มู่อวิ๋นจินนั่งอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า จนกระทั่งเฉินพู่… ผู้ตรวจการแห่งศาลต้าหลี่รีบเข้ามาพร้อมกับกลุ่มเ้าหน้าที่และทหารที่อยู่ข้างหลัง
“ขุนนางลำดับถัดไปคำนับท่านเสนาบดี” เฉินพู่เดินเข้ามาที่ประตูก่อนคำนับมู่เฉิงเซี่ยง ด้านมู่เฉิงเซี่ยงที่ละจากศพชายในชุดดำ และซากแมวบนพื้นก็พลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป
“วันนี้มีสองเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นในจวนเสนาบดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ล้วนไม่ทราบสาเหตุ และไม่พบเบาะแสใดๆ เลย จึงเรียกท่านเฉินมาที่นี่” มู่เฉิงเซี่ยงลุกจากที่นั่งเดินไปที่ด้านข้างของเฉินพู่ก่อนกล่าวเช่นนั้น
เฉินพู่พยักหน้าพลางก้มลงดูการตายของชายในชุดดำ จากนั้นเรียกผู้ช่วยที่อยู่ด้านหลัง “มาตรวจสอบดู”
ผู้ช่วยก้าวไปข้างหน้าเริ่มลงมือตรวจสอบการตายของชายในชุดดำอย่างไม่รอช้า
มู่อวิ๋นจิ่นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หาวอย่างงัวเงียก่อนจะชำเลืองมองที่สวนหลังบ้าน แล้วหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินออกไปโดยไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“ท่านพ่อ ในเมื่อไม่มีอะไรให้ข้าทำแล้ว ข้าขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อนนะเ้าคะ” มู่อวิ๋นจิ่นหยุดชั่วครู่ แล้วพูดจากด้านหลังของมู่เฉิงเซี่ยง
มู่เฉิงเซี่ยงได้ยินคำพูดนั้นก็พลันหันกลับมามองมู่อวิ๋นจิ่นแล้วขมวดคิ้ว “แมวตายในเรือนของเ้า เ้าจะไปไหนไม่ได้จนกว่าจะคลายความสงสัย"
“แต่ชายในชุดดำเสียชีวิตในเรือนของมู่หลิงจูแท้ๆ แล้วทำไมนางถึงออกไปได้เล่า” มู่อวิ๋นจิ่นโต้กลับ
“เ้า...” มู่เฉิงเซี่ยงผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะรู้สึกหมดหนทางไปชั่วขณะ เขาเหลือบมองเฉินพู่ที่อยู่ข้าง ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน การตรวจสอบร่างกายของชายชุดดำก็มาถึงข้อสรุป โดยชี้ไปยังาแที่เป็รอยมีดอยู่บริเวณคอของชายชุดดำ
“าแนี้ได้รับาเ็จากมีดสั้นสองคม ทำให้ถึงแก่ชีวิตในการโจมตีเพียงครั้งเดียว”
“มีดสั่นสองคมมักจะลับให้คมทั้งสองด้าน คมมีดทั้งแหลมและบางแต่กลับมีแรงเฉือนมากกว่ามีดสั้นด้านเดียว”
หลังจากได้ยินคำพูดของหวู่จั๋วแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นก็กอดอก รวบรวมมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หวู่จั๋วคนนี้มีอะไรซ่อนอยู่จริงๆ สินะ
“แล้วแมวตัวนี้ล่ะ? เดิมทีมันเป็แมวสีขาวเหมือนหิมะ ทว่าหลังจากโดนพิษกลายเป็สีดำๆ ช้ำๆ ข้าไม่รู้ว่าเป็พิษชนิดไหน แต่มันทรงพลังมาก” มู่เฉิงเซี่ยงพูดพลางชี้ไปที่ซากแมว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หวู่จั๋วหยิบเข็มเงินออกมาจากถุงผ้าที่ตนถืออยู่ สกัดเืแมวออกมาบางส่วนแล้วพูดกับมู่เฉิงเซี่ยงว่า “การตรวจเืต้องใช้เวลาพอสมควร”
“ไม่เป็ไร ใช้เวลาของท่านได้อย่างเต็มที่” มู่เฉิงเซี่ยงกล่าว
มู่อวิ๋นจิ่นกำลังจะงีบหลับ นางไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน ขณะนี้นางก็เริ่มมีความกังวลจริง ๆ ว่าสองแม่ลูกนั้นจะใช้เล่ห์เพทุบายอะไรลับหลังอีก
หลังจากคิดเกี่ยวกับเื่นี้ มู่อวิ๋นจิ่นก็เหลือบมองเวลา ริมฝีปากคลี่ยิ้มจาง ๆ “ท่านพ่อ ข้าเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นได้ องค์ชายหกเชิญข้าไปดื่มชาที่โรงน้ำชาวันนี้”
“อะไรนะ?” เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่เฉิงเซี่ยงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย อวิ๋นจิ่นเป็ผู้ต้องสงสัยในเื่ราวเหล่านี้ เขาไม่ควรปล่อยไปทั้งที่ผลลัพธ์ยังคลุมเครือเช่นนี้
ทว่าหากองค์ชายหกมารับนางไปโรงน้ำชาจริง ๆ ขึ้นมาละก็
“เ้าอยู่ในจวนเถอะ ข้าจะสั่งให้คนไปส่งจดหมายถึงองค์ชายหกเพื่อรายงานเื่ในจวนเสนาบดีในเวลานี้ ข้าเชื่อว่าองค์ชายหกจะเข้าใจ” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มู่เฉิงเซี่ยงก็พูดกับมู่อวิ๋นจิ่น
ครั้งนี้มู่อวิ๋นจิ่นดูไม่พอใจในทันที นางลุกขึ้นนั่งและพูดด้วยความโกรธว่า “ท่านพ่อกำลังสรุปว่าข้าเป็ฆาตกรใช่หรือไม่? ถ้าเช่นนั้นทำไมท่านถึงไม่ให้ผู้ตรวจการแห่งศาลต้าหลี่สอบสวนคดี และส่งข้าไปที่ศาลต้าหลี่โดยตรง เช่นนั้นไม่ดีกว่าหรือเ้าคะ?”
“หุบปาก!” มู่เฉิงเซี่ยงรู้สึกขัดใจมู่อวิ๋นจิ่น เขาเป็อัครเสนาบดีมาหลายปีแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังเกรงใจเขา ทว่ามู่อวิ๋นจิ่นกำลังขัดขวางและโต้แย้งกับเขาอยู่เรื่อยมา
“ถ้าอยากให้ข้าหุบปากก็อย่าปล่อยให้ข้าต้องโดดเดี่ยวเช่นนี้ มีคนตายในเรือนของน้องสาวข้า และแมวก็เป็ของแม่ข้า แต่ทำไมข้าต้องถูกกักตัวไว้ที่นี่เพียงลำพัง”
ด้านเฉินพู่ ซึ่งเป็ผู้ตรวจการแห่งศาลต้าหลี่เมื่อได้ยินคำพูดของมู่อวิ๋นจิ่นก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มที่มุมปาก เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับคุณหนูสาม แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาในวันนี้ แท้จริงแล้วนางเป็ผู้หญิงใจเด็ดที่ไร้ซึ่งความกลัว
เมื่อมู่เฉิงเซี่ยงรู้สึกว่าความน่าเกรงขามของตนถูกมู่อวิ๋นจิ่นเหยียบย่ำต่อหน้าคนภายนอก วินาทีนั้นมู่เฉิงเซี่ยง้าเพียงใครสักคนให้มาจับมู่อวิ๋นจิ่งขังในทันที ทว่าก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าลุงหวังกำลังรีบวิ่งเข้าประตูมา
ลุงหวังวิ่งเข้าไปในประตู ชำเลืองมองมู่อวิ๋นจิ่นก่อนจะหันไปมองมู่เฉิงเซี่ยง “นายท่าน รถม้าขององค์ชายหกหยุดที่ประตูจวนบอกว่าจะมารับคุณหนูสามไปที่โรงน้ำชาขอรับ”
“อะไรนะ?” มู่เฉิงเซี่ยงตกตะลึง เดิมทีตนคิดว่ามันเป็แค่เื่ไร้สาระของมู่อวิ๋นจิ่น ทว่าก็ไม่คาดคิดว่าองค์ชายหกจะมารับตัวนางไปโรงน้ำชาอย่างที่นางกล่าวอ้างจริง ๆ
มู่อวิ๋นจิ่นเองก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน นางเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ควรจะถึงเวลาที่ฉู่ลี่จะมาแล้วสิ…
“ท่านพ่อ ในเมื่อองค์ชายหกมารับข้าที่จวนเป็การส่วนตัว ข้าก็จะออกไป” มู่อวิ๋นจิ่นพูดจบก็ะโและวิ่งออกจากจวนไป ก่อนที่มู่เฉิงเซี่ยงจะพูดจบเสียอีก
เมื่อนางวิ่งไปที่ประตูจวนก็พบกับรถม้าไม้สีดำสีดำจอดอยู่ที่ประตูจริง ๆ ติงเสี่ยนนั่งอยู่นอกรถม้า เมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นก็ะโลงมาและพยักหน้าให้นาง
“คุณหนูสาม”
“ฉู่ลี่อยู่ข้างในหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นชี้ไปที่ด้านในรถม้า
ติงเสี่ยนพยักหน้า จากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นก็ะโขึ้นไปบนรถม้า แล้วเข้าไปนั่งข้างในอย่างง่ายดาย
ในรถม้า มู่อวิ๋นจิ่นเหลือบไปเห็นฉู่ลี่นั่งที่อยู่ข้างใน จากนั้นก็พลันนึกถึงความทรงจำในวันนั้น เื่ดวงตาของฉู่ลี่ นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย
หลังจากชะงักไปชั่วครู่ มู่อวิ๋นจิ่นก็ลดสายตาลงก่อนเอ่ยว่า “องค์ชายหก้าให้ข้าทำอะไร”
“เ้าไม่ได้ขอให้ข้าส่งตั๋วเงินสามหมื่นตำลึงทองให้เ้าด้วยตัวเองหรอกหรือ” ฉู่ลี่ยกเปลือกตาขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ก่อนจะหยิบตั๋วเงินสามใบออกมาจากแขนเสื้อ
อวิ๋นจิ่นมองตั๋วเงินเ่าั้แต่ไม่ได้ตั้งใจจะหยิบมัน กลับกันเธอเอื้อมมือเปิดม่านรถม้าแล้วมองออกไปข้างนอก
หลังจากปิดม่าน มู่อวิ๋นจิ่นก็ะโออกไปด้านนอก “ติงเซี่ยน ไปที่ประตูหลังของจวนอัครเสนาบดี”
ข้างนอกประตู ติงเสี่ยนได้ยินมู่อวิ๋นจิ่นพูดดังนั้น ก็พลันเปลี่ยนทิศทางมุ่งตรงไปยังที่ที่นางบอกทันที
ด้านในรถม้า เมื่อฉู่ลี่เห็นเป็เช่นนั้นก็ตะคอกเบา ๆ “คนของข้า เ้าช่างกล้าที่จะสั่งเสียจริง ๆ”
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นได้ยินดังนั้นนางก็ยกยิ้มอย่างเขินอาย นางหันกลับมาและประสานมือคำนับฉู่ลี่ “องค์ชายหก อวิ๋นจิ่นมีเื่ใหญ่ที่ต้องทำในวันนี้ ดังนั้นต้องขอให้ท่านใช้คนอย่างติงเสี่ยนเป็ตัวแทนเสียหน่อยเ้าค่ะ”
“งานใหญ่งั้นหรือ?” ฉู่ลี่เลิกคิ้ว
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “มันเกี่ยวกับชีวิตของข้า แน่นอนว่าข้าต้องระมัดระวังเป็พิเศษ”
“ข้าไม่รู้ว่ายังมีคนในโลกนี้ที่สามารถคุกคามชีวิตของเ้าได้ด้วย” ฉู่ลี่พูดออกมาอย่างติดขัด
รถม้าจอดห่างจากประตูหลังจวนเสนาบดีมู่ มู่อวิ๋นจิ่นลงจากรถมองออกไปยังประตูที่ปิดสนิท เลยไปถึงกำแพงสูงตระหง่านด้านหลังจวน แล้วพูดกับติงเสี่ยนว่า “เ้าใช้วิชาตัวเบาได้หรือไม่?”
ติงเสี่ยนพยักหน้าอย่างเบื่อหน่าย
“อีกประเดี๋ยวพาข้าลอยขึ้นไปที” มู่อวิ๋นจิ่นพูด
เมื่อได้ยินเช่นนี้ติงเสี่ยนก็ผงะไปครู่หนึ่ง และชำเลืองมองไปยังฉู่ลี่ที่อยู่ข้าง ๆ อย่างไม่ได้จงใจนัก หลังจากสบกับสายตาที่เ็าของฉู่ลี่ ติงเสี่ยนก็คลี่ยิ้มให้มู่อวิ๋นจิ่น “วิชาตัวเบาขององค์ชายก็ดีมากเช่นกันขอรับ มันจะปลอดภัยกว่าหากองค์ชายเป็คนพาไป”
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มริมฝีปากเมื่อได้ยินคำพูดของติงเสี่ยน อันที่จริงนางสามารถปีนกำแพงนี้ได้อย่างง่ายดาย ทว่านางไม่สามารถแสดงทักษะที่ตนมีต่อหน้าคนทั้งสองได้
หลังจากชะงักไปชั่วครู่ มู่อวิ๋นจิ่นก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ นางพูดกับฉู่ลี่ที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “งั้นท่านก็พาข้าขึ้นไป”
ฉู่ลี่ไม่ตอบ แต่ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ เพียงมองนางด้วยสายตาเกียจคร้าน ก่อนจะคว้าเอวของนางแล้วดีดตัวพานางเหินขึ้นจากพื้น
ในที่สุดทั้งสามคนก็ยืนอยู่บนหลังคาของเรือนบุปผาภิรมย์
หลังจากยืนอย่างมั่นคงแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นลอบถอนหายใจให้กับวิชาตัวเบาของคนข้าง ๆ จากนั้นย่อตัวลง เหลือบมองคนสองคนที่ยืนตัวตรงพลางยื่นมือของนางไปดึงชายเสื้อ “หมอบลงก่อนเร็ว”
ฉู่ลี่หยุดชั่วขณะ มองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นอย่างประหลาดใจแล้วหมอบลง
ติงเสี่ยนมองฉู่ลี่ด้วยดวงตาเบิกโพลงประหนึ่งเห็นผีก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย ทว่าเขายังคงติดตามเ้านายของตนและหมอบลงอย่างเชื่อฟัง
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งยอง ๆ บนหลังคา และเห็นว่ากล่องของกำนัลในสนามยังคงอยู่ จากนั้นนางก็ขมวดคิ้วและยื่นมือออกไปเปิดกระเบื้องใต้เท้าของตน...
ใต้ฝ่าเท้าคือห้องนอนของมู่อวิ๋นจิ่น นางขมวดคิ้วสังเกตความเคลื่อนไหวในห้องนอนอย่างระมัดระวัง หลังจากไม่เห็นสิ่งผิดปกติมาระยะหนึ่งแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นกัดริมฝีปากของตนเองก่อนเอ่ยกับคนข้าง ๆ ว่า
“พาข้าลงไป”
...
ในห้องนอน มู่อวิ๋นจิ่นกำลังพลิกไปตามมุมต่าง ๆ ของลิ้นชักอย่างระมัดระวังโดยไม่มีการเคลื่อนสิ่งของใดๆ
ฉู่ลี่เอามือไพล่หลังเหลือบมองมู่อวิ๋นจิ่นที่กำลังมองหาบางอย่าง จากนั้นมองไปรอบ ๆ ห้องนอนพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ห้องที่เหมือนคอกสุนัขนี้ คงไม่ใช่ของเ้าใช่หรือไม่”
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นได้ยินคำพูดนั้น นางหันกลับมามองฉู่ลี่จากนั้นเดินไปที่เตียงของนางโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หลังจากพลิกทั้งเตียง ในที่สุดมู่อวิ๋นจิ่นก็พบถุงบางอย่างใต้หมอน
ข้างในมีกริชสองคมและห่อแป้ง
มู่อวิ๋นจิ่นถือห่อแป้งไว้ในฝ่ามือและเปิดมันอย่างระมัดระวัง สิ่งที่ดึงดูดสายตาของนางคือห่อแป้งสีขาวซึ่งมีกลิ่นฉุน
ขณะที่มู่อวิ๋นจิ่นกำลังคิด ติ่งหูของนางขยับเล็กน้อยเมื่อรับรู้ได้ถึงเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากรอบด้าน นางจึงหันไปพูดกับฉู่ลี่ที่อยู่ข้างๆ ทันทีว่า “ไปเร็ว”
เมื่อทั้งสามกลับมาที่หลังคาอีกครั้ง พวกเขาเห็นกลุ่มคนผลักเปิดประตูเรือนบุปผาภิรมย์ นำโดยมู่เฉิงเซี่ยงและเฉินพู่ ผู้ตรวจการแห่งศาลต้าหลี่ ตามด้วยซูปี้ชิงและมู่หลิงจู
ทันทีที่เข้ามาในบ้าน เขาเห็นกล่องของกำนัลอยู่ทั่วลาน จากนั้นจึงก้มลงดึงเข็มเงินออกมา
หลังจากนั้นไม่นาน หวู่จั๋วก็หยิบเข็มเงินขึ้นมาตรวจสอบปลายเข็มอย่างระมัดระวัง และพูดกับมู่เฉิงเซี่ยงว่า “ท่านมู่เฉิงเซี่ยง… กล่องของกำนัลที่นี่ล้วนปนเปื้อนไปด้วยยาพิษ และเป็พิษชนิดเดียวกับที่แมวตัวนั้นโดนขอรับ”
บนหลังคา หลังจากที่ฟังคำของหวู่จั๋ว ดวงตาที่จ้องจะจับผิดของฉู่ลี่ก็มองไปที่ถุงผ้าในมือของมู่อวิ๋นจิ่นทันที
มู่อวิ๋นจิ่นมองไปที่ฉู่ลี่ในทันใด “อย่าคิดว่าข้าน่ารังเกียจไปเลย”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ติงเสี่ยนที่อยู่ด้านข้างก็เข้าใจทันทีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับจวนเสนาบดีมู่ในวันนี้ และเมื่อสังเกตเห็นพฤติกรรมที่ผิดปกติของคุณหนูสาม ก็ทำให้ติงเสี่ยนเข้าใจทันทีว่าโทษสำหรับเหตุการณ์นี้มีแนวโน้มที่จะมุ่งเป้าไปที่คุณหนูสาม
ก่อนจะได้ยินเสียงของซูปี้ชิงดังขึ้นจากด้านล่าง…
“แมวที่รักของข้าตายที่นี่โดยไม่ทราบสาเหตุ และกล่องของกำนัลเหล่านี้ล้วนปนเปื้อนไปด้วยยาพิษ นี่มันน่าแปลกจริง ๆ มู่เฉิงเซี่ยง… เหตุใดท่านถึงไม่ส่งคนไปตรวจสอบเรือนของอวิ๋นจิ่นอย่างละเอียดเล่า”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูปี้ชิง มู่เฉิงเซี่ยงก็ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ และโบกมือ “มาเถอะ ตามข้ามา!”
หลังจากพูดจบ คนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังพวกเขา กระจัดกระจายไปรอบ ๆ และเริ่มค้นเรือนบุปผาภิรมย์ของมู่อวิ๋นจิ่น
ซูปี้ชิงและมู่หลิงจูมองหน้ากันในเวลานี้ จากนั้นก็เห็นซูปี้ชิงเดินตรงไปที่ห้องนอนของมู่อวิ๋นจิ่น และเมื่อก้าวพ้นประตูเข้ามา นางก็เดินตรงไปยังเตียงนอนทันที...