เยว่เฟิงเกอกลับไปยังเรือนเยว่เหยา รีบเปลี่ยนอาภรณ์อย่างรวดเร็ว และดึงหน้ากากบนหน้าออก จากนั้นแต่งหน้าทำผมเล็กน้อยแล้วไปจากจวนอ๋อง
หลังจากนั่งลงในรถม้าคันเดียวกันกับม่อเสวียนเช่อแล้ว เยว่เฟิงเกอถึงได้เลิกม่านขึ้นมองซ่างกวานม่อิที่ยังยืนอยู่ที่ประตูหลังจวนอย่างไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหน
“เ้ายังยืนอยู่ที่นั่นทำอันใด รีบกลับแคว้นเสวี่ยอวี้ไปเสีย คาดว่ามู่เหยียนเฉินและน้องหญิงของเขาคงจะออกมาจากเมืองหิมะลุ่มหลงแล้ว”
ซ่างกวานม่อิอ้าปาก แต่สุดท้ายกลับพูดอะไรไม่ออก
อันที่จริงเขาไม่อยากรีบกลับ เพราะไม่อยากแต่งกับคุณหนูรองจวนราชครูคนนั้น
โดยเฉพาะหลังจากที่ได้มายังแคว้นเป่ยชวนแล้วได้ัักับอากาศอันอบอุ่น เพราะเหตุนี้เขาจึงยิ่งไม่อยากกลับไปยังสถานที่หนาวเหน็บเช่นแคว้นเสวี่ยอวี้อีก
เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวห่างออกไปจากจวนอ๋อง เยว่เฟิงเกอก็ไม่สนใจซ่างกวานม่อิอีก
นางนั่งในรถม้า สนทนากับม่อเสวียนเช่อ
“เ้ารู้จักซ่างกวานม่อิได้อย่างไร? ” นี่เป็เื่ที่เยว่เฟิงเกอสงสัยที่สุด
ทุกครั้งที่ซ่างกวานม่อิปรากฏตัวก็ล้วนมีเจตนามาหาเื่นาง ทำให้เยว่เฟิงเกอรู้สึกไม่ดีต่อเขาเป็อย่างมาก
ทว่า ม่อเสวียนเช่อกลับไม่คิดว่าซ่างกวานม่อิเป็คนไม่ดี เขาบอกเยว่เฟิงเกอว่า ก่อนหน้านี้ที่เขาออกมาจากจวนอ๋องได้บังเอิญพบซ่างกวานม่อิเข้า ตอนนั้นพอได้รู้ว่าอีกฝ่ายก็มาหานางเช่นกัน ก็เข้าใจว่าคนเป็สหายของเยว่เฟิงเกอ
ตอนหลังคนทั้งสองมาดื่มชากันที่โรงน้ำชาและสนทนากันอย่างออกรส
สายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นจึงก่อเกิดขึ้นมาเช่นนี้เอง
เยว่เฟิงเกอได้ยินแล้วก็มุมปากกระตุก ดูท่าม่อเสวียนเช่อคงจะอยู่ในวังหลวงนานเกินไป เขาไม่ได้ล่วงรู้ความน่ากลัวของยุทธภพแม้แต่น้อย
คนทั้งสองไปถึงวังหลวงอย่างรวดเร็ว เยว่เฟิงเกอติดตามม่อเสวียนเช่อมุ่งหน้าไปยังตำหนักคุนิ
เพียงแต่ตอนที่พวกเขาเดินผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง เยว่เฟิงเกอก็อดหยุดฝีเท้าไม่ได้ นางเงยหน้ามองป้ายที่เขียนไว้ว่า ‘เรือนจิ้งจู๋’
เรือนจิ้งจู๋นี้ไม่เหมือนตำหนักอื่นๆ ด้านหน้าเรือนแห่งนี้ยังมีองครักษ์สองคนคอยเฝ้าอยู่
เมื่อเห็นว่าประตูใหญ่เรือนจิ้งจู๋ปิดสนิท เยว่เฟิงเกอก็นึกขึ้นได้ว่ากงซุนหนานเสียนบอกว่าเขาพักอยู่ที่เรือนจิ้งจู๋แห่งนี้
ม่อเสวียนเช่อเห็นเยว่เฟิงเกอหยุดฝีเท้า ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เหตุใดจึงไม่เดินต่อเล่าพี่สะใภ้รอง? ”
เยว่เฟิงเกอชี้ไปที่เรือนจิ้งจู๋ “ม่อเสวียนเช่อ เ้ารู้หรือไม่ว่าใครพักอยู่ที่นี่? ”
ม่อเสวียนเช่อเห็นว่าเยว่เฟิงเกอถามเื่นี้ขึ้นมาก็รีบร้อนดึงชายเสื้อนาง รีบเดินหนีไปจากที่นี่
ระหว่างทางม่อเสวียนเช่อบอกเยว่เฟิงเกอว่า ในเรือนจิ้งจู๋มีคนที่ทำให้รัชทายาทพิโรธถูกขังอยู่ คนคนนั้นถูกรัชทายาทขังอยู่นานห้าปีแล้ว
เมื่อเยว่เฟิงเกอได้ยินว่ากงซุนหนานเสียนถูกรัชทายาทขังอยู่นานห้าปีแล้ว นางก็อดถามต่อไม่ได้ “คนคนนั้นไปหาเื่อะไรรัชทายาทเข้า ถึงได้ถูกขังอยู่ตั้งห้าปี? ”
ม่อเสวียนเช่อส่ายหน้า “เื่นี้ข้าเองก็ไม่ทราบ ระหว่างรัชทายาทและองค์ชายอื่นๆ มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันนัก เขาไม่มีทางเล่าเื่พวกนี้ให้เราเหล่าองค์ชายฟังอยู่แล้ว”
เยว่เฟิงเกออ้อไปเสียงหนึ่ง ไม่คิดถามอะไรต่อ
ในที่สุดคนทั้งสองก็มาถึงตำหนักคุนิ เมื่อฮองเฮาเห็นเยว่เฟิงเกอก็ยิ้มออกมาทันที
“ชายาจั้นอ๋องมาแล้วหรือ รีบมานั่งข้างกายอายเจีย [1] เถอะ” ฮองเฮาพูดพลางกวักมือเรียกหาเยว่เฟิงเกอ
ทว่า เยว่เฟิงเกอเพียงได้ยินฮองเฮาเรียกแทนตนว่าอายเจียก็ใเล็กน้อย นางหันไปมองบรรดานางกำนัลในตำหนัก รวมถึงม่อเสวียนเช่อ แต่กลับเห็นว่าทุกคนต่างมีสีหน้าราบเรียบเป็ปกติ
เยว่เฟิงเกอไม่เก่งด้านประวัติศาสตร์ แต่หลายวันมานี้ที่อยู่ว่างๆ เพราะไม่มีอะไรในจวนอ๋องให้ทำ นางจึงค้นหาข้อมูลในโทรศัพท์เกี่ยวกับคำเรียกต่างๆ ในภาษาโบราณ
นางจึงรู้ว่า มีแต่ไทเฮาที่จะเรียกตัวเองว่าอายเจียได้ ส่วนฮองเฮานั้นต้องแทนตัวเองว่าเปิ่นกง
เช่นเดียวกับนางที่เป็องค์หญิงแห่งแคว้นเสวี่ยอวี้ที่ต้องเรียกแทนตนเช่นนี้
เยว่เฟิงเกอรีบร้อนเดินเข้าไปหาฮองเฮาด้วยท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูด แต่ไม่กล้าพูดออกมา
ฮองเฮารับรู้ได้ถึงความผิดปกตินี้จึงบอกให้นางกำนัลทั้งหลายถอยออกไปก่อนแล้วถึงได้ถามเยว่เฟิงเกอว่า “ชายาจั้นอ๋องเป็อะไรไปหรือ มีอะไรก็พูดกับอายเจียได้ตรงๆ เลย”
เยว่เฟิงเกอกล่าวว่า “ฮองเฮา หม่อมฉันมีคำจะพูด เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่”
“ไม่เป็ไร ว่ามาเถอะ” ฮองเฮาจับมือเยว่เฟิงเกอไว้ กล่าวขึ้นอย่างใจกว้าง ทั้งยังให้นางนั่งลงข้างกาย
ส่วนม่อเสวียนเช่อนั้นยืนถัดออกไปจากคนทั้งสองไม่ไกลนัก เขาเห็นเยว่เฟิงเกอนั่งลงข้างกายฮองเฮาด้วยท่าทีสบายๆ ก็อดเบิกตาโตไม่ได้
เสด็จแม่ของเขาจะดีต่อเยว่เฟิงเกอเกินไปแล้วกระมัง ถึงกับให้นางนั่งลงข้างกาย
ส่วนเขาที่เป็ลูกชายยังไม่เคยได้ใกล้ชิดกับเสด็จแม่ถึงเพียงนี้เลย
เยว่เฟิงเกออึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าเอ่ยออกมา “ฮองเฮาเพคะ เมื่อครู่คำที่ทรงใช้แทนองค์เองนั้นไม่ถูกต้องเพคะ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เยว่เฟิงเกอก็เฝ้าสังเกตสีหน้าฮองเฮาต่อ หลังเห็นเพียงสายตางุนงงที่ฮองเฮาส่งมาโดยไร้ซึ่งความโกรธเจือปน นางถึงได้กล่าวต่อไปว่า “ในยุคโบราณนี้มีเพียงไทเฮาเท่านั้นที่จะเรียกแทนตนว่าอายเจียได้ ฮองเฮาต้องเรียกแทนตัวเองว่าเปิ่นกงเพคะ”
ฮองเฮาอึ้งไปเล็กน้อย ขณะที่ม่อเสวียนเช่อกลับถูกคำพูดหาญกล้านี้ของเยว่เฟิงเกอทำเอาใจนหัวใจแทบจะกระดอนออกมาทางปาก
ม่อเสวียนเช่อแอบพูดในใจว่า “เยว่เฟิงเกอ เ้าช่างขวัญกล้ายิ่งนัก เ้าพูดประโยคนี้ออกมา ไม่กลัวเสด็จแม่ข้าจะลงโทษเ้าเลยหรือ? ”
เพียงแต่เขาได้แค่คิดอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดออกไปแม้แต่คำเดียว
เขามองสีหน้าผู้เป็มารดาตาไม่กะพริบ ตอนแรกคิดว่าต้องพิโรธแน่ แต่กลับเห็นคนเพียงใไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กุมหน้าตัวเองไว้ด้วยท่าทีอับอาย กล่าวว่า “เฮ้อ ช่างขายหน้าจริงๆ ”
ใจของเยว่เฟิงเกอที่ลอยคว้างอยู่เมื่อครู่ก็กลับมาเป็ปกติในตอนนี้เอง เมื่อครู่นางต้องสร้างความกล้าให้ตัวเองเป็อย่างมากถึงจะพูดคำเ่าั้ออกมาได้
หากไม่ใช่เพราะเพิ่งเห็นข้อมูลนี้มาจากโทรศัพท์ นางเองก็คงไม่รู้เช่นกัน
อย่างไรเสีย นางและฮองเฮาต่างก็เป็คนจากโลกยุคปัจจุบัน จึงอาจเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำเรียกแทนตัวเองในยุคโบราณ นี่ถือเป็เื่ที่เข้าใจได้
เพียงแต่เหตุใดคนโบราณพวกนี้ถึงไม่มีท่าทีต่อต้านต่อคำเรียกแทนตนที่ผิดพลาดของฮองเฮากันเล่า?
หรือว่าพวกเขาต่างก็จับจ้องตำแหน่งฮองเฮาอยู่ จึงไม่กล้ากล่าววาจาซี้ซั้ว
เยว่เฟิงเกอคิดในใจเช่นนี้ ก่อนจะได้ยินฮองเฮาพูดต่อไปว่า “อาย...ไม่ใช่สิ เปิ่นกง”
“เปิ่นกงเป็คนไม่ชอบเรียนหนังสือ ตอนเด็กๆ พอถึงคาบประวัติศาสตร์ก็มักจะง่วงจนเผลอหลับไปเป็ประจำ”
“สุดท้าย พอต้องย้อนเวลามาที่นี่ ก็เรียกแทนตนเองว่าอายเจียมาโดยตลอดั้แ่ที่ได้รับตำแหน่งฮองเฮา”
“เปิ่นกงจำได้ว่าเหมือนฮ่องเต้จะเคยเตือนเื่นี้อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ตอนนั้นเปิ่นกงถือตนว่าได้รับความโปรดปรานจากฝ่าา จึงไม่เคยเก็บคำตักเตือนเ่าั้มาใส่ใจ”
“ทำให้หลายปีมานี้เปิ่นกงเรียกขานตนเองผิดๆ มาตลอด”
“โชคดีที่ไม่มีไทเฮา ไม่เช่นนั้นต่อให้เปิ่นกงมีสิบหัวก็คงไม่พอให้ตัด”
“เฮ้อ เป็คนยุคปัจจุบัน แต่ความรู้เล็กน้อยแค่นี้กลับไม่รู้ ช่างขายหน้าไกลไปถึงมหาสมุทรแปซิฟิกจริงๆ ”
ฮองเฮากุมหน้าตัวเองไว้พูดงึมงำอยู่คนเดียว
เยว่เฟิงเกออดมุมปากกระตุกไม่ได้ นางคิดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะน่ารักเพียงนี้
ไม่เพียงไม่โกรธ กลับยังเขินอายได้น่ารักเช่นนี้
ทางด้านม่อเสวียนเช่อ เขาเองก็ตกตะลึงจนเบิกตากว้าง คางแทบร่วงลงมา
เมื่อก่อนในสายตาเขา เพราะเสด็จแม่ป่วยไข้อยู่ตลอดเวลา จึงไม่เคยมีโอกาสได้เห็นพระนางทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้มาก่อน
เสด็จแม่ของเขาในยามนี้เขินอายได้น่ารักราวกับเป็เด็กน้อยคนหนึ่ง มิน่าเล่าเสด็จพ่อถึงได้ทรงโปรดปรานพระนางถึงเพียงนี้
เพียงแต่มีอยู่เื่หนึ่งที่เขารู้สึกสับสนเป็อย่างมาก มหาสมุทรแปซิฟิกที่เสด็จแม่กล่าวถึงคือสิ่งใด ฟังแล้วเหมือนจะเป็สถานที่อันไกลโพ้นอะไรสักอย่าง
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] อายเจีย(哀家)เป็คำเรียกแทนตัวเองของไทเฮา โดยคำว่า อาย(哀)แปลว่าเศร้าโศก มีความหมายโดยนัยว่าหญิงม่ายที่เศร้าโศกจากการสูญเสียสามี (ฮ่องเต้องค์ก่อน)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้