ลู่เจียงเป่ยขมวดคิ้ว เขาไม่โกรธแม้ถูกตั้งคำถาม ทว่ากลับเอ่ยด้วยความไม่เข้าใจ “ข้าอายุน้อยกว่าเกาเจวี๋ยครึ่งปี จะเรียกว่า ''แตกต่างกัน'' ได้อย่างไร? ทุกคนล้วนรักความสวยงาม คุณหนูเหอเป็สตรีงดงามที่ยากจะพบเห็น ข้าเพียงชื่นชมนางเท่านั้น แสดงตามอารมณ์และหยุดเมื่อเห็นสมควร ข้าทำไม่ได้หรือ? ”
เลี่ยวจือหย่วนเอ่ยตอบด้วยคำถาม “เ้าอยากได้กริชเล่มนี้หรือไม่?”
ลู่เจียงเป่ยวางกริชบนฝ่ามือพลางมองพิจารณาสักพัก ก่อนเก็บกริชเข้าฝักส่งคืนเลี่ยวจือหย่วน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่เ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าจะขายให้เสี่ยวต้วน ข้าจะซื้อตัดหน้าเขาได้อย่างไร? หากเ้าทำขึ้นอีกเล่ม ราคาลดเหลือห้าสิบตำลึง ข้าอาจซื้อมันก็เป็ได้”
เลี่ยวจือหย่วนส่ายนิ้วชี้ไปมา ก่อนเอ่ยอย่างชาญฉลาด “หากบอกว่านกกระจิบสีขาวก็ต้องเป็สีขาว หากบอกว่านกกระจิบหลากสีก็ต้องหลากสี ข้า้าขายให้เสี่ยวต้วนหนึ่งร้อยตำลึงเพราะเงินของเขาใช้เท่าไรก็ไม่หมด แต่ท่านหัวหน้าก็มีลมปราณเจินชี่ที่ใช้เท่าไรก็ไม่หมดเช่นเดียวกัน... เช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าค่อยทำเล่มใหม่ให้เสี่ยวต้วน เล่มนี้ถือเป็ของที่ระลึกแก่หัวหน้า แต่มีข้อแม้ว่าเ้าต้องนวดหลังคลายเส้นให้ข้า...”
ลู่เจียงเป่ยหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “ที่แท้เ้าพูดอ้อมไปมาก็เพื่อสิ่งนี้นี่เอง เ้าแมวี้เี เ้าแมวจะกละ เ้าแมวขี้เมา ข้าขอเพิ่มอีกฉายาว่าเ้าแมวโลภมาก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็เ้า”
เลี่ยวจือหย่วนเอ่ยด้วยความไม่มั่นใจ “เ้าก็ไม่เสียเปรียบอันใด กริชนี้เป็งานแกะสลักอันเรียบเนียนเป็ธรรมชาติเชียวนะ ข้าต้องตัดกระดาษภาพเหมือนจากเ้าคนแซ่ฉีอย่างยากลำบาก ขั้นตอนการทำก็ต้องยอมจ่ายเพื่อให้ได้สิ่งนี้...” เขายกนิ้วชี้ที่ได้รับาเ็ขึ้นมา “...หัวหน้าเพียงช่วยเหลือข้าเล็กน้อยก็จะได้กริชไป เรียกได้ว่าเป็ ''ราคาะโ'' ตามที่น้องสาวข้าเคยพูดไว้”
“อืม” ทันใดนั้นลู่เจียงเป่ยก็หุบยิ้ม ก่อนเอ่ยถามจริงจัง “เ้าบอกว่าฉีเสวียนอวี๋พบความลับน่าใบนภาพเหมือนของคุณหนูเหอ ความลับใดกัน?”
“อ้อ เื่นั้นหรือ” เลี่ยวจือหย่วนเอ่ยพลางหาวหวอด “ฮ้าว… เฮ้อ เขาบอกว่าภาพเหมือนของคุณหนูเหอละม้ายคล้ายผู้หนึ่งที่เขาเคยพบ ไม่เพียงคล้ายกันธรรมดา เ้าคนแซ่ฉียังบอกอีกว่ากระดาษแผ่นนี้เสมือนถูกตัดจากคนผู้นั้น”
ลู่เจียงเป่ยเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ก่อนกลั้นใจเอ่ยถาม “หรือจะเป็หลิงเมี่ยวชุนว่าที่ภรรยาที่ตายไปแล้วของเกาเจวี๋ย? เขาจึงปฏิบัติต่อนาง...”
“ไม่น่าใช่ เมื่อวานข้าใช้เวลานานกว่าจะแกะสลักกริชเล่มนี้เสร็จ มองมันหลายครั้งหลายครา” หลิวซุ่ยยกเหล้าหนี่ว์หงเอ๋อร์ร้อน ๆ เข้ามาสองไห ก่อนเอ่ยอธิบายชัดเจน “แม้สตรีที่ถูกแกะสลักบนกริชจะงดงามมาก แต่ข้ากลับไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของนาง ไม่รู้สึกคุ้นเคย สตรีผู้นั้นไม่คล้ายคลึงคุณหนูใหญ่หลิงเมี่ยวชุนของข้าแม้แต่นิด”
เมื่อได้ฟัง ไม่เพียงลู่เจียงเป่ยเท่านั้นที่ใ แม้แต่เลี่ยวจือหย่วนที่หาวหวอดก็ยังชะงัก
หลังรู้ว่าเหอตังกุยเป็ลูกพี่ลูกน้องกับหลิงเมี่ยวชุน พวกเขาต่างคิดไปเองว่าเกาเจวี๋ยมีท่าทีผิดปกติต่อเหอตังกุย ด้วยเหตุผลที่นางหน้าตาคล้ายคนที่เกาเจวี๋ยรักสุดหัวใจ เหตุผลนี้ค่อนข้างเป็ที่แน่ชัด พวกเขาจึงไม่ได้รับฟังคำยืนยันจากเกาเจวี๋ยแม้แต่ประโยคเดียว ทว่าตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าที่แท้เหอตังกุยก็ไม่ได้มีใบหน้าคล้ายหลิงเมี่ยวชุน
แม้เลี่ยวจือหย่วนจะอยู่กับหลิวซุ่ยที่รู้จักหลิงเมี่ยวชุน ทว่าความสนใจของเขาที่มีต่อเหอตังกุยนั้นจำกัด เขาแกะสลักภาพเหมือนเพื่อหาเงินเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่เคยถามหลิวซุ่ยว่าภาพเหมือนของสตรีผู้นี้ละม้ายคล้ายหลิงเมี่ยวชุนหรือไม่
ลู่เจียงเป่ยและเลี่ยวจือหย่วนสบสายตากัน เกาเจวี๋ยสนใจสตรีที่มีใบหน้าไม่เหมือนหลิงเมี่ยวชุนกระนั้นหรือ? หรือเขาจะตกหลุมรักนางจริง ๆ ไม่ใช่เพราะหาตัวแทนของหลิงเมี่ยวชุน? พวกเขาทั้งสองต่างเป็เพื่อนที่ดีของเกาเจวี๋ย ทว่ากลับตัดสินว่าเกาเจวี๋ยโเี้ ไร้ความรู้สึกโดยไม่เอ่ยถามและไตร่ตรองล่วงหน้าก่อน ทั้งยังมองว่าสตรีคนอื่นเป็หลิงเมี่ยวชุน สุดท้ายพวกเขาก็บังคับให้เกาเจวี๋ยบอกว่าจะไม่ไปพบหน้าเหอตังกุยอีก หรือการช่วยเหลือของพวกเขาในครั้งนี้จะทำให้เกาเจวี๋ยลำบากใจ เพียงเพราะไม่อยากให้เกาเจวี๋ย เสี่ยวต้วนและเหอตังกุยมีเื่พัวพัน พวกเขาจึงสังหารต้นกล้าแห่งความรักของเกาเจวี๋ยเสียสะบั้น
ลู่เจียงเป่ยครุ่นคิด ในเมื่อเหอตังกุยและหลิงเมี่ยวชุนไม่ได้มีใบหน้าคล้ายคลึงกัน แล้วผู้ที่ฉีเสวียนอวี๋บอกว่าหน้าตาเหมือนเหอตังกุยจนแทบจะเป็คนเดียวกันคือใคร? น่าแปลก แม้โลกนี้จะมีคนหน้าตาเหมือนกัน ทว่าคนส่วนใหญ่มักจะบอกว่าเป็เื่ประหลาดหรือน่าสนใจ ไม่นับว่าเป็ความลับที่น่าใเพียงนั้น ถึงขั้นทำให้ฉีเสวียนอวี๋ผู้สูงศักดิ์และหล่อเหลาจน ''ฮ่องเต้เรียกขึ้นเรือก็ไม่มา'' เก็บไปใส่ใจ จนต้องวิ่งมาที่หอฉางเยี่ยเพื่อสืบชาติกำเนิดของเหอตังกุยได้อย่างไร?
“เ้าแมวป่า ฉีเสวียนอวี๋พูดว่าอย่างไร? เ้าพูดให้ชัดเจนอีกสักรอบ” ลู่เจียงเป่ยจับจ้องเลี่ยวจือหย่วน “เขาเอ่ยถึงคนที่หน้าตาเหมือนเหอตังกุยหรือไม่ว่าเป็ใคร?”
เลี่ยวจือหย่วนเกาเปลือกตาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนไหวไหล่พลางเอ่ย “เขาไม่ได้เอ่ยถึงเื่นี้ ข้าก็ไม่ได้ถาม เพราะตอนนั้นพวกเรารู้แล้วว่าเหอตังกุยและหลิงเมี่ยวชุนเป็ญาติกัน ข้านึกว่าเขาจะบอกว่านางเหมือนหลิงเมี่ยวชุน เ้าก็รู้ว่าเขาลึกลับเหมือนผี มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่คิดว่าเขาพูดความจริง ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้มองภาพเหมือนที่เขาหยิบออกมา ข้าก็คิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้มันมา แล้วนำไปขายให้ต้วนเสี่ยวโหลว...”
ลู่เจียงเป่ยไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปรึกษา “แมวป่า ข้าว่าเื่นี้มีเบื้องลึกเื้ัมากกว่านั้น พรุ่งนี้เ้ากลับไปที่เมืองหลวงแล้วไปถามฉีเสวียนอวี๋อีกครั้ง ดีหรือไม่? เ้าก็รู้ว่าคนผู้นี้มักเหยียดหยามและไม่เคารพผู้อื่น แต่ความจริงแล้วจิตใจของเขาล้ำลึกยากหยั่งถึง ยากที่คนอื่นจะผูกมิตรด้วย ข้าและเขาเป็ขุนนางที่ทำงานให้แก่ฮ่องเต้เช่นเดียวกัน ทว่าเบี้ยหวัดกลับต่างกัน ที่ผ่านมาข้าเคยคิดจะเป็สหายกับเขาหลายครั้ง แต่ก็ถูกหลอกมานักต่อนัก ในบรรดาจิ่นอีเว่ยมีเพียงเ้าที่อารมณ์เหมือนกับเขา สามารถพูดคุยกับเขาเป็การส่วนตัวได้ อีกทั้งงานที่ข้ากับเขาจะได้พูดคุยกันนั้นมีไม่มาก หากไปหาเขาเพื่อกิจส่วนตัว คงยากจะเลี่ยงการเข้าใจผิดจากเขา”
“ข้าก็อยากรู้เื่นี้เหมือนกัน แต่เ้าคนแซ่ฉีทำตัวลึกลับมาโดยตลอด มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถไปหาคนอื่นได้ แต่คนอื่นกลับหาตัวเขาไม่เจอ หากหาตัวเขาพบก็นับเป็ความชั่วร้าย” เลี่ยวจือหย่วนยกเหล้าหนี่ว์หงเอ๋อร์ที่หลิวซุ่ยอุ่นขึ้นจิบ ก่อนพูดต่อ “แม้จะรอที่ตระกูลฉี โอกาสได้พบเขาก็มีไม่มาก ยิ่งไปกว่านั้น บิดาของเขายังบ้ากามน่าขยะแขยง เห็นแล้วก็กินข้าวดื่มเหล้าไม่ลง ฆ่าข้าให้ตายข้าก็ไม่ไปเด็ดขาด”
ลู่เจียงเป่ยลงมือรวดเร็วดุจสายฟ้า หยิกพวงแก้มของเลี่ยวจือหย่วนอย่างแรง ก่อนเอ่ยตำหนิ “หุบปาก แม้แต่ฮ่องเต้ยังเคารพไต้ซือ เ้าพูดจาไร้สาระ ระวังเถอะความวิบัติจะออกจากปากเ้า คำพูดเช่นนี้อย่าได้ริอ่านพูดอีก ที่ข้ารู้มา ไต้ซือฉีปลงต่อทางโลก ไม่เข้าใกล้สตรีนานหลายปีแล้ว ไม่ใช่คนบ้ากามตามที่เ้าพูด เหตุใดเ้าจึงตั้งฉายาให้คนอื่นไปเรื่อย?”
เลี่ยวจือหย่วนดิ้นพลางเอ่ยพึมพำไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ได้ใส่ร้ายเขาเสียหน่อย ข้าเห็นฉีจิงเสแสร้งเป็คนดีแต่ข้างในใจคดเป็เขาวงกต หากเขาไม่เข้าใกล้สตรีจริง ๆ บนโลกนี้คงไม่มีฉีเสวียนอวี๋แล้ว หัวหน้ายังไม่รู้อะไร ครั้งหนึ่งข้ากับชิงเอ๋อร์น้องสาวไปเดินเล่นงานวัด จู่ ๆ ก็เย็นวาบที่แผ่นหลังและท้ายทอย ราวมีใครแอบมอง ข้าจึงลากชิงเอ๋อร์ไปนั่งที่แผงขายของริมถนน แสร้งมองไปเรื่อยเพื่อตามหาคนที่แอบสะกดรอยตามพวกข้า ในที่สุดก็พบว่าคนผู้นั้นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็ฉีจิงเ้าเล่ห์”
ลู่เจียงเป่ยขมวดคิ้วฉับ “เ้าจะบอกว่าไต้ซือสะกดรอยตามเ้า ทั้งยังแอบมองเ้าเดินตลาดหรือ? เป็ไปได้อย่างไร? ข้าว่าคงเกิดการเข้าใจผิด เดิมทีเขาอาจจะเข้าไปทักทายเ้า แต่เห็นว่าเ้าเดินเล่นอย่างสำราญใจจึงไม่อยากรบกวน ต่อมาจึงถูกเ้ามองเห็นและกลายเป็เื่เข้าใจผิด”
เลี่ยวจือหย่วนโมโหพลันกระแทกไหล่ลู่เจียงเป่ย พลางเอ่ย “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด เ้าแก่นั่นจับจ้องชิงเอ๋อร์ของข้าตาเป็มัน”
ลู่เจียงเป่ยถอยหลังครึ่งก้าว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดใบหน้าของเขาจึงซีดเผือด ขณะเขาจะเอ่ยบางอย่างพลันไอรุนแรงไม่หยุด ไม่นานก็ค่อย ๆ สงบ ทว่ากลับมีเืสดสีแดงไหลล้นจากมุมปาก ผ่านเส้นกรามที่งดงามหยดลงบนเสื้อขุนนางสีเขียวสดใสของเขา
......
“เ้าว่าอย่างไรนะ?” เหล่าไท่ไท่ใพลันถ้วยแกงในมือก็เอนเอียงจนน้ำแกงใสราวกับหิมะหกใส่ชุดคลุมลายนกยูงของนาง ก่อนขมวดคิ้วเอ่ย “ข้าไม่เข้าใจ ที่เ้าบอกว่าเสี่ยวอี้ ''เคยฝันว่านายน้อยจูจะตาย'' หมายความว่าอย่างไร? คุณหนูอี้ไม่ได้อยู่บ้านกว่าเดือนครึ่งแล้ว นางแทบไม่มีทางรู้เื่ที่นายน้อยจูป่วย แล้วนางฝันถึงเื่นี้ได้อย่างไร”
หยางมามารีบคว้าผ้าเช็ดหน้าเช็ดทำความสะอาดให้เหล่าไท่ไท่ ก่อนเอ่ยแก้ไขประโยค “เหล่าไท่ไท่ ท่านอย่าได้ตระหนกเลย บ่าวรีบพูดเกินไปจนคำพูดตกหล่น คำพูดเดิมของคุณหนูสามนั้นไม่ใช่เช่นนี้ ในฝัน ''นายน้อยจูจะตาย'' ก็เป็บ่าวเองที่เดาตามความหมายในคำพูดนาง”
เหล่าไท่ไท่ปัดมือหยางมามา ก่อนเอ่ยด้วยความหงุดหงิด “ไม่ต้องเช็ดแล้ว เหตุใดยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ เ้าพูดคำที่เสี่ยวอี้พูดให้ข้าฟังอีกรอบ จวนของพวกเรามีความชั่วร้ายใดกันแน่ จึงมีเื่แปลกประหลาดเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ เสี่ยวอี้อยู่บนเขานอกเมือง นางจะรู้เื่นายน้อยจูได้อย่างไร” เมื่อคิดถึงสะใภ้ใหญ่จ้าวซื่อและสะใภ้รองซุนซื่อ รวมไปถึงต่งซื่อภรรยาของหลานชายคนโตที่เคยบอกว่า งเหอตังกุยเป็ปีศาจง เหล่าไท่ไท่พลันกำผ้าสีม่วงปักลายสวัสติกะในรูปแบบหรูอี้แน่น
หยางมามาคุกเข่าข้างเตียง หายใจเข้าลึกก่อนจ้องเปลวเทียนพลางเอ่ย “แรกเริ่ม คุณหนูเหอเอ่ยถามอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ว่า ''ในตระกูลหลัวมีคนป่วยหรือไม่ คนที่ป่วยใช่หนึ่งในหลานแฝดนายน้อยเว่ยและนายน้อยจูหรือไม่?'' ข้าใไม่น้อย เมื่อถามว่านางรู้จากที่ใด นางก็ตอบว่า ''ฝัน'' บ่าวจึงเอ่ยถามรายละเอียดในความฝันต่อ คุณหนูสามมีท่าทีหวาดกลัวไม่น้อย นางเอ่ยถึงฝันร้ายนั้นเพียงเล็กน้อย ยังบอกว่าในฝันเป็เซียนผู้เฒ่าบอกนาง ข้าฟังความหมายในคำพูดของนางมีนัยว่า ''นายน้อยจูมีชีวิตไม่ยืนยาวนัก'' ก่อนบ่าวจะออกจากจวนหลัว นายน้อยจูยังกินได้นอนหลับตามปกติ บ่าวจึงบอกให้นางอย่าได้พูดเื่นี้กับคนอื่นอีก เพื่อหลีกเลี่ยงการมีปัญหากับคนของนายหญิงใหญ่ คุณหนูสามเชื่อฟังคำแนะนำของบ่าว พวกเราจึงไม่ได้เอ่ยถึงเื่นี้อีก”
เหล่าไท่ไท่ฟังหยางมามาอย่างตั้งใจ แม้จะมีร่องรอยการตากแดดตากลมนานหลายปี แต่ก็ยังสามารถเรียกได้ว่าเป็ใบหน้าที่ ''งดงาม'' ได้
“เมื่อบ่าวถึงจวน ก้าวเข้าประตูก้าวแรกก็เห็นโคมไฟสีแดงเปลี่ยนเป็สีขาว จึงรีบเอ่ยถามบ่าวรับใช้ว่าเกิดเื่อันใด จึงรู้ว่านายน้อยจูป่วยหนัก” หยางมามาถูมือที่บวมแดง ก่อนถอนหายใจพลางเอ่ย “นายน้อยจูเป็เด็กดีรู้ความ คนในจวนหลัวทุกคนต่างเอ็นดู เมื่อได้ยินข่าวร้าย ข้าก็ทั้งใและเสียใจ คิดไม่ถึงว่าความฝันของคุณหนูสามจะเป็จริง บ่าวคิดทบทวนคำพูดของคุณหนูสามครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็คิดไม่ตก จึงปลุกเหล่าไท่ไท่กลางดึกเพราะอยากพูดเื่แปลกประหลาดนี้”
เล็บมือข้างซ้ายของเหล่าไท่ไท่จิกลึกลงบนข้อมือขวา น้ำเสียงสั่นเครือดังสะท้อนภายในห้องเงียบสงบ “หรือคำทำนายของหมอดูหลี่ที่เหม่ยเหนียงเชิญมานั้น... ที่บอกว่าครอบครัวพวกเรามีปีศาจสาว... คำทำนายของเขาทั้งหมดเป็เื่จริงหรือ?”
ทั้งหมดเป็ความจริงหรือ
เป็ความจริงหรือ?
เป็ความจริงกระนั้นหรือ?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้