“โฮก!” ขณะนั้นมีวานรสุวรรณตัวใหญ่ปรากฏตัวที่ด้านหน้าเย่เฟิง ลู่เจียง และฉินเยียนหราน ร่างของมันเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย เพียงแค่มันหายใจก็จะพ่นพลังอสูรออกมา ในขณะเดียวกันวานรสุวรรณตนนั้นได้เหวี่ยงหมัดโจมตีพวกเย่เฟิง หมัดนั้นไม่ต่างจากูเาลูกเล็ก และ้าบดขยี้พวกเย่เฟิงให้แหลกเป็ผุยผง ทั้งสามคนจึงใช้เคล็ดวิชาของตนโจมตีและหลบหมัดนั่นทันที
“ปัง!” เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทั้งสามคนหลบหมัดนั่นได้ แต่หมัดของวานรสุวรรณกลับโดนพื้นดินเข้าอย่างจัง ทำให้พื้นบริเวณนั้นสั่นไหวพร้อมรอยแตกร้าวขยายตัวเป็วงกว้าง
ในขณะเดียวกันดวงตาของจงเทาฉายแววอย่างเยือกเย็น จู่ ๆ แสงจ้าปรากฏในมือเขา เมื่อเขาขยับมือ ทันใดนั้นแสงเยือกเย็นดุจสายฟ้าทะลวงอากาศด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เป้าหมายก็คือวานรสุวรรณ
“ฉึก!” เสียงหนึ่งดังขึ้น แสงเยือกเย็นนั่นแทงทะลุบางส่วนของร่างวานรสุวรรณ จนเืพุ่งกระฉูด
“โฮก!” วานรสุวรรณแผดเสียงคำรามพร้อมกับใช้กำปั้นทุบหน้าอกตัวเองหลายครั้ง จู่ ๆ มันก็เริ่มคลุ้มคลั่ง เห็นชัดว่าจงเทายั่วโมโหมันเข้าอย่างจัง
เมื่อเย่เฟิงคิดจะล่าถอย จงเทาก็ไปเยือนที่ด้านหลังเย่เฟิงอย่างเงียบเชียบ พร้อมกับใช้ฝ่ามือโจมตีเย่เฟิงอย่างไม่ลังเล
“ไปให้พ้นหน้าข้าซะ!”
นาทีต่อมาได้ยินเสียงดังปัง เย่เฟิงรู้สึกว่ามีพลังมหาศาลจู่โจมมาที่ด้านหลังเขา ทำให้เขาส่งเสียงโอดครวญและอดเซไปข้างหน้าไม่ได้ และก็ต้องบ่นในใจว่าแย่แล้วไปพร้อม ๆ กัน เพราะการปรากฏตัวของเขา วานรสุวรรณจึงคิดว่าคนที่ลอบทำร้ายมันก็คือเขา จากนั้นวานรสุวรรณใช้ฝ่ามือคว้าร่างเย่เฟิง ก่อนจะยกตัวขึ้นมา พลังเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่เย่เฟิงในเวลานี้จะต่อต้านได้
“เย่เฟิง!” ฉินเยียนหรานหน้าซีดเซียว มีหรือนางจะไม่รู้ว่าจงเทาลอบโจมตีเย่เฟิง จากนั้นนางเดินออกไปหมายสู้กับวานรสุวรรณ แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งขวางนางไว้ ก่อนจะถูกเงาร่างนั้นจับแขนและพาออกไปให้ห่างจากสมรภูมินี้
“ท่านพ่อ ท่านจะทำอะไร?” ฉินเยียนหรานดวงตาแดงก่ำขณะมองชายวัยกลางคนตรงหน้า
“คลื่นสัตว์อสูรระดับนี้ เ้าอยู่ที่นี่ก็เท่ากับรนหาที่ตาย” ชายวัยกลางคนกล่าว
“แล้วเย่เฟิงล่ะ? เขาคือสหายข้า ข้ามิอาจทนดูเขาตกเป็เหยื่อของสัตว์อสูรได้!” ฉินเยียนหรานกล่าวอย่างร้อนใจ เมื่อนางพูดจบก็พุ่งตัวไปยังใจกลางคลื่นสัตว์อสูรทันที
“หยุดนะ!” ชายวัยกลางคนเห็นฉินเยียนหรานจะพุ่งตัวออกไปก็ะโห้าม จากนั้นปิดผนึกเส้นลมปราณสองสามแห่งของฉินเยียนหราน ทำให้นางใช้พลังไม่ได้
“เ้าชอบยุ่งเื่ชาวบ้านั้แ่เมื่อไรกัน เขาก็แค่ศิษย์สายนอกเท่านั้น เ้าจะไปห่วงเขาทำไม คลื่นสัตว์อสูรระดับนี้ แม้แต่พ่อเ้าก็ยังไม่กล้าเข้าร่วมเลย แล้วนับประสาอะไรกับเ้า!” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยความไม่พอใจกับการกระทำของฉินเยียนหราน
ฉินเยียนหรานรู้สึกเศร้าใจมาก นางอยากโต้แย้งแต่เห็นชายวัยกลางคนพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้าจะพยายามช่วยเขา แต่จะช่วยออกมาได้ไหมก็ขึ้นอยู่กับโชคของเขา!”
ในขณะนั้นจงเทา ลู่เจียง และเซี่ยโหวิหนีไปจากคลื่นสัตว์อสูร พร้อมกับสีหน้าพึงพอใจ
“พี่จง กระบวนท่านี้ของเ้าช่างยอดเยี่ยมนัก แม้เย่เฟิงตายก็ไม่มีใครรู้ว่าผู้ใดเป็คนฆ่า เพราะไม่มีหลักฐานเพียงพอ ทางสำนักยุทธ์ก็ไม่มีทางเอาเื่เ้าได้” เซี่ยโหวิส่งเสียงผ่านจิตไปหาจงเทา เขานับถือในวิธีการของจงเทามาก
“ก็แค่เศษสวะ ข้าจงเทาจะจัดการเขาก็แค่เื่เล็ก ๆ” จงเทาส่งเสียงผ่านจิตกลับไปหาเซี่ยโหวิด้วยสีหน้าได้ใจ จากนั้นพวกเขาสามคนก็มาถึงที่ที่ฉินเยียนหรานและชายวัยกลางคนคนนั้นอยู่
ชายวัยกลางคนหันไปมองทั้งสามคน พลางกล่าวว่า “พวกเ้าสามคนช่วยข้าพานางกลับไปที!”
“รับทราบ!” ทั้งสามโค้งคำนับให้ชายวัยกลางคน แม้พวกเขาจะเป็ศิษย์สำนักยุทธ์ แต่ก็ย่อมรู้ฐานะของชายวัยกลางคนดี เมื่อชายวัยกลางคนพูดจบก็หายตัวไปจากที่เดิมอย่างไร้ร่องรอย เห็นชัดว่ามีพลังแกร่งกล้า
“คุณหนูเยียนหราน พวกเราไปกันเถอะ!” จงเทากล่าวพลางยิ้มให้ฉินเยียนหราน
“จงเทาเ้ามันคนต่ำช้า! เหตุใดจึงลอบทำร้ายเย่เฟิง?” ฉินเยียนหรานมองจงเทาด้วยสีหน้ากราดเกรี้ยว
“คุณหนูเยียนหรานเข้าใจผิดแล้ว เย่เฟิงอยากจับวานรสุวรรณเอง แล้วจะเกี่ยวกับข้าได้อย่างไรเล่า?” จงเทากล่าวพลางยิ้มอย่างฮึกเหิม แม้เขาจะเห็นท่าทีโกรธเกรี้ยวของฉินเยียนหราน เขาก็ยังนิ่งเฉย เพราะเป้าหมายของเขาสำเร็จลุล่วงแล้ว
“สารเลว!” ฉินเยียนหรานตะคอกใส่ ก่อนจะพูดต่อไปว่า “จงเทา เ้าอย่ามาเล่นลิ้น ถ้าเย่เฟิงเป็อะไรไป ข้าจะทำให้เ้าตายไร้ที่ฝัง!”
น้ำเสียงของฉินเยียนหรานแข็งกร้าว หากเกิดเื่อะไรกับเย่เฟิง นางจะทำให้จงเทาตายโดยไร้ที่กลบฝัง ถ้อยคำนี้ช่างเฉียบคมยิ่ง ถึงกับทำให้จงเทาชะงักนิ่ง แต่จากนั้นก็ระบายยิ้มอย่างไม่สนใจ
คลื่นสัตว์อสูรมหึมาปรากฏขึ้น สำนักยุทธ์เทียนเสวียนโกลาหล ส่งผลให้ผู้าุโหลายคนรุดมาที่เชิงเขาเทียนเสวียน ศึการะหว่างมนุษย์และสัตว์อสูรเริ่มปะทุ ในกองทัพสัตว์อสูรมีระดับปฐีหลายตน พวกมันมีพลังโจมตีแกร่งกล้าและกระหายเืจนเข่นฆ่าลูกศิษย์หลายคนอย่างโเี้
หลังจากบิดาของฉินเยียนหรานมอบภารกิจให้พวกจงเทาไปส่งฉินเยียนหราน เขาก็มาที่ใจกลางคลื่นสัตว์อสูรเป็ที่แรก เพื่อตามหาร่องรอยของเย่เฟิง ซึ่งนี่เป็ครั้งแรกของเขาที่เห็นบุตรสาวดูเป็ห่วงเป็ใยใครมากขนาดนี้ และยังเป็ครั้งแรกที่พูดจาเช่นนี้กับเขา เขาเห็นความสิ้นหวังในแววตาของนาง ดังนั้นแม้เย่เฟิงจะเป็ศิษย์สายนอกทั่วไป เขาก็จะพยายามตามหาและช่วยเขาอย่างสุดความสามารถ
ศึกานี้ยืดยาวถึงหนึ่งวันเต็ม จนในท้ายที่สุดสัตว์อสูรก็ถอยทัพกลับเข้าไปยังเขาเทียนเสวียน แต่สำนักยุทธ์เทียนเสวียนเสียหายอย่างหนัก มีผู้าุโและลูกศิษย์ตายไปหลายคน ผู้ได้รับาเ็ก็มีจำนวนมาก
อย่างไรก็ตามคลื่นสัตว์อสูรระดับนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบหลายร้อยปี เื่นี้จึงทำให้บุคคลระดับสูงของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนให้ความสนใจมาก ทั้งยังเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลมาเป็พิเศษ เพื่อตั้งค่ายกลป้องกันตรงเชิงเขาเทียนเสวียน เพราะคาดการณ์ว่าคลื่นสัตว์อสูรจะต้องกลับมาอีกครั้ง
วันที่สอง ฉินเยียนหรานนั่งอยู่ในห้องของตัวเองและเอาแต่เหม่อลอย ในหัวของนางมีแต่ภาพเงาของเงาร่างที่ไร้ที่ตินั่น สองวันมานี้นางไม่รู้สึกอยากอาหารและไม่มีอารมณ์จะทำอะไร จนนางดูผอมแห้งมาก
“แอ๊ด!” ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูดังขึ้น ทันทีที่ปรากฏเงาร่างชายวัยกลางคน ฉินเยียนหรานก็ได้สติและเดินมาหาชายวัยกลางคนด้วยท่าทีร้อนใจ ก่อนเอ่ยถามว่า “ท่านพ่อ เย่เฟิงเขาเป็อย่างไรบ้าง มีข่าวคราวของเขาหรือไม่?”
ชายวัยกลางคนเห็นสภาพของบุตรสาวตนก็ต้องทอดถอนใจ เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่ส่ายหัวเบา ๆ
แม้จะไม่ตอบกลับ แต่ดูจากท่าทางของชายวัยกลางคน ฉินเยียนหรานก็พอจะเดาคำตอบได้ จึงทำให้นางรู้สึกปวดใจและไม่รู้ว่าตัวเองเป็อะไรไป หรือสาเหตุแค่มาจากความรู้สึกผิดที่นางชวนเย่เฟิงออกล่าสัตว์ในตอนนั้นกันแน่? ถ้าเช่นนั้นเพราะเหตุใดนางจึงเอาแต่เป็ห่วงเย่เฟิงตลอดสองวันที่ผ่านมานี้ แม้แต่ตัวนางเองก็ยังให้คำตอบไม่ได้
“เ้าชอบเขาหรือ?” ชายวัยกลางคนพูดโพล่งขณะมองท่าทีเ็ปของฉินเยียนหราน
ฉินเยียนหรานได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักนิ่ง นางไม่เคยคิดเื่นี้มาก่อน ไม่ใช่ว่าเย่เฟิงไม่ดีพอ เพียงแต่ฉินเยียนหรานเห็นเย่เฟิงเป็เพียงคนเ้าเล่ห์ชอบพูดจาแทะโลม ทั้งสองจึงไม่มีทางเข้ามาเกี่ยวพันเื่ชายหญิงได้ แต่ดูเหมือนว่าคำถามนี้จะดูซับซ้อนและสับสน ฉินเยียนหรานเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
“เ้าตอบไม่ได้ นั่นก็หมายความว่าเ้าชอบเขา” ชายวัยกลางคนกล่าว ก่อนจะถอนใจยาว จากนั้นเขาหมุนตัวกลับไปแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่พบศพเขา บางทีอาจจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น เ้าก็อย่าเศร้าใจไปล่ะ!”
เมื่อกล่าวจบ ชายวัยกลางคนเดินออกจากห้องโดยไม่หันกลับมามอง แต่เมื่อถึงประตูทางออกก็อดพูดไม่ได้ว่า “ลูกสาวข้าโตเป็ผู้ใหญ่แล้วจริง ๆ แต่พ่อหวังว่าเ้าไม่จะทำผิดซ้ำซากเหมือนแม่เ้า”
หลังจากชายวัยกลางคนพูดประโยคนี้ก็เดินออกไป ขณะฉินเยียนหรานมองแผ่นหลังของบิดา ใบหน้าก็แดงระเรื่อจาง ๆ นางหลงไปชอบชายสารเลวผู้นั้นที่เอาเปรียบนางอย่างนั้นหรือ?
หลังจากคลื่นสัตว์อสูรถอยทัพ ก็มีชื่อหนึ่งแพร่ไปทั่วสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ชื่อของคนนี้ก็คือเย่เฟิง อดีตผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 4 ในรายนามขั้นบ่มเพาะกายา ก่อนหน้านี้เขาเคยก่อความวุ่นวายในสำนักหลายเื่ ทำให้ทุกคนในสำนักรู้จักเขา เพียงเวลาไม่กี่เดือนก็กลายเป็บุคคลเลื่องชื่อแห่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน แต่ดาวดวงใหม่ที่เพิ่งเฉิดฉายนี้ กลับเสียชีวิตในเหตุการณ์คลื่นสัตว์อสูรมหึมา เขาถูกวานรสุวรรณตนหนึ่งเขมือบกินโดยไร้ซึ่งกระดูก
เื่นี้สร้างความผันผวนให้กับสำนักยุทธ์เทียนเสวียน เหล่าคนที่เคยมีเื่กับเย่เฟิงก็พากันเบิกบานใจกับการตายของเย่เฟิง ในหมู่คนเหล่านี้มีตระกูลเฉิน ตระกูลโจว ตระกูลหวัง ตระกูลหลี่ นิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ และตระกูลตู๋กู
แต่หลังจากพรรคเทียนเสวียนได้ยินข่าวนี้ พวกเขาต่างก็เศร้าโศก โดยเฉพาะคนเ่าั้ที่เคยเห็นความสง่าผ่าเผยของเย่เฟิง ก็ยิ่งเสียใจ ศิษย์น้องที่โดดเด่นผู้นี้ถูกสัตว์อสูรเขมือบกินจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?
ฉู่หานและเฉิงเฟยได้ยินข่าวนี้ก็รู้สึกเศร้าปนโกรธ พวกเขายังได้ยินมาอีกว่าเป็เพราะพวกจงเทา เย่เฟิงถึงถูกสัตว์อสูรเขมือบกิน ฉู่หานที่บรรลุขั้นรวมชี่จึงตามหาจงเทาเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้เย่เฟิง แต่ผลที่ตามมาคือถูกจงเทาและลู่เจียงซ้อมจนได้รับาเ็สาหัส หากไม่ได้เฉิงเฟย ก็คงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้
อย่างไรก็ตามหลังจากข่าวที่เย่เฟิงถูกสัตว์อสูรเขมือบกินแพร่กระจาย ในสำนักยุทธ์เทียนเสวียนก็มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ
เขาเทียนเสวียนนั้นมีอาณาเขตกว้างขวาง โอบล้อมเมืองหลวงแห่งอาณาจักรจ้าวเกือบครึ่ง ทำให้เมืองหลวงมีการป้องกันที่หนาแน่นและโจมตีได้ยาก
ส่วนลึกของเขาเทียนเสวียนเป็เขตต้องห้ามของผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์ หลาย ๆ คนในเมืองหลวงก็ยังไม่กล้าย่างกรายเข้าที่แห่งนั้น แต่มีบางคนที่ใจกล้าบุกเข้าไปและไม่เคยได้กลับออกมาอีกเลย พวกสัตว์อสูรมักจะกระหายเื ชอบอยู่กันเป็ฝูง จึงไม่อนุญาตให้มนุษย์คนใดเข้ามาในดินแดนของพวกมัน ทำให้เขาเทียนเสวียนเป็์ของสัตว์อสูรที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรจ้าว ซึ่งมีสัตว์อสูรหลากหลายสายพันธุ์อาศัยอยู่ในนั้น แม้แต่สัตว์อสูรระดับพิภพก็ยังไม่รู้ว่ามีจำนวนมากเท่าใด เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเทียนเสวียนน่าสะพรึงกลัวมากแค่ไหน หากมนุษย์เข้าไปในนั้น จักต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
ณ ส่วนลึกของเขาเทียนเสวียน มีสัตว์อสูรหลายสิบตนยืนอยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง ปราณอสูรแพร่กระจายทั่วอากาศ ทว่าสัตว์อสูรเหล่านี้นิ่งไม่ไหวติง มีเพียงดวงตาที่ทอประกายด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ขณะมองเงาร่างหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หินที่อยู่ไม่ไกล
ต้องทราบก่อนว่าสัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนอยู่ระดับพิภพ แต่บัดนี้กลับดูเชื่องมาก เห็นชัดว่าเงาร่างนั้นน่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด
“พาคนที่ข้า้าตัวมาหรือยัง?” เงาร่างบนเก้าอี้หินกล่าวด้วยท่าทีเฉื่อยชา แต่กลับน่าเกรงขาม ซึ่งมีสัตว์อสูรแมวน้อยอยู่ในอ้อมกอดของเงาร่างนี้ สัตว์อสูรตนนี้มีดวงตากลมโตและอุ้งเท้าเล็กของมันก็กำลังตะกายหน้าอกของเงาร่างนั้น
หลังจากเงาร่างนั้นพูดจบ ก็มีสัตว์อสูรตนหนึ่งเดินมา ทุกย่างก้าวของมันล้วนทำให้พื้นดินสั่นไหว สัตว์อสูรตนนี้ก็คือวานรสุวรรณที่เขมือบกินเย่เฟิง!
ทว่าต่อหน้าเงาร่างนั้น บัดนี้วานรสุวรรณไร้ซึ่งความกระหายเืและความป่าเถื่อน ไม่ต่างจากลิงธรรมดา มันเดินไปหาเงาร่างนั้น ก่อนจะโค้งตัวเล็กน้อยพร้อมดวงตาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว จากนั้นมันเปิดปากและคายมนุษย์คนหนึ่งออกมา ซึ่งก็คือเย่เฟิง
เมื่อเย่เฟิงถูกคายออกมาก็หายใจเข้าเต็มปอดทันที ครู่ต่อมาเขาหันไปมองรอบ ๆ และต้องใจเต้นระรัวพร้อมรู้สึกขนลุกขนพอง สีหน้าก็ยังดูตื่นตระหนก