ตอนนี้หลงเหยียนรู้แล้วว่ามารดาของตนมีอำนาจในสำนักตงฟางแห่งตระกูลอู่ตี้แค่ไหน เมืองอู่ตี้มีสำนักอยู่สี่แห่งด้วยกัน เหนือสำนักทั้งสี่ยังมีอำนาจอีกหลายกลุ่ม ซึ่งเป็ตระกูลชั้นใน หรือก็คือตระกูลที่แยกแขนงมาจากตระกูลอู่ตี้นั่นเอง เมื่อคิดเช่นนี้ก็ดูเหมือนว่าตระกูลอู่ตี้จะยิ่งใหญ่มากจริงๆ ลำพังแค่สำนักตงฟางก็มีสมาชิกนับหมื่นคนแล้ว
สำนักมารต้องรับมือกับมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไม่ไหวแน่ ตอนนี้หลงเหยียนยังไม่มีกำลังมากพอที่จะต่อสู้กับสำนักมารหรอกนะ
“เอาเถอะ หากมีโอกาส ข้าจะพัฒนาตัวเองให้เร็วที่สุด จะสร้างอำนาจของตนและทำลายสำนักมารให้สิ้นซาก แน่นอนว่าหนึ่งในคนที่ต้องทำลายก็รวมไปถึงลั่วซางที่สมควรตายด้วย ข้าจะเอาชนะและสังหารเ้าให้ได้”
เมื่อคิดเช่นนี้ เพื่อท่านพ่อ เพื่อท่านปู่ เพื่อตระกูลหลงเหยียน เพื่อเมืองั เขาต้องทำลายสำนักมารให้ได้ ทั้งหมดนี้ถึงจะปลอดภัยอย่างแท้จริง เมื่อคิดถึงความน่ากลัวของสำนักมาร หลงเหยียนก็มีกำลังใจฮึดสู้อีกครั้ง
เมืองอู่ตี้เป็เมืองที่กว้างใหญ่นัก พวกเขาเดินมานานพอตัวกว่าหลิงเทียนอวี่จะพูดขึ้น “เอาละ พวกเรามาถึงสำนักตงฟางแล้ว”
คนทั้งหลายแหงนหน้าขึ้นไปมองสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ตรงหน้า บนนั้นมีป้ายขนาดใหญ่ที่ดูน่าเกรงขามติดอยู่ บนนั้นเขียนเอาไว้ว่า ‘ตำหนักตงฟาง’
ดูจากสิ่งก่อสร้างตรงหน้า ลำพังแค่สำนักตงฟางเพียงแห่งเดียว ก็ดูจะยิ่งใหญ่กว่าตระกูลหลงอู่เป็สิบเท่าทีเดียว หากจะเทียบว่าเมืองหยุนจงเป็อาณาจักร เช่นนั้นเมืองอู่ตี้ก็เป็เหมือนเมืองซ้อนเมืองอีกที ซึ่งสำนักตงฟางตรงหน้าก็มีขนาดใหญ่กว่าเมืองัเป็สิบเท่าด้วยซ้ำ
หลงเหยียนและคนอื่นๆ เริ่มคลายความตะลึงลง หลิงเทียนอวี่จึงพูดขึ้น “เอาละ เข้าไปข้างในกับข้าเถิด เราต้องหาที่พักให้พวกเ้าก่อน จากนั้นข้าจะอธิบายโครงสร้างและกฎต่างๆ ในสำนักตงฟางให้พวกเ้าฟังอย่างละเอียดอีกครั้ง”
พวกเขามองสำรวจอาคารขนาดั์ตรงหน้า ที่รอบๆ ตำหนักตงฟางมีผู้ฝึกยุทธ์เฝ้าอยู่สี่คน ผู้ฝึกยุทธ์เ่าั้มีพลังมากกว่าระดับชีพธรณี กำลังเฝ้ารักษาความปลอดภัยแก่อาคารอย่างตั้งใจ
พวกเขาเดินทะลุตำหนักตงฟาง และเดินตามหลิงเทียนอวี่ไปเรื่อยๆ จนมาถึงถนนที่กว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
“ตำหนักตงฟางที่เราเห็นเมื่อครู่ก็คือสถานที่ที่ท่านผู้นำทุกคนในสำนักย่อยมักจะไปรวมตัวกันเพื่อประชุมหารือเื่ต่างๆ อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วไม่มีใครไปที่นั่นหรอก” หลิงเทียนอวี่อธิบายพลางเดินต่อไป
ระหว่างทางมีผู้ฝึกยุทธ์เดินผ่านไปหลายคน หลายคนในนั้นมีพลังมากกว่าระดับชีพมนุษย์ขั้นแรก หรือบางคนก็อาจจะมีพลังแข็งแกร่งจนถึงระดับชีพมนุษย์ด้วยซ้ำ และนั่นก็ทำให้หลงเหยียนรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสถานที่แห่งนี้ทรงอำนาจและไม่ธรรมดาแค่ไหน
ดูท่าเขาคงต้องใช้ชีวิตที่นี่อย่างสงบเสงี่ยมและเจียมตัวเสมอ ไม่เช่นนั้น หากเจอคนแบบลั่วซางอีก เขาอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ทุกเมื่อ
ยิ่งเป็สถานที่ทรงอำนาจและกว้างใหญ่เช่นที่นี่ การแข่งขันก็ยิ่งสูงและดุเดือดกว่าที่อื่นเป็ธรรมดา ซึ่งการประลองก่อนจะเข้าเมืองอู่ตี้ก็ทำให้หลงเหยียนรู้ซึ้งถึงเื่นี้แล้ว ที่นี่อาจจะน่ากลัวและเต็มไปด้วยกลอุบายที่โเี้เกินกว่าที่เขาจะคาดคิดด้วยซ้ำ
่กลางวัน หลังกินอาหารในโรงอาหารเสร็จ หลิงเทียนอวี่ก็พาพวกเขาไปเลือกห้องพักต่อ
ระหว่างนั้นยังอธิบายเื่ต่างๆ ของสำนักตงฟางให้พวกเขาฟังอย่างคร่าวๆ ตลอดทาง
“สำนักตงฟางมีท่านผู้นำสิบคน และผู้คุมทางการทหารอีกสองคน นอกจากนี้ยังมีผู้ดูแลในแต่ละหน่วยงานอีกสิบคน ผู้พิทักษ์กฎแปดคน และมีนักรบโลหะอีกสี่คนด้วยกัน ตำแหน่งของพวกเขาสูงส่งพอๆ กับเ้าสำนักเลยทีเดียว ทว่าคนเหล่านี้ไม่มีเขตอำนาจที่แน่ชัด ถึงกระนั้นก็สามารถสั่งผู้นำทุกคนในสำนักตงฟางได้! โดยผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในสำนักตงฟางก็คือใต้เท้าผู้นำนั่นเอง
“เื่การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในสำนัก ไว้ข้าจะเล่าให้ฟังอีกครั้งก็แล้วกัน ตอนนี้เรามาพูดถึงหน่วยงานทั้งสิบก่อน หน่วยงานเหล่านี้ได้แก่ หน่วยกวาดล้าง หน่วยควบคุม หน่วยชำนาญ หน่วยตรวจสอบ หน่วยกฎเกณฑ์ หน่วยประทับ หน่วยประสาน หน่วยต้อนรับ หน่วยทรัพยากร และหน่วยการแพทย์”
“หน่วยงานที่ชื่อหน่วยกวาดล้างนั้นมีหน้าที่ทดสอบและประเมินคนในสำนัก หากใครประพฤติตัวไม่ดีก็จะถูกตรวจสอบและไล่ออกไปจากสำนักทันที เพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างในสำนักจะสงบเรียบร้อยและปลอดภัยตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้ ถือเป็หน่วยงานที่มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสำนักตงฟางนั่นเอง ส่วนหน่วยงานที่ชื่อหน่วยควบคุมก็มีหน้าที่ควบคุมและใช้กำลังเข้าสกัดความวุ่นวาย ถือเป็กลุ่มอำนาจที่สำนักตงฟางซ่อนเอาไว้ พวกเขามีหน้าที่หยุดเหตุการณ์วุ่นวายในสำนัก หรือก็คือการรักษากฎระเบียบในนี้นั่นเอง ซึ่งในทุกๆ วัน พวกเขาต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้สำนักมั่นคงยิ่งขึ้น เมื่อเป็เช่นนั้น สำนักย่อมพัฒนาตัวเองได้เรื่อยๆ เช่นกัน
“หน่วยงานที่ชื่อหน่วยชำนาญ มีหน้าที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารต่างๆ เป็เหมือนดวงตาของสำนักตงฟาง หน่วยงานที่ชื่อหน่วยตรวจสอบมีหน้าที่สำรวจและสืบสวนเื่การทำผิดกฎในสำนักตงฟาง เมื่อสืบสวนเสร็จก็จะส่งผู้ทำผิดไปให้หน่วยกฎเกณฑ์ต่อ นอกจากนี้ หน่วยตรวจสอบยังมีหน้าที่ตรวจสอบผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าสำนักใหม่ทุกคน หากหนึ่งปีผ่านไปแล้วพลังของผู้ใดยังไม่พัฒนา คนผู้นั้นก็จะถูกส่งไปที่หน่วยกฎเกณฑ์ทันที เมื่อถึงตอนนั้น คนพวกนั้นอาจจะถูกไล่ออกจากสำนักตงฟางเลยก็ได้
“หน่วยกฎเกณฑ์ มีหน้าที่ป้องกันอันตรายให้ท่านผู้นำ รักษาระเบียบและความปลอดภัยของครัวเรือน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็หน้าที่ของพวกเขาทั้งสิ้น ลำดับต่อมาก็คือหน่วยประทับ ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในสำนักตงฟางเลยก็ว่าได้ ส่วนหน่วยงานอื่นๆ ที่เหลือ หน่วยประสานมีหน้าที่รับรองแขก ส่วนหน่วยต้อนรับ ดูจากชื่อก็น่าจะเข้าใจแล้วว่าพวกเขาทำหน้าที่อะไร รู้แค่เื่พวกนี้ก็พอแล้ว เพราะเื่อื่นไม่สำคัญกับพวกเ้าเท่าไร!”
“หน่วยงานที่พวกเราเข้ามานี้คือหน่วยงานที่ถูกเรียกว่าหน่วยประทับ ซึ่งเป็กำลังหลักของสำนักตงฟางนั่นเอง หน่วยงานนี้เป็หน่วยงานที่ทรงอำนาจและมีเขตการปกครองกว้างที่สุดในสำนักตงฟางแล้ว ต่อไป หากจะเข้าออกเมืองอู่ตี้ พวกเ้าต้องระวังตัวให้มาก ห้ามไปทะเลาะหรือมีเื่กับคนในหน่วยอื่นๆ เด็ดขาด”
“หากเป็คนในสำนักตงฟางด้วยกันยังไม่เท่าไร ทว่าสำนักอีกสามแห่งนี่สิ อย่าลืมเสียเล่า ว่าเมืองอู่ตี้มีสำนักถึงสี่แห่งด้วยกัน ได้แก่สำนักตงฟาง สำนักซีเหมิน สำนักหนานกง และสำนักเป่ยเยี่ยน ฉายาของผู้ปกครองของสำนักทั้งสี่ก็คือ ตงจวิน ซีหมัว หนานตี้ และเป่ยจง พวกเขาแต่ละคนล้วนมีพลังระดับสูง แข็งแกร่งจนยากจะจินตนาการทีเดียว”
“นี่ยังเป็แค่อำนาจฝ่ายนอกของตระกูลอู่ตี้เท่านั้น อำนาจฝ่ายในของตระกูลอู่ตี้ต่างหาก ที่เป็แก่นกลางของตระกูลอู่ตี้ ซึ่งอำนาจฝ่ายในที่ว่านี้ก็ถูกควบคุมโดยผู้าุโระดับสูงสิบคน และบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตระกูลอีกสี่คนด้วยกัน”
“ตอนนี้ข้าจะแจกป้ายประจำตัวให้พวกเ้าคนละอัน มันเป็ป้ายที่ทำจากหยกั ข้อมูลของพวกเ้าแต่ละคนจะถูกบันทึกลงในนี้ เพียงส่งพลังปราณเข้าไปขับเคลื่อน ก็สามารถอ่านข้อมูลในหยกได้แล้ว”
ขณะกำลังพูดคุยกันนั้น ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาต่างก็กล่าวทักทายหลิงเทียนอวี่ด้วยรอยยิ้มตลอดทาง “เสี่ยวอวี่ มีสมาชิกใหม่มาอีกแล้วหรือ ได้ข่าวว่าสมาชิกใหม่ในครั้งนี้มีเด็กหนุ่มที่ไม่ธรรมดาอยู่คนหนึ่ง เป็เพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับชีพัขั้นที่แปด กลับเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีพลังระดับชีพัขั้นที่เก้าได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีวิชาการต่อสู้ระดับมายาติดตัวอีกด้วย”
คิดไม่ถึงว่าข่าวนี้จะแพร่กระจายไปทั่วสำนักตงฟางได้อย่างรวดเร็ว ไม่สิ แพร่กระจายไปทั่วเมืองอู่ตี้เลยต่างหาก
หลิงเทียนอวี่มองกลุ่มคนที่กำลังพูดคุยกันอย่างอารมณ์ดีเบื้องหน้าตนครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่ไม่เป็มิตรนัก “คนที่เ้าพูดถึงก็คือชายที่อยู่ข้างกายข้าคนนี้ไง มีอะไรหรือ”
เมื่อได้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ของหลงเหยียน กลุ่มคนที่เป็ฝ่ายถามก็หัวเราะขึ้นอย่างเย้ยหยัน “ที่แท้ก็เป็เด็กหนุ่มตัวจ้อยคนนี้เองหรือ คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กบ้านนอกที่มาจากถิ่นทุรกันดารแบบเขาจะมีพร์เช่นนี้อยู่ด้วย”
หลงเหยียนมองสำรวจกลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตน หลิงเทียนอวี่ก็เข้ามาบังร่างของเขาเอาไว้อย่างปกป้อง “หัวเราะเยาะกันเช่นนี้ไม่ไร้สาระเกินไปหน่อยหรือ ให้ข้าไปเชิญท่านผู้นำแห่งหน่วยประทับของเรามาคุยกับพวกเ้าสักหน่อยดีไหม?”
เมื่อพูดถึงท่านผู้นำ กลุ่มคนซึ่งเป็ศิษย์จากเรือนอื่นก็เงียบเสียงลงทันที เพราะพวกเขารู้ดีว่าท่านผู้นำของหน่วยประทับเก่งกาจเพียงใด อย่าว่าแต่ตนเลย แม้กระทั่งท่านผู้นำของหน่วยพวกเขาก็ไม่กล้าลบหลู่เว่ยเวยเช่นกัน แน่นอนว่าตอนนี้หลงเหยียนยังไม่รู้เื่ความสัมพันธ์ทางอำนาจนี้
หลงเหยียนมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยการเย้ยหยันของกลุ่มคนตรงหน้าพลางอดกลั้นความโกรธเกรี้ยวในใจเอาไว้ เขาบอกกับตัวเองเสมอว่าต้องสงบใจเข้าไว้ กระทั่งคนกลุ่มนั้นเดินจากไป หลิงเทียนอวี่ถึงถอนหายใจออกมา “เ้าพวกนั้นเป็คนที่เกิดและอาศัยอยู่ในเมืองหยุนจงมาั้แ่เด็ก พวกเขามีพร์ที่ล้ำเลิศมาั้แ่เกิด เมื่อโตขึ้นก็ตัดสินมาที่เมืองอู่ตี้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังมีคนหนุ่มสาวที่มีพร์ไม่เลวอีกมากที่ตัดสินใจเข้าร่วมสำนักหยุนเฟิง ซึ่งเป็กลุ่มอำนาจอีกแห่งของเมืองหยุนจง พวกเ้าถือว่าโชคดีไม่น้อยที่ถูกคัดเลือกโดยตระกูลอู่ตี้โดยตรงเช่นนี้ นอกจากนี้ยังมีหนุ่มสาวจากเมืองเล็กๆ อีกมากที่ตัดสินใจไปที่เมืองหยุนจงเพื่อเข้าร่วมในกลุ่มอำนาจอีกหกแห่งที่เหลือ”
--------------------