"อะไรนะ! เทพ! "
"อะไรนะ! ั! "
ความโกลาหลเกิดขึ้นในห้องประชุมทันทีเพราะเทพกับัคือสิ่งที่แวมไพร์ไม่สามารถต่อกรได้สักอย่าง แต่สายเืที่น่ากลัวทั้งสองดันไหลเวียนอยู่ในตัวมนุษย์ผู้นี้ แถมยังเป็เทพแห่งแสงสว่างและัที่แข็งแกร่งที่สุดของยุคอีกต่างหากทำอะไรให้ไม่พอใจขึ้นมา จักรวรรดิไม่ล่มสลายเพราะเด็กคนนี้งั้นรึ รัชทายาทไปเจอตัวมาได้ยังไงกัน
ปึง!
"เงียบ แล้วฟังที่รัชทายาทพูดต่อ" จักรพรรดิทุบโต๊ะเพื่อปรามให้เหล่าแวมไพร์ทั้งหมดสงบลงทั้งในห้องประชุมและนอกห้องประชุม เสียงที่เปล่งออกมาช่างทรงพลังยิ่งนัก
"เื่ชาติกำเนิดน่าจะหมดปัญหาแล้ว ต่อไปคือเื่ที่ว่าอาการของข้าจะเป็อะไรไหม ข้าแค่ดีฟไปสองสามวันเพราะทำงานหนักเฉยๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและสั่นคลอนทั้งนั้น ใครที่หวังจะชิงบัลลังก์ ก็รีบล้มเลิกไปซะ ถ้ายังอยากมีชีวิตที่ยืนยาวต่อไป"
"ข้าไม่ได้หวังให้ประชาชนเห็นด้วยมากนัก แต่ประชาชนบางส่วนที่เคยเจุ์ผู้นี้แล้วก็รับรู้ได้ใช่หรือไม่ว่าเขาไม่ได้เป็อันตรายกับพวกเรา เพราะฉะนั้นก็ขอให้นำไปพิจารณากันด้วย"
"หมดวาระการประชุมแล้ว เลิกประชุมได้" ดยุคตระกูลโฟลช์ ปิดพิธีการประชุม
ทุกคนต่างออกจากห้องประชุมไปพลางหวาดระแวงบุคคลที่จะกลายเป็จักรพรรดินีคนต่อไป กลัวว่าถ้าทำอะไรไม่เข้าตาจะถูกทำให้ตายอย่างแสบสาหัสหรือเปล่า ซึ่งคนที่ถูกมองอย่างไวท์ก็ส่งยิ้มหวานกลับไป สายเืของเทพแห่งแสงสว่างทำให้เขาดูเปล่งประกายตลอดเวลาแม้กระทั่งเวลาที่หลับอยู่ มีเสน่ห์เหลือล้นจนใครก็อยากจับจ้องเป็เ้าของ สายเืของัคือความแข็งแกร่ง อดทน เด็ดเดี่ยว ข้อนี้ก็ทำให้ร่างสูงโปร่งไม่หวั่นไหวต่อที่ประชุมแม้ว่าจะถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
จากสายตาดูถูกกลายเป็ชื่นชมเหล่าลูกขุนนางหลายคนที่เป็ผู้ชายเข้ามาทักทายด้วยความนับถือกับการพูดจา การวางตัวที่แม้ไม่ได้รับการอบรมแต่ทำได้ดี แต่กลายเป็ที่เกลียดชังของเหล่าลูกสาวขุนนางและเชื้อพระวงศ์ เพราะหลายๆ คนคาดหวังที่จะได้เป็จักรพรรดินีหรือราชินีหรือแม้แต่สนมก็ขอให้ได้เป็ แต่เหมือนจะไม่สมหวังเสียแล้วถ้ามีตัวจริงมาปรากฏตัวเสียแบบนี้
"เมล์ เ้าพากระรอกน้อยไปหาคนที่ข้าเตรียมไว้ที่นะ" คีย์สั่งเสียงเรียบพลางเดินตามจักรพรรดิไปยังห้องทำงาน
"พะยะค่ะ ตามข้ามาที่นี่ขอรับ คุณชายไวท์" ร่างสูงโปร่งเดินตามคนสนิทของรัชทายาทไปทางจนมาถึงสวนด้านหลังของวังก็พบกับคนจำนวนหนึ่งประมาณจากสายตาไม่น่าจะต่ำกว่าสามร้อยคน แล้วให้เขามาเจอทำไมงั้นรึ มีเื่อะไรกันหรือเปล่า
"คนๆ นี้คือ ทอม เฟลิกซ์ จากนี้ไปเขาคือคนสนิทของคุณชาย ส่วนเื่ยศนั้นไว้เป็เื่ที่จัดการทีหลังขอรับ"
"ผมชื่อทอม เฟลิกซ์ เป็ลูกครึ่งแวมไพร์และกลุ่มคนข้างหลังทั้งหมดก็เป็ลูกครึ่งเหมือนผมขอรับ" ทอมบอกพลางโค้งให้อย่างมีมารยาทต่อหน้าว่าที่จักรพรรดินีคนต่อไป
"ยินดีที่ได้รู้จัก ผมชื่อริค ไวท์ เป็ลูกครึ่งเทพัอย่างที่ได้ยินไปในห้องประชุมครับ" ความสดใสของไวท์ได้ใจเหล่าลูกครึ่งแวมไพร์ที่มารวมตัวกันทั้งหมด สมกับที่รัชทายาทได้บอกเอาไว้ หากได้รับใช้คนแบบนี้ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวว่าจะโดนดูถูกหรือเหยียดหยาม เพราะเป็คนประเภทเดียวกัน
"ข้าขอตัวนะขอรับ ต้องรีบตามรัชทายาทไปทำงาน"
"ครับ ขอบใจมากนะเมล์" จู่ๆ ใบหน้าของเมล์ก็ร้อนขึ้นมาซะอย่างงั้น เสน่ห์ของเทพแสงสว่างกับัมีผลขนาดนี้เชียวหรือเนี่ย อันตรายเป็อย่างมาก ต้องระวังหัวใจของตัวเองเอาไว้หน่อยแล้ว
"ผมเรียนเื่ยศของเหล่าขุนนางมาพอสมควร ไม่ทราบว่ามีใครสอบเข้ายศของที่จักรวรรดิหรือเปล่าครับ" สิ่งที่ร่างสูงโปร่งถามออกไปนั้นทุกคนได้แต่ส่ายหัว ดูจากเสื้อผ้าหน้าผมแล้วเหมือนไม่ได้รับการใส่ใจเท่าไหร่เลย แบบนี้ต้องปฏิวัติกันหน่อยแล้ว
"เฟลิกซ์ รู้ไหมว่าทุกคนทั้งหมดมีกี่คน ผมกะจากสายตาน่าจะไม่ต่ำกว่าสามร้อยคนแต่อยากทราบจำนวนที่แน่นอน สามารถบอกผมได้ไหม" ถ้อยคำที่เปล่งเสียงออกมานั้นช่างอ่อนหวานได้ใจเหล่าลูกครึ่งแวมไพร์เป็อย่างมาก ตอนที่เห็นเหตุการณ์ในห้องประชุมมันช่างตึงเครียดแต่เ้านายของพวกเขาอบอุ่นและใส่ใจถึงเพียงนี้ ทำให้ทุกคนยอมก้มหัวให้แต่โดยดีทั้งที่ยังไม่มีคำสั่งอะไรทั้งนั้น
"ถ้าเป็ท่านพวกเราจะยอมติดตามไปชั่วชีวิต"
"พวกเรายอมรับท่านเป็นายเหนือหัวของพวกเรา"
คำถามก็ไม่ตอบแล้วจะมาพาก้มหัวให้เขาทำไมเนี่ย หันไปทางไหนก็ก้มหัวกันหมดจะเหลือก็แค่ เฟลิกซ์เพียงคนเดียว แปลว่าต้องถามคนนี้เท่านั้นสินะ ดูท่าน่าจะรู้เื่มากที่สุดในกลุ่มแล้ว
"เฟลิกซ์ นายไม่ได้ยินที่ผมถามเหรอ" ไวท์เริ่มคาดคั้นเพราะทุกคนมัวแต่ทำความเคารพกันอยู่โดยไม่สนใจคำพูดของเขาเลย
"ทั้งหมด 500 คน ขอรับ คุณชาย" จำนวนมากกว่าที่ประเมินเอาไว้ มิน่าล่ะ! สวนออกจะกว้างแต่พอยืนรวมกันแบบนี้แล้วจำนวนเยอะมากเลยทีเดียว
"ผมเองก็ไม่ค่อยรู้ว่าในวังหลวงมีอะไรบ้าง ถ้างั้นลองเล่าเื่ของทุกคนให้ฟังหน่อยสิ ขอตัวแทนสักหนึ่งคนออกมาเล่า จะเป็ใครก็ได้ ฟังได้ทุกคน"
มีเด็กคนหนึ่งก้าวออกมาเล่าให้ฟังอย่างตั้งใจ ร่างสูงโปร่งเองก็นั่งฟังอย่างตั้งใจเช่นกัน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้เส้นทางในวังหลวงแต่การรับฟังความเป็ไปของพวกเขาน่าจะช่วยทำให้รู้อะไรบ้างไม่มากก็น้อย ชีวิตความเป็อยู่ของพวกเขาช่างน่าสงสารนัก ถูกกีดกั้นออกจากพ่อและแม่ไม่ให้อยู่ด้วยกัน เด็กทุกคนต้องไปอยู่รวมกันที่หมู่บ้านหนึ่งหลังจากอายุครบสองปี ส่วนพ่อกับแม่ให้ไปทำงานเดิมที่ตนเองเคยทำ ห้ามแต่งงานหรืออยู่ด้วยกันอย่างเด็ดขาด
ช่างโหดร้ายยิ่งนัก แบบนี้เองที่เขาเรียกว่าความห่างของชนชั้นและการเป็คนแปลกกว่าคนอื่นทำให้ถูกกีดกันเช่นนี้ ความเ็ปที่ได้รับต้องมีมากแค่ไหนก็ไม่มีใครประเมินได้ ทุกคนมองเห็นคุณชายหล่อเหลาตรงหน้าว่าคือคนที่จะช่วยให้หลุดพ้นจากความทุกข์เหล่านี้ไปได้ น้ำเสียง ท่าทาง การวางตัว ช่างเหมาะสมกับรัชทายาทยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดถึงถูกเลือกเช่นนี้
"อยู่ที่นี่เองรึหนูไวท์" จักรพรรดินีเอ่ยเรียกด้วยความเอ็นดู ตอนแรกเธอคิดว่าการที่ลูกชายของเธอเรียกเหล่าลูกครึ่งแวมไพร์กับมนุษย์ให้มารับใช้นั้นเป็เื่ที่ไม่สมควร แต่พอมาเห็นเหตุการณ์ที่กลุ่มคนเหล่านี้ไม่เคยก้มหัวให้ใครง่ายๆ แม้ว่าจะเป็จักรพรรดิก็ตามแต่กลับโอนอ่อนให้เด็กคนนี้ ช่างมีวาจาในการพูดอย่างแน่นอน
ในสายตาคนภายนอกหมู่บ้านลูกครึ่งแวมไพร์คือสถานที่ๆ ไม่ควรเข้าไปยุ่ง น่ากลัว สกปรก ไม่น่าเข้าหา แต่มันได้เปลี่ยนไปั้แ่ที่ลูกชายคนโตของเธอเติบโตและได้รับตำแหน่งรัชทายาท สถานที่แห่งนั้นกลายเป็ที่กินดีอยู่ดีและได้รับการศึกษาที่ดีไม่ต่างจากแวมไพร์หรืุ์ แถมยังมีฝีมือการต่อสู้ที่ร้ายกาจมาก เนื่องจากไม่เคยมีใครไปเข้าในหมู่บ้านแห่งนั้นจึงไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงว่าเป็อย่างไร
แต่ทำไมรัชทายาทถึงให้คนเ่าั้แต่งตัวเหมือนไม่ได้รับการอบรมแบบนั้น ไหนจะกิริยามารยาทอีก แต่ดูเหมือนว่าไวท์จะไม่รู้สึกอะไรกับการคุยกับคนที่มีฐานะต่ำต้อยกว่าตนเองแถมยังนั่งพื้นอย่างสบายใจอีกต่างหาก หรือว่าลูกของเรา้าจะทดสอบอะไรบางอย่างจากลูกไวท์อย่างแน่นอน เพราะเห็นเมล์ไปแอบอยู่ตรงนั้นตั้งนานแล้ว ต้องเป็แบบทดสอบอะไรสักอย่างแน่ๆ
"พอดีหม่อมฉันไม่รู้ทางในวังหลวงหรือแม้แต่ที่อื่น ก็เลยชวนพวกเขาคุยครับจะได้ทำความรู้จักกันไว้ ส่วนเื่อื่นค่อยว่ากันทีหลัง แล้วท่านจักรพรรดินีล่ะครับ" เสียงหวานตอบกลับไปด้วยใบหน้าสดใสร่าเริงในขณะที่เหล่าลูกครึ่งแวมไพร์พากันใแสดงว่ามีแผนทดสอบเ้านายตัวเองสินะ เจอคนแบบหนูไวท์เข้าไปพวกนายตามความสดใสไม่ทันหรอกนะจะบอกให้
