เอาใจว่าที่ชิ่งเจีย [1] เรียบร้อยแล้ว ก่อนชิ่งเจียจากไปยังยัดปลาไหลนาตัวเท่าแขนสองตัวใส่มือให้ หลังจากที่เดินไปส่งที่หน้าประตูบ้านแล้ว เฉินชุ่ยอวิ๋นจึงค่อยปล่อยวางหัวใจที่แทบกระดอนถึงคอลงได้ในที่สุด เมื่อหันกลับมามองเจิ้งหยวน จมูกยังเป็จมูกทรงเดิม ดวงตาคู่เดิม ริมฝีปากก็เหมือนเดิม ทำไมความรู้สึกที่ส่งผ่านมาถึงแตกต่างไปจากเดิมกันนะ?
แล้วเมื่อกี้เธอน้ำตาไหลใช่ไหม? ลูกสาวเธอเมื่อก่อนหัวแข็งจะตาย โดนตีแค่ไหนก็ไม่เคยร้องไห้สักแอะ! เธอเพิ่งตาฝาดไปหรือเปล่า?
เฉินชุ่ยอวิ๋นจับแขนเจิ้งหยวนแล้วลากเข้าไปในห้องโถง “แกบอกฉันมา เมื่อกี้แกร้องไห้ทำไม?”
“ถ้าฉันไม่ร้องไห้ คุณแม่เฝิงเจี้ยนเหวินจะยอมเชื่อเหรอว่าฉันไม่ได้รับความเป็ธรรมจริงๆ ?”
เฉินชุ่ยอวิ๋นนิ่งงัน คิดหาคำพูดอื่นใดไม่ได้ “…ไม่สิ เมื่อกี้แกแกล้งทำเหรอ?”
“ฉันน่ะหรือจะร้องไห้จริงๆ ? ” เจิ้งหยวนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก ก่อนคว้าผ้าเช็ดหน้าออกมาสั่งน้ำมูก เธอร้องจนน้ำมูกไหลเกรอะกรังหมดแล้ว เฮ้อ
ตอนเธอทำธุรกิจแรกๆ บางรายการไม่อาจปิดบัญชีได้ทันเวลา บริษัทอื่นเลยส่งคนมาทวงหนี้ เธอจะรับหน้าพวกเขาตรงๆ ได้หรือ? ทักษะการแสดงขั้นสูงถูกงัดนำออกมาใช้ จำเป็ต้องร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญถึงความลำบากของตนเอง ขอให้พวกเขาผ่อนผันอีกสักสองสามวัน เรียกได้ว่าทักษะการแสดงเข้าขั้นสั่งน้ำตาได้จึงฝึกมาั้แ่ตอนนั้นนั่นเอง
สายตาที่เฉินชุ่ยอวิ๋นมองเจิ้งหยวนนั้นยากจะอธิบายจริงๆ
“จริงด้วย! ปลาไหลฉันยังตุ๋นอยู่ในหม้อไม่ใช่เหรอ!” เจิ้งหยวนเคาะหัวตัวเองแล้วรีบวิ่งปรี่ไปอย่างรวดเร็ว
ด้านหลี่จินจือ ครั้นกลับถึงบ้าน สามีของเธอ เฝิงชางหย่งที่อยู่บ้านอยู่แล้ว เขากำลังนั่งยองๆ สูบบุหรี่ตรงธรณีประตู เมื่อเห็นภรรยากลับมา เขาจึงเคาะก้นบุหรี่ก่อนเอ่ยถาม “ว่ายังไง? ลูกสาวสกุลเจิ้งคนนั้นน่ะ…”
แม้หลี่จินจือโดนเจิ้งหยวนหลอกจนเชื่อเต็มอกแล้ว ถึงกระนั้น เธอก็ยังขบคิดมาตลอดทาง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหนักใจ “เด็กสาวคนนั้นพูดเต็มปากเต็มคำว่าไม่จริง… แต่ตาเฒ่า ฉันว่านะ เจี้ยนเหวินของเราดีขนาดนี้ ทำไมยังหมั้นเจิ้งหยวนให้เขาล่ะ แม้เื่นั้นจะเป็การปรักปรำกัน แต่ชื่อเสียงเธอก็เสียหายไปแล้ว คนส่วนใหญ่ต่างพูดถึงเธอไม่ดีทั้งนั้น”
เฝิงชางหย่งเหลือบมองเธอ “งั้นเธอเขียนจดหมายเปลี่ยนคู่ไปให้ลูกอีกสิ? เธอคิดว่าลูกจะเห็นด้วยไหม? กว่าจะเกลี้ยกล่อมให้เขาตกลงแต่งงานได้ อย่าทำเื่ไร้สาระเลย”
หลี่จินจือหัวเราะแห้งสองคำรบ เฝิงเจี้ยนเหวินนิสัยอย่างไร แม่อย่างเธอมีหรือจะไม่รู้ เขาชอบก่อเื่ ชอบต่อยตีมาั้แ่เล็ก ทั้งยังยึดมั่นในความคิดของตัวเอง ไม่มีใครสามารถควบคุมเขาได้ เธอไม่ถือสาเจิ้งหยวนที่นิสัยไม่ดีก่อนหน้านี้ ก็เพราะคิดว่าลูกชายตัวเองร้ายกาจสามารถดัดนิสัยเธอได้เนี่ยแหละ คนในชนบทต่างแต่งงานกันเร็ว เด็กสาวบางคนอายุสิบหกสิบเจ็ดก็ออกเรือนแล้ว เธอเกลี้ยกล่อมลูกชายให้กลับมาแต่งงานตลอดสองปีที่ผ่านมา ปีนี้ลูกชายยอมตกลงในที่สุด อยู่ๆ เธอจะเปลี่ยนคู่หมั้นคู่หมายให้กะทันหัน บางทีเขาอาจหาเหตุผลแปลกๆ มาขอเลื่อนไปอีกปีสองปีก็เป็ได้
เมื่อเฝิงชางหย่งเห็นหลี่จินจือคิดจนปลงตกแล้ว จึงถอนหายใจเล็กน้อยแล้วบอกว่า “สกุลเจิ้งบอกว่าไม่มี ก็ต้องไม่มีอะไรแน่นอน ฉันรู้จักนิสัยเฉวียนกังดี”
“งั้นต้องเขียนจดหมายบอกเจี้ยนเหวินเื่ภรรยาเขาไหม?”
เฝิงชางหย่งถลึงตาใส่เธอ “ไม่ต้อง เธอจะเสี้ยมให้ผิดใจกันหรือไง!”
หลี่จินจือเผยสีหน้าละอายใจ เธอถูมือไปมา พลันก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงร้องบอกว่า “โอ้ จริงด้วย สกุลเจิ้งให้ปลาไหลนาเรามาหลายจินเลย วันนี้เราตุ๋นปลาไหลกินกันเถอะ!”
เฉินชุ่ยอวิ๋นดำเนินการกักบริเวณเจิ้งหยวนตามที่ตัวเองพูดไว้จริงๆ ขนาดเธอบอกว่าจะออกไปทำงานเก็บแต้มสักหน่อย เฉินชุ่ยอวิ๋นยังบอกไม่ต้อง ที่บ้านไม่ได้ขาดแคลนของกินเสียขนาดนั้น ให้เธอสงบเสงี่ยมอยู่ในบ้านรอแต่งเข้าสกุลเฝิงปลายปีอย่างราบรื่นจะดีเสียมากกว่า
คนในบ้านส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการกระทำของเฉินชุ่ยอวิ๋น แม้เจิ้งหยวนจะดึงเจิ้งเจวียนมาช่วยพูดให้ คะแนนเสียงก็ยังเป็สี่ต่อสอง ไม่ได้ผลใดๆ เลยแม้แต่น้อย
เจิ้งหยวนเลยได้แต่ช่วยเฉินชุ่ยอวิ๋นทำงานบ้าน ให้อาหารหมู ให้อาหารไก่ตรงลานบ้าน ครอบครัวเจิ้งหยวนมีหมูทั้งหมดหนึ่งตัว และไก่อีกแปดตัว หมูเป็สินค้าเกษตรที่รัฐรับซื้อ สกุลเจิ้งจึงเลี้ยงไว้ในคอกหลังบ้าน เมื่อถึงปลายปีก็สามารถเหลือเนื้อไว้กินเองครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งก็นำไปขายได้เช่นกัน หนึ่งจินราคา 0.78 เหมา รวมแล้วจะขายได้ประมาณห้าสิบถึงหกสิบหยวน ส่วนไก่ทั้งหมดมีสี่ตัวเป็แม่ไก่แก่ เลี้ยงมานานถึงสองปีแล้ว อีกสี่ตัวที่เหลือคือลูกเจี๊ยบที่เพิ่งฟักออกมา่ฤดูใบไม้ผลิ อายุแค่สามเดือนกว่า จึงยังออกไข่ให้ไม่ได้
ครานั้น เจิ้งหยวนจึงพึงฉุกคิดได้ว่าไก่จะออกไข่มากขึ้นหากพวกมันกินดี ทั้งยังเคยได้ยินด้วยว่าสามารถเลี้ยงไส้เดือนเป็อาหารให้ไก่ได้ แต่หลังจากเคยใช้ชีวิตมั่งคั่งมาหลายปี เลยทนเลี้ยงหนอนตัวเรียวยาวแถมยังขยับขยุกขยิกกองพะเนินไม่ค่อยจะไหวนัก จึงหยิบเศษเมล็ดข้าวโพดจากมิติมาป้อนพวกมันแทน เหอะ สัตว์พวกนี้มันกินดีกว่าคนเสียอีก!
แม้หน้าร้อนอากาศจะอบอ้าว ทำให้แม่ไก่ไม่ค่อยจะฟักไข่ แต่ไก่สี่ตัวก็ออกไข่เฉลี่ยวันละสองฟอง และเจิ้งหยวนยังหยิบไข่จากมิติมาวางรวมในเล้าไก่ด้วย โดยอ้างว่าเป็ไข่ที่ไก่ในบ้านฟักออกมาเป็ครั้งคราว
จนวันหนึ่งเฉินชุ่ยอวิ๋นถึงกับรำพันอย่างแปลกใจ “แกว่าไก่พวกนี้รู้จักเลือกปฏิบัติเหมือนกันหรือเปล่า? ไก่ที่หยวนหยวนเลี้ยง วันหนึ่งก็ออกไข่อย่างน้อยสองฟอง มากหน่อยก็สามฟองเลยด้วยซ้ำ!”
เจิ้งหยวนหรี่ั์ตาลง อุดปากเงียบเกี่ยวกับผลงานอันเป็ความลับตน
ไข่ไก่ทั้งสามฟอง เจิ้งหยวนตั้งใจให้เจิ้งเฉวียนกังกับเฉินชุ่ยอวิ๋นทานคนละครึ่งฟอง อีกสองฟองเอามาผัดไข่ให้ทั้งครอบครัวได้กินคนละคำสองคำ แต่สองสามีภรรยาเฒ่าไม่ยอม โดยเฉพาะเฉินชุ่ยอวิ๋น ยืนกรานว่าตูดไก่เป็เหมือนธนาคาร ต้องเอาไข่ไก่ไปขายแลกเงิน จะให้ครอบครัวกินกันหมดได้อย่างไร
ยุคสมัยนี้ล้วนเป็เช่นนี้กันทั้งสิ้น แต่ละครัวเรือนไม่กล้ากินแม้กระทั่งไข่ไก่กัน เจิ้งหยวนไม่อาจเปลี่ยนใจคุณแม่ของเธอได้ พูดอย่างไรก็ไม่ได้ผล จึงไม่คิดเกลี้ยกล่อมต่อ แล้วลงมือผัดไข่ทั้งหมดแทนพร้อมวางเมนูผัดไข่ลงบนโต๊ะ ถือคติว่าทำไปก่อนแล้วค่อยมารับผิดทีหลัง ทำเฉินชุ่ยอวิ๋นโกรธจนแทบจะห้ามเจิ้งหยวนเข้าครัว
เจิ้งหยวนชักเหตุผลต่างๆ นานามาพูด เฉินชุ่ยอวิ๋นถึงตกลงให้ผัดไข่วันละสองฟองได้ ไข่หนึ่งหรือสองฟองที่เหลือค่อยเอาไปขายตอนไปเดินตลาด เวลานี้ไข่ไก่ขายเป็ฟองไม่ใช่จิน ฟองหนึ่งราคาประมานหกเฟิน [2] และไข่ไก่สองฟองก็เกือบจะแลกเกลือได้ถึงหนึ่งจิน
หลังผัดไข่ไก่เสร็จ เจิ้งหยวนสังเกตเห็นว่าเฉินชุ่ยอวิ๋นทำใจกินไม่ลงเลยสักคำ เหลือให้คนอื่นหมดแถมยังคีบให้เจิ้งเทียนเลี่ยงเสียหลายรอบ เ้าเด็กเจิ้งเทียนเลี่ยงนั่นก็ไม่รู้จักปฏิเสธ หรือบอกให้คุณแม่ทานเยอะๆ บ้าง แต่ดันกินหมดเกลี้ยงอย่างไม่เกรงใจสักนิด น่าโมโหจนเจิ้งหยวนอยากจะตีเขาสักฉาดให้หลาบจำ
แน่นอนว่าเธอไม่มีทางลงไม้ลงมือ แต่วันนั้นก็ไม่ปล่อยเจิ้งเทียนเลี่ยงไปเล่นกับหงจวินเช่นกัน เธอบังคับให้เขานั่งทำโจทย์เลขตลอดทั้งคืน
ภายหลังเจิ้งหยวนก็คิดบางสิ่งบางอย่างออก ครั้นผัดไข่ไก่เสร็จ รอบนี้เธอไม่วางในจานกลางแล้ว หากแต่ตักแบ่งใส่ชามของทุกคนแทน ด้วยวิธีนี้เฉินชุ่ยอวิ๋นก็จะไม่รู้ว่าเธอผัดไข่ไก่กี่ฟอง เธอเลยแอบผัดเพิ่มอีกฟองทุกรอบ ไข่ไก่ในชามทุกคนจึงมีปริมาณมากขึ้นเล็กน้อย ไม่โจ่งแจ้งจนเป็ที่สังเกต
สรุปแล้วเพื่อให้ได้กิน เรียกได้ว่าเจิ้งหยวนพยายามทำทุกวิถีทางเลยทีเดียว
นอกจากสนใจเื่ต่างๆ ในบ้านแล้ว เื่ราวข้างนอกเธอยังให้เจิ้งเจวียนคอยสอดส่อง โดยจับตามองการเคลื่อนไหวของครอบครัวลุงใหญ่เป็พิเศษ
วันหนึ่งเจิ้งเจวียนวิ่งกลับมาบอกเธอด้วยท่าทางลึกลับชอบกล “พี่สาวรอง พี่สาวรอง พี่รู้ไหม การแต่งงานของพี่เสี่ยวสยาตกลงกันแล้วละ!”
เจิ้งหยวนได้ยินแล้วไม่แม้แต่จะหันมามอง เธอใช้ไม้พลองยกฟืนในเตาขึ้นให้อากาศเข้าไปภายใน เช่นนี้ฟืนจะได้เผาไหม้เต็มที่ยิ่งขึ้น พลางถามเสียงเอื่อยเฉื่อย “ตกลงกับครอบครัวไหนล่ะ?”
เจิ้งเจวียนโยนกระเป๋าหนังสือไว้ด้านข้างแล้วว่า “ฉันจับเครื่องเป่าลม [3] เอง” เธอรับคันชักเป่าลมมาจากมือเจิ้งหยวนพร้อมกับเอ่ยไปด้วยว่า “จะตกลงกับใครได้ล่ะ! ก็คนขาพิการแซ่หลิวไง”
เจิ้งหยวนเม้มริมฝีปากล่างแล้วส่ายศีรษะเบาๆ “ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งทำไปได้ลงคอ นั่นลูกสาวแท้ๆ ของเธอเชียว” ชาติก่อนเจิ้งสยาเหมือนจะแต่งให้คนขาพิการแซ่หลิวนี่แหละ ตอนนั้นเธอคงจ้องสกุลเฝิงเหมือนกัน แต่ชะตาชีวิตบางคนถูกกำหนดมาแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีมีโอกาสกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งเหมือนเจิ้งหยวน
“อีกอย่าง ก่อนหน้านี้คนขาพิการแซ่หลิวบอกใครต่อใครใช่ไหมว่าให้ค่าสินสอดสองร้อยหยวน?” เจิ้งเจวียนเอ่ยอย่างไม่ยินดียินร้าย “มาตอนนี้เงินสินสอดสักหยวนเขายังไม่ยอมควักเลย เอาแต่บอกว่าชื่อเสียงพี่เสี่ยวสยาเสียหายแล้ว ไม่แต่งกับเขายังจะแต่งใครได้อีก?”
“แล้วป้าสะใภ้ใหญ่เรายอมเหรอ?”
“ก็ต้องไม่ยอมอยู่แล้วสิ ป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเราโวยวายเลยละ แถมยังบอกด้วยว่าคุณหนูใหญ่ของพวกเขางดงามปานบุปผาขนาดนี้ อายุเพิ่งยี่สิบปี คนขาพิการแซ่หลิวสามสิบกว่าจะเข้าเลขสี่อยู่รอมร่อ แต่งภรรยาได้ก็บุญมากแล้ว ถ้ารังเกียจที่พี่เสี่ยวสยาชื่อเสียงไม่ดี ก็ไปแต่งแม่หม้ายเสียสิ” เจิ้งเจวียนจีบปากจีบคอพูดเลียนแบบป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งเสียจนน่าหมั่นไส้ “คนขาพิการแซ่หลิวนั่นก็นะ แม้จะขาเป๋ แต่ไม่ใช่ทำงานไม่ได้ หากเขายินดีแต่งแม่หม้าย คงไม่ยื้อเวลามาจนอายุปูนนี้หรอก พอเห็นป้าสะใภ้ใหญ่จะปล่อยเลยตามเลย เขาถึงยอมออกเงินค่าสินสอดห้าสิบหยวน”
สินสอดห้าสิบหยวนอันที่จริงค่อนข้างน้อยสำหรับคนในหมู่บ้าน กองหยางหลิวของพวกเขาอยู่ถัดจากตัวอำเภอเมือง ภายในอำเภอมีพวกโรงงาน้าจ้างคนผลิต และในกองยังมีกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จึงหารายได้เสริมกันได้มากมาย กล่าวโดยสรุปคือ แม้ทางเจิ้งหยวนจะดูเหมือนยากจนมาก แต่เมื่อเทียบกับกองการผลิตอื่นๆ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว สำหรับสินสอดทองหมั้น ครอบครัวที่ค่อนข้างขัดสนจะได้ประมาณสิบกว่าหยวน ครอบครัวมีฐานะขึ้นมาหน่อย จะได้ค่าสินสอดราวๆ ร้อยหยวน ส่วนครอบครัวที่มีชีวิตความเป็อยู่ดีสุดๆ นอกจากเงินสดร้อยหยวนแล้ว ยังได้ของสี่ชิ้นใหญ่อย่างจักรยาน จักรเย็บผ้า นาฬิกา และวิทยุ มีบ้างที่อาจให้ไม่ครบ แต่อย่างน้อยต้องมีสักชิ้นหนึ่งเป็สินสอด
เชิงอรรถ
[1] ชิ่งเจีย หมายถึง ญาติที่ผูกพันกันด้วยการสมรสของลูก
[2] เฟิน หมายถึง สกุลเงินของจีน ซึ่งเป็หน่วยที่เล็กสุด หนึ่งร้อยเฟินมีค่าเท่ากับหนึ่งหยวน
[3] เครื่องเป่าลม หมายถึง เครื่องมือสร้างแรงลมซึ่งเป็ทรงหีบทำจากไม้ ใช้สูบลมเข้าเตาไฟ อาจเป็เตาทำอาหารในครัวเรือนหรือเตาหลอมเหล็กก็ได้ ปัจจุบันมีคนใช้กันน้อยมากแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้