดหมายของฮวารั่วซี นางใตัวแข็งทื่ออยู่นานกว่าจะคุกเข่าลงอีกครั้งด้วยรอยยิ้มไม่พึงใจนัก “เป็หม่อมฉันที่กระทำผิดธรรมเนียม ฝ่าาทรงยกโทษให้หม่อมฉันในพฤติกรรมที่มิได้ตั้งใจด้วยเพคะ”
“ผิดพลาดโดยมิได้ตั้งใจหรือ?” ซ่งอี้เฉินใช้หางตาแสดงท่าทีเสียดสีมองนาง “มีสิ่งใดในตำหนักหลังแคว้นเซวียนที่พระสนมซูอย่างเ้าทำไม่ได้รึ? กล่าวว่าผิดพลาดได้อย่างไร?”
“ฝ่าา...…” ลักษณะท่าทางของซ่งอี้เฉินในการซักถามชัดเจนมากเสียจนทำให้ฮวารั่วซีตื่นตระหนก คำพูดที่รุนแรงอย่างที่ไม่เคยเอ่ยกับนางมาก่อนส่งผลให้ภายในใจของนางรู้สึกเย็นวูบ นางเหลือบมองเหยียนอู๋อวี้ที่อยู่ในอ้อมแขนของซ่งอี้เฉินด้วยสายตาขุ่นเคืองมุ่งร้าย
ข่าวลือที่ว่าเป็ความจริง ทว่าในชั่วข้ามคืนหัวใจของซ่งอี้เฉินกลับถูกมารยาของอิสตรีล่อลวงไปแล้วจนหมดสิ้น หากนางรู้ว่าจะมีวันนี้ นางคงวางยาพิษทำลายรูปโฉมของเหยียนอู๋อวี้ไปนานแล้ว!
เหยียนอู๋อวี้คล้ายจะรับรู้ได้จากสายตาเกลียดชังของนาง ร่างกายนางพลันสั่นเทิ้มทำให้ซ่งอี้เฉินต้องกอดนางแน่นขึ้นพร้อมกับยกมือคว้ากล่องใบชาแล้วโยนมันไปทางฮวารั่วซี “สตรีต่ำช้า!”
กล่องใบชาลอยเฉียดหน้าผากฮวารั่วซี ทิ้งรอยเืบางๆ บนหน้าผากของนาง ลูกปัดดอกไม้บนขมับเองก็ถูกกระแทกตกลงพื้นเช่นกัน นางโน้มตัวแสดงอาการน้อยเนื้อต่ำใจ “ฝ่าา หม่อมฉันถูกใส่ร้ายเพคะ...... ฝ่าาได้โปรดให้ความเป็ธรรมด้วยแก่หม่อมฉันด้วยเพคะ”
“หากเราสืบสวนอย่างละเอียดจริงๆ เกรงว่าจะมีมากกว่านี้แน่” ซ่งอี้เฉินดึงผ้านวมคลุมตัวเหยียนอู๋อวี้พลางปัดเส้นผมที่ยุ่งเหยิงระหว่างคิ้วของนางอย่างระมัดระวัง
ดวงตาของฮวารั่วซีพลันแดงก่ำจนเส้นเืฝอยแทบจะปริแตก นางเข้าวังมาสามปี เป็พระสนมและเป็ถึงนายหญิงที่มีอำนาจเด็ดขาดในวังของนาง คนอื่นๆ ต่างบอกว่านางเป็คนเดียวที่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าา ทว่านางกลับไม่รู้ว่าทุกคนต่างมีอารมณ์ที่ซับซ้อน เวลานี้หากไม่เห็นด้วยตาตัวเองคงไม่เชื่อว่าบุรุษผู้นี้จะมี่เวลาที่อ่อนโยนเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเช่นนี้
เมื่อนางใคร่ครวญคำพูดของซ่งอี้เฉินอย่างรอบคอบ นั่นยิ่งทำให้นางรู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก เื่ที่นางทำได้ในอดีต ในเวลานี้นางไม่สามารถทำได้อีกแล้ว เป็เพราะซิ่วหนี่ว์ใหม่นางนี้หรือ? หรือเป็เพราะเขาไม่เคยใส่ใจนางมาั้แ่แรกเริ่มแล้ว?
เหยียนอู๋อวี้ เ้าสมควรตาย!
แววตาของนางเผยให้เห็นถึงไอสังหาร หยาดน้ำตารินไหลออกมา “หม่อมฉันไม่เคยพบกับสนมเหยียนมาก่อนเลยเพคะ หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ ว่าฝ่าากล่าวถึงเื่อันใด ฝ่าาได้โปรดตรวจสอบให้แน่ชัดด้วยเพคะ”
ซ่งอี้เฉินเหลือบมองใบหน้านาง “พระสนมซู เ้าลองดูสิว่าบนพื้นนั้นคือสิ่งใด?”
ใบชากระจัดกระจายเต็มพื้นและมีกลิ่นหอมรุนแรง ม่านตาของฮวารั่วซีหดแคบลง นางเข้าใจเหตุการณ์ได้ในทันที ทว่าหลังจากคิดได้แล้ว ความสับสนของนางกลับมากยิ่งขึ้น
นางเชี่ยวชาญเื่ยาพิษ หากนางลงมือย่อมรู้ถึงความรุนแรงของพิษ พิษออกฤทธิ์ช้าเช่นนี้ไม่เคยปรากฏชัดเจนและทันทีเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นขณะที่นางเตรียมวางยาพิษ นางไม่ตั้งใจจะสังหารเหยียนอู๋อวี้ให้สิ้น
ภายใต้ความประหลาดใจ นางก้มหน้าลงพร้อมกล่าวทูลว่า “ใบชานี้เป็ชายอดอ่อนใบม่วงจากเขากู้จู่ที่ฝ่าาประทานให้หม่อมฉัน หม่อมฉันนำไปมอบให้น้องเหยียนเพื่อแสดงความยินดีที่ย้ายเข้ามาพำนักในตำหนักเฟิ่งชัยเพคะ”
หลังจากซ่งอี้เฉินได้ฟังคำอธิบายของนางพลันส่งสายตาไปทางซางจือิที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างด้วยสายตามีเลศนัยพร้อมรอยยิ้มดุร้าย “หมอหลวงซาง เ้าบอกพระสนมซูหน่อยเถิดว่าเ้าพบสิ่งใดในใบชานี้”
เมื่อฝ่าาเอ่ยนามของซางจือิ อีกฝ่ายแทบจะทรุดลงกับพื้น เหตุใดจึงต้องเป็เขาด้วย?
ซางจือิกำหมัดแน่นจนเล็บจิกลงบนฝ่ามือ หลังจากนั้นไม่นานเขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ในใบชานี้มีส่วนผสมของผงฟานมู่เปีย หลังจากที่สนมเหยียนดื่มลงไปแล้ว จะทำให้โรคเก่ากำเริบและอาจจะทำร้ายถึงชีวิตได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮวารั่วซีได้ยินเช่นนั้นพลันรู้สึกราวกับถูกอสนีบาตฟาดเข้ากลางกระหม่อม นางส่ายศีรษะอย่างสิ้นหวัง น้ำตาไหลอาบเต็มสองแก้ม “ฝ่าา หม่อมฉันมิได้ หม่อมฉัน......”
“เ้ามิได้อันใด? มิได้อยากฆ่าอวี้เอ๋อร์เช่นนั้นหรือ หรือว่ามิได้ตั้งใจลอบสังหารเรา?” ซ่งอี้เฉินเอ่ยข้อแก้ตัวของนางด้วยสีหน้าถมึงทึง
“หม่อมฉันไม่มีเจตนาเช่นนั้นจริงๆ เพคะ ฝ่าาเชื่อหม่อมฉันเถิดเพคะ...…” ท่าทางออดอ้อนเอาอกเอาใจของฮวารั่วซีหายไปอย่างสิ้นเชิง นางคุกเข่าลงกับพื้นเอ่ยปากพูดโต้แย้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เมื่อเหยียนอู๋อวี้เห็นลักษณะท่าทางลนลานของนางพลันรู้สึกโศกเศร้าภายในใจเล็กน้อย แรกเริ่มซ่งอี้เฉินใส่ใจฮวารั่วซีมาก ทว่ายามนี้เขากลับใจจืดใจดำ บุรุษผู้นี้ไม่เคยแสดงความจริงใจออกมาเลยหรือ
อารมณ์รักใคร่ประหนึ่งไม้งาม ครั้นเมื่อเหี่ยวเฉาแล้วจิตใจคนย่อมแปรเปลี่ยน
เหลียนหงไร้ซึ่งท่าทีหยิ่งผยองเหมือนเช่นเคยยามที่นางถูกองครักษ์ลากเข้ามา ยามนี้ริมฝีปากนางเป็สีขาวอมม่วง ร่างกายเต็มไปด้วยคราบเื เห็นได้ชัดว่านางผ่านการถูกทรมานอย่างหนัก ศีรษะของนางตะแคงห้อยไปทางด้านข้าง แม้กระทั่งลมหายใจก็ยังอ่อนระทวยแทบจะสิ้นลม
“รับสารภาพแล้วหรือ?” ซ่งอี้เฉินเอ่ยถามหลี่ว์เหลียงฝู่โดยมิได้ชายตามองเลยแม้แต่น้อย
“กราบทูลฝ่าา นางกำนัลผู้นี้ปากแข็งนัก ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็ไม่ยอมปริปากเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนอู๋อวี้ยิ้มเยาะเย้ยอยู่ภายในใจ เหลียนหงไม่ยอมสารภาพแน่นอน หากนางยอมรับสารภาพ ไม่ว่าฮวารั่วซีจะมีจุดจบอย่างไร นางล้วนหนีไม่พ้นต้องตาย หากนางไม่ยอมรับสารภาพ บางทีฮวารั่วซีอาจจะรอดพ้นจากภัยครั้งนี้ก็เป็ได้ และอาจจะปกป้องชีวิตนางได้เช่นกัน จะจัดการอย่างไรนางแทบไม่ต้องครุ่นคิดเลย
เหลียนหงเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้างุนงงและเห็นฮวารั่วซีคุกเข่าอยู่บนพื้นสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง คราแรกนางรู้สึกไม่น่าเชื่อในสิ่งที่เห็น ทว่าหลังจากนั้นพลันรู้สึกสิ้นหวัง
ประสบการณ์ที่นางเคยผ่านมาในวังหลวงหลายปีบอกนางว่าคราวนี้นางคงไม่รอด
“เหลียนหง เ้ารีบบอกฝ่าาไปสิ เปิ่นกง[1]ไม่ได้วางยาพิษน้องเหยียน ข้าเพียงอยากผูกมิตรกับน้องเหยียนอย่างจริงใจเท่านั้น” ฮวารั่วซีเดินไปคว้าชายเสื้อของเหลียนหง ทว่ามือของนางกลับไถลเลื่อนไปบนร่างกายของเหลียนหงในจุดที่ทุกคนมองไม่เห็น
“หากเ้ารับผิดแทนข้า ข้าจะปล่อยครอบครัวของเ้า หาไม่นั้นครอบครัวของเ้าทุกคนไม่มีทางรอด”---- เหลียนหงหลับตาเงยหน้าขึ้น น้ำตาเอ่อคลอไหลรินที่หางตา “บ่าวเป็คนทำเองเ้าค่ะ”
“ฮวารั่วซี สุนัขรับใช้ตัวนี้ของเ้าเลี้ยงได้ดีนัก” ซ่งอี้เฉินยกยิ้มมุมปากเย้ยหยัน
ฮวารั่วซีรู้ดีว่าครั้งนี้ซ่งอี้เฉินไม่มีทางเชื่อใจนางอีกต่อไปเป็แน่ ขอเพียงนางไม่ตายอยู่ตรงนี้ นางก็ยังมีโอกาส ตระกูลของนางมิได้เข้มแข็งยิ่งใหญ่อันใดนัก หากนางไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ต่อไปภายภาคหน้าชีวิตในวังหลวงของนางจะต้องลำบากอย่างแน่นอน ทว่าขอเพียงนางมีชีวิตรอด นางก็ยังมีโอกาสพลิกฟื้น หากนางตายทุกอย่างย่อมจบสิ้น
ในวังหลวงแคว้นเซวียน สตรีกำพร้าอย่างนางไม่ว่าจะตะเกียกตะกายให้สูงเพียงใด หากตายไปแล้วก็ไม่สามารถทำอันใดได้อีก
“บ่าวได้ยินมาว่าสนมเหยียนได้รับความโปรดปรานจากฝ่าา พระสนมซูมีพระคุณกับบ่าวมากนัก บ่าวไม่อาจทนดูพระสนมเศร้าโศกเสียใจในเื่นี้ ดังนั้นบ่าวจึงผสมผงฟานมู่เปียลงไปในใบชาและนำไปมอบให้สนมเหยียน เื่ราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น บ่าวกระทำโดยพลการและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระสนมซูเลยเ้าค่ะ”
เมื่อเหยียนอู๋อวี้ได้ยินคำสารภาพของเหลียนหงที่ไม่น่าเชื่อก็รู้ทันทีว่าเื่นี้ก็คงจบเพียงเท่านี้ เมื่อเหลียนหงเป็ฝ่ายที่จะยอมรับผิดทั้งหมด ดังนั้นจึงเป็เื่ยากที่จะสาวความออกมาอีกโดยไร้ซึ่งหลักฐานที่แ่า
ทว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว นางเองก็ไม่ได้คิดที่จะจัดการฮวารั่วซีให้ลงนรกเพียงเพราะเหตุการณ์นี้
“ลากนางกำนัลต่ำช้าคนนี้ออกไปตีให้ตาย แล้วให้พระสนมซูดูกระบวนการลงทัณฑ์ทุกขั้นตอน พระสนมซู ฮวารั่วซีทำความผิดพลาดใหญ่หลวง ไม่เข้มงวดกับบ่าวรับใช้ กักบริเวณนางเป็เวลาสามเดือนและตัดเบี้ยหวัด” ซ่งอี้เฉินมองฮวารั่วซีด้วยสีหน้าอึมครึมพร้อมกับถอนหายใจ จากนั้นจึงค่อยๆ กล่าวเสริม “พระสนมซูไร้ความสามารถ ไร้คุณสมบัติที่จะดูแลงานในตำหนักหลัง ดังนั้นมอบงานทั้งหมดให้กับลี่เจาอี๋ทันที”
“ฝ่าา----” ฮวารั่วซีนึกไม่ถึงว่านางจะถูกริบอำนาจพร้อมกันไปด้วย นางรู้สึกไม่เต็มใจนัก นางนอนอยู่บนพื้นและกำลังจะโต้แย้งสองสามคำ ทว่าผู้ใดจะไปรู้ ซ่งอี้เฉินพลันชักสีหน้าเ็าพร้อมกับคว้าถ้วยชาโยนออกไป “ยังไม่รีบจัดการอีก ลากตัวนางออกไปเดี๋ยวนี้!”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง คนในวังต่างมองหน้ากันและกัน ไม่มีผู้ใดกล้าชักช้า รีบลากฮวารั่วซีและเหลียนหงออกไปพร้อมกันทันที
ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนของเหลียนหงพลันดังมาจากด้านนอก เคล้าเสียงร่ำไห้ของฮวารั่วซีที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
เื่นี้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งวังหลวงภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าพระสนมซูที่มีอำนาจประหนึ่งฮองเฮาจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ และสาเหตุหลักก็มาจากเหยียนซิ่วหนี่ว์ที่เพิ่งจะได้มีโอกาสรับใช้ฝ่าาเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น
ยามที่พระสนมซูเป็ที่โปรดปราน นางก็สามารถกระทำตามใจปรารถนาได้ทุกสิ่งอย่างในตำหนักหลัง ครั้นเมื่อฝ่าาพบของใหม่ พระสนมซูซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีอำนาจก็สามารถถูกโค่นลงมาได้ในชั่วข้ามคืนเช่นกัน
ฮ่องเต้ผู้ไร้ศีลธรรม ย่อมเป็เช่นนั้น
ความโเี้ของฮ่องเต้ ย่อมไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า
ทั่วทั้งวังหลวงตกอยู่ในความสับสนชั่วขณะ บางคนตื่นตระหนก บางคนปีติยินดี และบางคนรู้สึกหวาดกลัว
เชิงอรรถ
[1] เปิ่นกง หมายถึง คำเรียกแทนตัวเองของพระสนมหรือองค์ชาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้