ขอบฟ้าเป็สีพุงปลาจางๆ เทือกเขาสลับซับซ้อนปกคลุมด้วยม่านหมอกสีขาว
"เมื่อคราก่อนที่พวกเรายังอยู่ในป่า เสือ หมาป่า หมีดำล้วนเจอมาหมดแล้ว ท่านว่าครั้งนี้เหตุใดถึงไม่เจออะไรสักอย่าง"
ทั้งสองเตรียมตัวเดินทาง เซวียเสี่ยวหรั่นก็เอ่ยถึงเื่นี้
เหลียนเซวียนอมยิ้ม "เ้าอยากเจอสัตว์ร้ายเ่าั้?"
"ไม่ใช่ แต่ก็แปลกอยู่นะ หรือว่าสัตว์มีสัญชาตญาณเฉียบไว รู้ว่าท่านหายดีแล้ว กลายเป็สัตว์ร้ายยิ่งกว่าพวกมัน ก็เลยไม่กล้าโผล่มายั่วโทสะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นเหลือบมองร่างสูงใหญ่และแข็งแรงดังโคถึกอาชาของเขา
"ฮ่าๆ" เหลียนเซวียนะเิเสียงหัวเราะเสียงดังลั่นจนนกที่อยู่แถวนั้นขวัญหนีดีฝ่อบินหนีกระเจิง "หากพวกมันมีญาณหยั่งรู้ขนาดนั้น มิกลายเป็ภูตผีไปแล้วหรือ"
เซวียเสี่ยวหรั่นถูกเขาหัวเราะเยาะ ก็ขยี้จมูก พึมพำออกมาประโยคหนึ่ง "พูดยาก"
หลังจากหัวเราะจนสาแก่ใจแล้ว ก็ย่อเข่าลง "มา ข้าจะแบกเ้าเอง"
"หลังของท่านมีแผล" เซวียเสี่ยวหรั่นรีบสั่นศีรษะ "จะััถูกแผลของท่านได้"
เหลียนเซวียนตรึกตรองดูก่อนย้ายกระบี่จากมือขวามาถือมือซ้าย
ย่อตัวเล็กน้อย แขนขวาช้อนต้นขาของนางแล้วยกขึ้นมาเบาๆ อุ้มเธอด้วยมือข้างเดียว
"ว้าย..." เซวียเสี่ยวหรั่นร้องเสียงหลงด้วยความใ หลังจากนั้นก็เกาะบ่าของเขา "แบบนี้เหมือนอุ้มเด็กเลยนะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกคับข้องใจ
เธอไม่พอใจที่เขาอุ้มแบบนี้ เธอไม่ได้อาบน้ำมาสามวันแล้ว แม้ว่าเมื่อวานจะลอยน้ำอยู่ครึ่งวัน แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวมีกลิ่น
เหลียนเซวียนกลับหันมาฉีกริมฝีปาก ยิ้มเห็นฟันขาวทั้งปากอย่างเห็นได้ยากนัก "น้ำหนักของเ้าต่างกับเด็กตรงไหน"
เขายังอุ้มโยนทดสอบน้ำหนักเป็พิเศษ
เซวียเสี่ยวหรั่นพวงแก้มแดงซ่าน มองเขาตาเขียวปั้ด
เหลียนเซวียนอดกลั้นไม่ไหวเปล่งเสียงหัวเราะครืนใหญ่อีกครา
เซวียเสี่ยวหรั่นเืขึ้นหน้าทุบไหล่เขาครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่เรี่ยวแรงเท่ากับแมวข่วนของเธอยิ่งทำให้เหลียนเซวียนขำท้องคัดท้องแข็ง
ทำเอาเซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกเข่นเขี้ยว
เหลียนเซวียนรวมพลังไว้ใต้ฝ่าเท้าะโขึ้นไป พาร่างของทั้งสองหายวับไปจากสถานที่แห่งนั้น
เวลา่เช้าผ่านไป พวกเขาก็ไปถึงสุดเขตแนวเขาอย่างราบรื่น ไม่มีเงาของมือสังหารตามมาปรากฏด้านหลังอีกเลย
"ที่แท้พวกเราก็ไม่ได้เข้าป่าลึกมากเท่าไร"
เซวียเสี่ยวหรั่นยืนอยู่บนถนนของทางการมองไปรอบด้าน
"อืม ก็ไม่นับว่าเป็ป่าลึก แต่หากพึ่งสองเท้าเดินธรรมดา ก็ใช้เวลาประมาณสองสามวัน"
เหลียนเซวียนยืนอยู่ด้านข้าง หลุบตาลงมาหัวเราะเบาๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นเงยหน้าขึ้นมองพลางย่นจมูกใส่เขา คนผู้นี้กำลังคุยโวเื่ความเร็วของตนเองอยู่หรือ?
ทันใดนั้นหน้าผากก็ถูกดีดเป๊าะหนึ่งที
เซวียเสี่ยวหรั่นถอยหลังไปก้าวหนึ่ง กุมหน้าผากถลึงตาใส่ นี่เขาเป็อะไรไป?
มิใช่ว่าควรสงวนท่าทีเ็าห่างเหินอย่างที่เคยเป็หรอกหรือ
เหตุใดั้แ่เช้าเป็ต้นมา เขาก็เหมือนกลายเป็อีกคน เอาแต่แกล้งหยอกเธออย่างนี้ล่ะ?
เหลียนเซวียนเม้มริมฝีปากเบาๆ ข่มรอยยิ้มบนมุมปากลงไป
"แฮ่ม ไปเถอะ หาที่พักสักแห่ง"
กล่าวจบก็คว้ามือเรียวเล็กไปจูง
เซวียเสี่ยวหรั่นหน้าแดงระเรื่อ อยากสะบัดมือให้หลุด คนผู้นี้ไม่เพียงแต่ชอบแกล้งเธอ ยังชอบแตะเนื้อต้องตัวอีกด้วย
"อย่าดิ้น" เหลียนเซวียนจูงมือนางเดินไปข้างหน้า ปรามอย่างเผด็จการมิให้นางเอามือออก
บนถนนของทางการนอกชายป่าคนสัญจรไม่มาก มีเกวียนเทียมโคหรือรถม้าผ่านมาเป็ระยะ แต่ไม่มีใครหยุดมองพวกเขา
เหลียนเซวียนจึงยิ่งได้ใจจูงมือนางเดินต่อไปเรื่อยๆ
ถือโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังให้นางใกล้ชิดเขาอีกหน่อย ได้ปรับตัวเข้าหากัน
"ทะ... ท่านปล่อยมือนะ แบบนี้อาจมีผลกระทบที่ไม่ดี" เซวียเสี่ยวหรั่นหน้าแดงถลึงตาใส่เขา พยายามใช้มืออีกข้างแกะมือใหญ่ที่กุมมือตนเองอยู่
ธรรมเนียมกฎเกณฑ์ของเขา ชายหญิงพึงหลีกเลี่ยงกันมิใช่หรือ
"ที่นี่ยังห่างจากตัวเมือง ไม่เป็ไรหรอก" เหลียนเซวียนจึงฉวยโอกาสรวบมืออีกข้างไว้รวมกันเสียเลย
ทันใดนั้นทั้งสองมือของเซวียเสี่ยวหรั่นจึงถูกกุมด้วยฝ่ามือใหญ่ของเขาเพียงมือเดียว
เซวียเสี่ยวหรั่นโมโหจนหน้าแดง แต่ไม่รู้ทำไมดิ้นเท่าไรมือก็ไม่หลุดจากมือเขาเสียที ตรงข้ามกลับถูกเขาลากตลอดทางเสียอีก
"ปล่อยมือเร็ว มิเช่นนั้นข้าจะโกรธแล้วนะ" เธอกดเสียงเบาลง พลางกล่าวเตือนอย่างโมโหโทโส
เกวียนเทียมโคเล่มหนึ่งลากพาชาวบ้านผ่านข้างกายของพวกเขาไปอย่างเอ้อระเหย
สตรีออกเรือนแล้วที่นั่งอยู่บนนั้นมีไม่น้อย พอเห็นทั้งสองจูงลากกันไปมา ก็เริ่มหันหัวเข้าหากันซุบซิบนินทา
"ดูโลกเราเดี๋ยวนี้สิ แม่นางน้อยกล้าจับจูงมือกับชายหนุ่มกลางวันแสกๆ"
"จิ๊ๆ ถ้าบุตรสาวบ้านข้าเป็อย่างนี้ ข้าคงจับกล้อนผมส่งไปอารามชีให้รู้แล้วรู้รอด
"ชู่ว์ พวกเ้าตาบอดกันหรือไร มิเห็นรึว่ามือของเ้าหนุ่มนั่นถือกระบี่มาด้วย"
"อ๊ะ จริงด้วย น่ากลัวจะเป็ชาวยุทธ์ อย่าปากพล่อยพูดซี้ซั้วดีกว่า"
"นั่นสิ มิเห็นหรือว่าแม่นางน้อยของผู้อื่นสีหน้าขัดเขินแค่ไหน ไม่แน่ว่าอาจเป็ชายคนรักก็ได้นะ"
"จริงด้วยๆ พวกเ้าพูดน้อยๆ หน่อยเถอะ"
เกวียนลากไกลออกไปเรื่อยๆ คนบนรถที่อยากชมความครึกครื้น ก็ลับหายไปตรงทางโค้ง
ดวงหน้าของเซวียเสี่ยวหรั่นเต็มไปด้วยความอุธัจขัดเขิน ดึงมือของเหลียนเซวียนมากัดคำหนึ่ง
ฝ่ามือของเขาเริ่มเจ็บขึ้นมานิดๆ เหลียนเซวียนมองนางที่ดูราวกับพยัคฆ์ตัวน้อยที่แยกเขี้ยวยิงฟันด้วยความโมโห
จนกระทั่งในปากมีกลิ่นคาวโลหิตเล็กน้อย เซวียเสี่ยวหรั่นถึงกู้สติกลับคืนมาได้ ก็ปล่อยปาก ที่ง่ามนิ้วมือของเขาปรากฏรอยฟันเป็ระเบียบ โลหิตเริ่มไหลซึม
เธอกัดแรงขนาดนี้เลยหรือ? เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกผิดไปชั่วขณะ
พอเงยหน้ามองเหลียนเซวียน กลับเห็นเขายิ้มมุมปาก ดูราวกับเด็กที่มีนิสัยชอบก่อความวุ่นวาย
อารมณ์ที่เพิ่งสงบไปหมาดๆ กลับลุกโชนขึ้นมาอีก เห็นอยู่ว่าเขาจงใจก่อความวุ่นวาย แต่กลับกลายเป็ว่านางกำลังก่อปัญหาเสียเอง
"เอาล่ะ ไม่โกรธแล้ว ไปกันเถอะ" เหลียนเซวียนปล่อยมือของเธอข้างหนึ่ง แต่ยังคงจูงเดินไปข้างหน้าต่อไป
พอเขางอนง้อ และจูงมือ เซวียเสี่ยวหรั่นก็บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกในใจเป็อย่างไร ทั้งคันยุบยิบและหวานล้ำ
พอสู้ไม่ได้ ในที่สุดนางก็เลิกล้มความคิดที่จะหนี
เหลียนเซวียนก้าวเท้าให้สอดคล้องกับจังหวะการเดินของเธอ มุมปากยังคงยิ้มกริ่มในชัยชนะ
ทั้งสองเดินไม่เร็วนัก สองเค่อหลังจากนั้นก็มาถึงเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ก่อนเข้าเมือง เหลียนเซวียนปล่อยมือเซวียเสี่ยวหรั่น นำใบกล้วยน้ำว้าสองสามใบมาห่อกระบี่
จากนั้นถึงเดินเข้าไป
หาหอสุราโอ่โถงสูงสามชั้น ที่ชั้นสองมีห้องพิเศษ แล้วสั่งอาหารมากินอย่างอิ่มหนำสำราญ
"เสี่ยวหรั่น เ้ารอที่นี่สักครู่ ข้าจะออกไปสำรวจเสียหน่อย" หลังกินข้าวลงท้องไปสองชาม เหลียนเซวียนซึ่งอิ่มแล้วก็ลุกขึ้น
"ท่านอย่าไปทีหลายชั่วยามอีกนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นรีบกำชับ
"เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว" เหลียนเซวียนมองนางพลางหัวเราะเบาๆ
หลังจากเขาออกจากห้องพิเศษไป เซวียเสี่ยวหรั่นซึ่งอิ่มแล้วรู้สึกเบื่อหน่าย เดินไปข้างหน้าต่าง แล้วผลักบานประตูเปิดออกไป
ตลาดในเมืองเล็กยังนับว่าคึกคัก ถนนสายนี้มีผู้คนสัญจร เดินมาเดินไปไม่ขาดสาย
สิ่งที่มีมากที่สุดคือร้านค้ากับแผงลอย แต่ละร้านต่างะโเรียกลูกค้าแข่งกัน
จากชั้นสองมองออกไปไกลๆ เห็นบ้านคนสูงๆ ต่ำๆ เรียงรายสุดลูกหูลูกตา
เซวียเสี่ยวหรั่นพิงขอบหน้าต่างยลทัศนียภาพอันแสนเรียบง่าย พลันรู้สึกว่าสถานที่ที่ตนเองอยู่ยามนี้ช่างแตกต่างจากโลกใบเดิมมากเหลือเกิน
