เสียงที่เ็าไร้ร่องรอยของความอบอุ่นดังขึ้นอีกครั้ง
“เ้าจงกลับไปรายงานว่าถ้าไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงจริงๆ ก็ไม่ต้องเรียกข้ากลับไป ที่จวนไม่มีพี่น้องคนอื่นแล้วหรือ? เรียกข้ากลับไปไม่กลัวฟ้าจะถล่มลงมาหรือไร?”
“คุณชาย!”
“อย่ากล่าวมากความ กลับไปได้แล้ว”
ผู้ส่งสารดูเหมือนจะไม่สามารถคัดค้านอะไรได้อีกและทำได้เพียงจากไปทั้งแบบนั้น
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงอันเ็าก็ดังขึ้น
“ออกมา!”
ชิงซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็เดินออกมาช้าๆ
ใครบางคนยกคบไฟขึ้นสูงเพื่อส่องดูนาง
หลังจากเห็นคนเดินออกมา น้ำเสียงเ็าก็ร่าเริงขึ้นเล็กน้อย “ข้ายังสงสัยว่าใครกันที่แอบฟังอยู่หลังกำแพง ที่แท้ก็แค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เอาเถอะ เ้าไปได้แล้ว"
ชิงซีเหลือบมองเขาและกล่าวว่า “บางทีองค์หญิงใหญ่อาจตายไปแล้ว”
“เ้า...สิ่งที่เ้ากล่าวเป็ความจริงหรือ?”
ชิงซีกล่าวโดยไม่กะพริบตาว่า “ถ้าท่านไม่เชื่อ ก็ไปถามที่จวนตระกูลซูในเมืองฉินโจวได้”
“เ้าเป็ใคร?”
ชิงซีกล่าวเบาๆ “แซ่ของข้าคือมู่”
หลังจากที่ชิงซีพูดจบ นางก็จากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ท้องฟ้ายังไม่สว่างนัก ดูท่าทางจะตีสี่กว่าแล้ว ชิงซีจึงรีบกลับไปที่โรงเตี๊ยม
ทันทีที่นางกลับมาก็พบกับสายตาที่จ้องมองอย่างสงสัยของอวื๋นจื่อ
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ชิงซีกลับมาแล้ว อาจื่อกำลังกังวลอยู่พอดี”
ชิงซียิ้มบางๆ “ตอนที่ข้าออกไปเห็นเ้ากำลังหลับสบาย ข้าจึงไม่อยากปลุกเ้า”
อวิ๋นจื่อถามว่า “แล้วบรรดาบ่าวรับใช้ของตระกูลมู่ไม่รู้หรือว่าเ้าออกไปข้างนอก?”
ชิงซียิ้ม “พวกเขาล้วนเคยชินกับการที่ข้าเป็แบบนี้ เ้าไม่ต้องกังวล ตระกูลมู่มีสถานะที่มั่นคงในวันนี้ได้ บนเส้นทางย่อมต้องมีสหายพิเศษสักสองสามคน”
อวิ๋นจื่อได้ยินเช่นนั้นก็เลิกถาม
ชิงซีกล่าวว่า “ตอนนี้เรามาถึงูเาจิ่วอี๋แล้ว เ้าออกคำสั่งเรียกผู้บัญชาการชางอู๋หลิงเถอะ”
ถึงอวิ๋นจื่อจะยังรู้สึกกังขา แต่เพราะนางเชื่อใจชิงซี นางจึงออกคำสั่งโดยไม่คิดมาก
ชิงซีเล่าคร่าวๆ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเมืองอวิ๋นเมิ่ง
เมื่ออวิ๋นจื่อทราบข่าวก็อดรู้สึกเ็ปไม่ได้ อย่างไรก็ตามสีหน้าของนางยังคงเรียบเฉยไม่ได้แสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมา
เื่ราวเป็ไปตามที่นางคาดไว้
อวิ๋นจื่อถามว่า “ฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่ใช่คนตระกูลโจวหรือ?”
ชิงซีกล่าวว่า “ดูเหมือนจะเป็เสนาบดีเย่เซียงที่สถาปนาตนขึ้นเป็ฮ่องเต้องค์ใหม่ ส่วนตระกูลโจวกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ได้ยินมาว่าเสนาบดีกรมพิธีการเสนอให้เย่เซียงขึ้นเป็ฮ่องเต้โดยใช้ชื่อรัชศกเฉิงเต๋อ”
หลังจากได้ยินเช่นนั้นอวื๋นจื่อก็เงียบไป
ชิงซีกล่าวต่อว่า “พรุ่งนี้จะมีพี่เลี้ยงมาสอนเ้าเกี่ยวกับการวางตัวในหอคณิกา ข้าทำผิดต่อเ้าแล้วอาจื่อ”
อวิ๋นจื่อกลั้นน้ำตา “ไม่เลย โชคดีมากแล้วที่อาจื่อยังมีชีวิตอยู่”
จะมีอะไรน่าเสียใจไปกว่าการสูญเสียชีวิต?
วันหนึ่งนางจะกลับไปที่ตำหนักเหวินฮวา
วันหนึ่งนางจะทำให้ขุนนางทรยศและฏเหล่านี้ต้องชดใช้
อดทนอีกไม่กี่ปีจะเป็อะไรไป
นางกล่าวเบาๆ ว่า “หากวันหนึ่งข้าได้โบยบินกลับสู่วังหลวงอีกครั้ง ข้าจะตอบแทนตระกูลมู่อย่างแน่นอน”
ชิงซียิ้ม “อาจื่อ ข้าน้อมรับความปรารถนาดีของเ้า แต่ตระกูลมู่นั้นเต็มไปด้วยความผันผวน ข้าไม่้าให้ตระกูลมู่เข้าไปพัวพันกับเื่ราวการต่อสู้ในราชสำนัก เื่การตอบแทนนั้นไม่จำเป็เลย ข้าและตระกูลมู่คอยช่วยเหลือเ้าเพราะเรามีความปรารถนาอื่น”
อวิ๋นจื่อสับสนเล็กน้อย
ชิงซีไม่อธิบายเพิ่มเติม
อวิ๋นจื่อจึงกล่าวว่า “ขอให้ท่านสมปรารถนา”
ถ้าพิจารณาจากคำกล่าวของประมุขแห่งตระกูลมู่ ก็ไม่จำเป็ต้องกังวลว่าตระกูลมู่จะมีส่วนร่วมในการต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์
อวิ๋นจื่อรู้สึกมีความสุขเล็กน้อยที่ได้ยินเช่นนี้ โชคดีที่ตระกูลมู่สนับสนุนนาง มิฉะนั้นอนาคตของพวกนางสองพี่น้องจะดำเนินไปในทิศทางใดก็ยังไม่ทราบได้
ลืมมันไปเถิด ต่อให้มีปัญหาใหญ่แค่ไหนนางก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนแบกรับไว้
ไม่นานท้องฟ้าก็สว่าง หลังจากจัดการตนเองเรียบร้อย พวกนางก็เดินทางไปทีู่เาจิ่วอี๋
อวิ๋นจื่อนึกถึงูเาจิ่วอี๋ที่เสด็จพ่อเคยเล่าให้ฟังเมื่อครั้งที่นางยังเด็ก ูเาจิ่วอี๋ตั้งอยู่ในเมืองหยงโจว ยอดเขาทั้งเก้านั้นแตกต่างกันและสลับซับซ้อน นั่นเป็เหตุผลให้มันถูกเรียกว่าูเาจิ่วอี๋ ในอดีตมีฮ่องเต้หลายองค์เสด็จตด้วยโรคภัยไข้เจ็บทีู่เาจิ่วอี๋ตอนที่พวกเขาเสด็จเยือนทางใต้เพื่อทอดพระเนตรสภาพความเป็อยู่ของประชาชน เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้เหล่าสนมและนางกำนัลที่ร่วมเดินทางมาก็ต้องพลีชีพเพื่อติดตามไปรับใช้ฮ่องเต้ในปรโลกโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ตำนานชุนหวงตี้ระบุว่าบรรพบุรุษของพวกนางและพระสนมทั้งสองถูกฝังไว้ทีู่เาจิ่วอี๋ ตรงบริเวณยอดเขาชุ่นหยวน ยอดเขาเอ๋อหวง และยอดเขาหนิวอิง
ความคิดของนางล่องลอยไป ประมุขตระกูลมู่มีจุดประสงค์อะไรจึงได้พานางมายังสถานที่แห่งนี้?
แน่นอนว่านางเชื่อใจชิงซี แต่ก็มักมีข้อสงสัยเกิดขึ้นในใจบ่อยครั้ง
นางเติบโตขึ้นมาในวัง นางได้เห็นความดำมืดและกลอุบายทุกชนิด ซึ่งทำให้นางต้องระแวดระวังอยู่เสมอ
ต่อให้รู้เช่นนั้นนางก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ดังนั้นอวิ๋นจื่อจึงทำได้เพียงปล่อยวางความกังวลใจ
ก่อนที่จะรู้ตัว อวื๋นจื่อก็มาถึงยอดเขาชุ่นหยวนแล้ว
นางจำได้ลางๆ ว่าดูเหมือนจะมีถ้ำจื่อเสียบนยอดเขาชุ่นหยวน
อวิ๋นจื่อคิดว่าพวกนางจะไปที่ถ้ำจื่อเสีย แต่ชิงซีกลับพานางมาที่วิหารแห่งหนึ่ง
อวิ๋นจื่อรู้สึกเหมือนว่านางเคยมาที่นี่ แต่เป็ตอนไหนกัน?
นางเคยมาที่นี่เมื่อไหร่?
นางจำไม่ได้เลย
อวิ๋นจื่อรู้สึกเวียนหัวจึงหลับตาลงครู่หนึ่ง หลังจากลืมตาขึ้นก็พบกับดวงตาที่ใสกระจ่างของชิงซี
ชิงซีถามเบาๆ ว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ไม่มีอะไร บางทีข้าอาจไม่ชินกับการอยู่บนูเา”
ชิงซียื่นขวดหยกสีขาวเล็กๆ ให้อวิ๋นจื่อ “ถ้าเ้ารู้สึกไม่สบายก็หยิบไปเม็ดหนึ่ง”
อวิ๋นจื่อรับขวดหยกมาอย่างว่าง่าย จากนั้นนางก็หยิบเม็ดยาสีขาวขุ่นที่อยู่ภายในออกมาทานทันที
ขณะที่อวิ๋นจื่อกำลังปรับตัว ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้คนมากมายดังขึ้นในหูของนาง
ชางอู๋หลิงหรือ?
ตอนนี้ถึงเวลาต้องแก้ไขปัญหาของชางอู๋หลิงแล้ว
ในไม่ช้ายอดฝีมือของชางอู๋หลิงทั้งสามพันคนก็คุกเข่าอยู่ที่ด้านหน้าของอวิ๋นจื่อ
อวิ๋นจื่อมองพวกเขาอย่างเ็าโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ
ดูเหมือนนางจะกลายเป็อีกคนไปแล้ว
น้ำเสียงของนางเฉยเมยจนไร้ซึ่งความอบอุ่น
“ฉางเหอตายแล้วรู้หรือไม่?”
ชางอู๋หลิงที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าไม่มีใครพูดอะไรสักคำ
นี่คือทหารของอวิ๋นจื่อ นางจะไม่รู้สึกแย่ได้อย่างไรเมื่อต้องลงโทษพวกเขา?
หลังจากพวกเขาคุกเข่าอยู่ครู่หนึ่งนางก็สั่งให้ลุกขึ้น
อวิ๋นจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “แผ่นดินเปลี่ยนราชวงศ์แล้ว สิ่งที่เ้าต้องทำในตอนนี้คืออยู่เฉยๆ เพื่อรอโอกาสที่เหมาะสม หากใครไม่พอใจก็ลาออกได้ ข้าจะไม่ยอมให้มีฉางเหอคนที่สองปรากฏตัวขึ้น ฉางลั่วอยู่ก่อน ส่วนคนที่เหลือไปได้แล้ว”
ทันใดนั้นชางอู๋หลิงก็แสดงความเคารพและถอยออกจากบริเวณนี้โดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ยกเว้นชายร่างกำยำผู้หนึ่ง
อวิ๋นจื่อกล่าวกับชายผู้นั้นว่า “ฉางลั่ว ข้าจะอาศัยอยู่ที่เมืองหยงโจวสักระยะ จัดคนคอยคุ้มกันข้าอย่างลับๆ นอกจากข้าและประมุขตระกูลมู่จะไม่มีผู้ใดสามารถสั่งการพวกเ้าได้ ไปได้แล้ว”
ฉางลั่วแสดงความเคารพและจากไปอย่างรวดเร็ว
ชิงซีมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ หลังจากที่ฉางลั่วจากไปแล้ว นางก็ถามว่า
“แค่นี้เองหรือ?”
อวิ๋นจื่อรู้สึกสับสนเล็กน้อย
ชิงซีกล่าวว่า “เรียกเขากลับมา”
อวิ๋นจื่อปรบมือและฉางลั่วก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
ชิงซีมอบตั๋วเงินให้ฉางลั่วและกล่าวว่า “ตอนนี้เมืองอวิ๋นเมิ่งมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว พวกเ้าจำเป็ต้องปรับตัวตามสถานการณ์ หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงให้แจ้งข่าวได้ที่ตระกูลมู่ อีกสามวันองค์หญิงจะเรียกพบเ้าอีกครั้ง”
ฉางลั่วชำเลืองมองอวิ๋นจื่อ เมื่อเห็นว่าอวิ๋นจื่อพยักหน้าเขาจึงยื่นมือออกมารับตั๋วเงินอย่างว่าง่าย
ชิงซีกล่าวอีกครั้ง “จำไว้ว่าชางอู๋หลิงจะปฏิบัติงานภายใต้คำสั่งขององค์หญิงใหญ่แห่งตำนักเหวินฮวาเท่านั้น ไปได้แล้ว!”
เมื่อเห็นการจัดการของชิงซี อวิ๋นจื่อก็ตระหนักได้ว่านางเพิ่งทำเื่ผิดพลาดมหันต์ ถ้าชางอู๋หลิงถูกเปิดโปง สถานที่กบดานของนางจะไม่ถูกเปิดโปงไปด้วยหรือ? ทั้งขุนนางทรยศและฏเ่าั้จะปล่อยโอกาสดีๆ แบบนี้หลุดมือไปได้อย่างไร? อวิ๋นจื่อรู้ว่านางทำผิดพลาดและรู้สึกอับอายเป็อย่างมาก ดังนั้นนางจึงมีสีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย
เมื่อเห็นสีหน้าของอวิ๋นจื่อ ชิงซีก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทันที นางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อาจื่อเ้าไม่ต้องโทษตัวเอง ข้าวางแผนไว้ั้แ่ซูฮองเฮายังไม่เกิดด้วยซ้ำ ทั้งหมดต้องค่อยเป็ค่อยไป”
อวิ๋นจื่อตอบว่า “ถ้าท่านประมุขไม่อยู่ที่นี่ อาจื่อคงถูกสังหารโดยฏไปแล้ว”
ชิงซีไม่ตอบ นางแค่ยิ้มเท่านั้น
…
ทิวทัศน์ของูเาจิ่วอี๋งดงามราวกับแดน์ เมื่ออวิ๋นจื่อเห็นทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ ความความกดดันที่อัดแน่นอยู่ในใจของนางก็ดูเหมือนจะสลายไปอย่างไร้ร่องรอย
นางหัวเราะและร้องเพลงไปตลอดทาง ไม่นานก็ถึงเวลาดวงอาทิตย์ตก
เมื่อรู้ว่าชิงซีชอบดูดวงอาทิตย์ตก อวิ๋นจื่อจึงแนะนำทันที “เราขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อชมดวงอาทิตย์ตกดีหรือไม่?”
ดวงตาของชิงซีเป็ประกาย ก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ดวงอาทิตย์ตกนั้นดูเรืองรองและงดงามมาก เช่นเดียวกับชีวิตของคนคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเผชิญกับปัญหากี่ครั้ง สุดท้ายก็จะพบจุดจบที่งดงาม ใน่สุดท้ายก่อนที่ดวงอาทิตย์จะตก มันจะเปล่งแสงสีทองออกมา นั่นคือ่เวลาที่ทั่วทั้งโลกต้องตกตะลึง
ความงดงามเช่นนี้เมื่อได้พบเห็นแล้วจะไม่มีวันลืมเลือนไปตลอดกาล
ในระหว่างชมดวงอาทิตย์ตก ทั้งสองคนไม่ได้สนทนากันสักคำ
พวกนางแค่ชมความงามนี้อย่างเงียบๆ
เวลาค่อยๆ ผ่านไป และดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆ หายลับไปจากขอบฟ้า
อวิ๋นจื่อกล่าวเบาๆ ว่า “ชิงซีลงจากูเากันเถอะ”
ชิงซีถอนสายตาด้วยความอาลัยอาวรณ์และกล่าวว่า “เอาล่ะ ได้เวลากลับโรงเตี๊ยมแล้ว อาจื่อเ้าอยากกลับพรุ่งนี้เลยหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อหัวเราะ “ต้องเป็หลังจากนี้อีกสามวัน ข้ายังต้องรอพบฉางลั่ว”
เมื่อเห็นว่าท่าทีของนางดูจริงจัง ชิงซีจึงกล่าวว่า “อย่ากังวล เ้ายังมีข้าอยู่ พวกเราควรกลับเมืองโดยเร็วที่สุด ทีนี่มีคนของข้าไม่มากนัก ถ้าเ้ากลับไปั้แ่เนิ่นๆ ข้าจะได้ไม่ต้องกังวล”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าและกล่าวว่า “ตกลง”
ชิงซีกล่าวว่า “หลังจากคืนนี้ข้าอาจไม่ได้มาพบเ้าบ่อยนัก เ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าอีกครั้ง
ชิงซีตบไหล่นางเบาๆ “ข้าต้องกลับไปที่เมืองหยงโจว มีบางสิ่งที่ข้าต้องทำในคืนนี้ ข้าจะทิ้งผู้คุ้มกันไว้ให้เ้าจำนวนหนึ่ง ถ้าเ้า้าสิ่งใดก็แจ้งพวกเขาได้เลย”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าและกอดชิงซีแน่นพร้อมกับกล่าวว่า “ขอบคุณมากชิงซี”
ชิงซีพยักหน้าและจากไปอย่างรวดเร็ว
ภายใต้การคุ้มครองของผู้คุ้มกันตระกูลมู่ อวิ๋นจื่อก็เดินทางลงจากูเา
เมื่อมาถึงครึ่งทาง นางก็พบชายผู้หนึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า
ด้วยความที่ตอนนั้นเป็เวลากลางคืน นางจึงมองไม่เห็นว่าเขาเป็ใคร
อวิ๋นจื่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสั่งให้ผู้คุ้มกันของนางระมัดระวังเป็พิเศษ
ไม่นานชายที่นั่งอยู่บนหลังม้าก็พูดขึ้น
“พวกเ้ามาจากตระกูลมู่หรือ?”
อวิ๋นจื่อกำลังจะตอบว่าใช่ แต่นางคิดได้ว่าชิงซีจากไปแล้ว นางจึงสั่งให้ผู้คุ้มกันตอบว่านางเป็คนจากตระกูลซูที่ขึ้นไปเที่ยวเล่นบนูเา เมื่อเห็นว่ามืดค่ำแล้วจึงกำลังจะเดินทางกลับ
ชายผู้นั้นอุทานด้วยความใว่า “ตระกูลซู? ตระกูลซูแห่งเมืองฉินโจวน่ะหรือ?"
อวิ๋นจื่อตกตะลึง
ภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงนี้ คนที่รู้จักตระกูลซูแห่งเมืองฉินโจวมีเพียงคนที่มีความเกี่ยวข้องกับราชสำนักเท่านั้น
เขาเป็ขุนนางหรือ?
อวิ๋นจื่อสั่งให้ผู้คุ้มกันบอกว่านางมาจากตระกูลซูแห่งเมืองหวยโจว
เมื่อได้ยินว่านางไม่ใช่คนของตระกูลซูแห่งเมืองฉินโจว ความสนใจของอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะหมดลงในทันที
อวิ๋นจื่อถอนหายใจอย่างโล่งอกและกระตุ้นให้ผู้คุ้มกันรีบเดินทางอย่างรวดเร็ว
เมื่อลงจากูเาแล้วนางก็สั่งให้ตรวจสอบทันทีว่าชายผู้นั้นเป็ใคร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้